โดดเดี่ยว แต่ไม่เดียวดาย ตอนที่ ๕๑ : โรแมนซ์ ขแมร์ โดยคุณสันติ เศวตวิมล

โดดเดี่ยว แต่ไม่เดียวดาย ตอนที่ ๕๑ : โรแมนซ์ ขแมร์ โดยคุณสันติ เศวตวิมล

ยังมีเรื่องราวบางเรื่องเกิดขึ้นในเมืองพระตะบองที่จะต้องเขียนบันทึกไว้ เป็นเรื่องที่จะลืมเลือนไม่ได้เมื่อไปทำข่าวสงครามในเมืองนี้ นั่นคือเรื่องของชาวพระตะบองผู้ประสบชะตากรรมแตกต่างกัน มันจะต้องเริ่มด้วยความไม่รู้ว่าคนเมืองนี้เขามีความเป็นอยู่กันอย่างไร แต่ความรู้แรกก็เป็นเรื่องของผู้หญิงพระตะบองนางหนึ่ง เรื่องเกิดจากความอยากรู้ของฉันว่าจะมีโรงแรมอื่นอีกไหมที่อาจดีและถูกกว่าโรงแรมที่ฉันพัก  ฝั่งตรงข้ามก็มีอีกโรงแรมหนึ่งที่มองดูแล้วน่าสนใจ เย็นวันนั้นหลังจากที่ออกตระเวนกับทหาร เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วฉันก็ตัดสินใจไปโรงแรมแห่งนั้น

นอกจากจะเป็นโรงแรมที่สะอาดกว่าและมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ของโรงแรมยังมีความสามารถในการพูดภาษาไทยค่อนข้างดี ซึ่งก็ไม่น่าเป็นเรื่องแปลกใจเพราะคนไทยเคยปกครองเมืองนี้มานานนับร้อยปี ดังนั้นคนพระตะบองส่วนใหญ่จึงพูดภาษาไทยได้ หรือแม้แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีหมู่บ้านของคนไทยที่ไม่ยอมอพยพไปประเทศไทยเมื่อฝรั่งเศสเข้ามาปกครอง แม้เจ้าพระยาอภัยภูเบศน์จะตัดสินใจหอบหิ้วคนไทยคืนประเทศแม่ของเรา หมู่บ้านที่ว่าชื่อ "โอนฤษี" ซึ่งฉันตั้งใจว่าจะต้องไปเยือนกับพี่น้องรวมสายเลือดไทยสักครั้ง ความเป็นคนช่างพูดช่างเจรจาของเจ้าหน้าที่โรงแรมนี้ทำให้เวลาล่วงเลยไปอย่างที่ฉันไม่รู้ตัว

จนกระทั่งไฟฟ้าในโรงแรมดับ 

ฉันถามเขา  : "ไฟเสียหรือ" 

เขาตอบและอธิบายเพิ่มเติมว่า  : "ไม่เสียหรอกครับ แต่ถึงเวลาที่เราจะต้องดับไฟกันทั่วเมืองแล้ว"  “ตั้งแต่เวลาสองทุ่มไปจนถึงสว่าง ทุกคนจากบ้านเรือนไม่ได้เพราะทหารสั่งห้าม หากใครฝ่าฝืนจะถูกยิง” 

พอฉันถามเขาก็บอกฉันว่า"อ้าว..แล้วฉันจะทำอย่างไรดี"

เขาตอบ "คืนนี้ คุณจะต้องนอนอยู่ที่นี่เพื่อให้สว่างเสียก่อนจึงจะออกโรงแรมนี้ได้"

พนักงานโรงแรมพาฉันขึ้นไปชั้นสองของโรงแรมและกำชับว่า

"คุณจะต้องนอนที่นี่ อย่าออกไปจากโรงแรมอย่างเด็ดขาด รอให้ถึงตอนเช้าถึงจะออกไปได้"  เขาสำทับอีกทีด้วยความเป็นห่วง 

เมืองพระตะบองมืดสนิท พนักงานโรงแรมนำตะเกียงน้ำมันมาวางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง ทั้งยังเตือนว่าระวังอย่าให้ล้มเพราะอาจจะเกิดไฟไหม้ได้ 

ฉันมองรอบ ๆ ห้อง แสงตะเกียงไม่สว่างเพียงพอที่จะมองนอกห้องได้ นอกท้องที่มองเห็นไม่ชัดนั้นมีเสียงปืนใหญ่ดังเป็นระยะ ๆ ด้วยความอยากรู้ ฉันจึงค่อย ๆ เดินออกจากห้องไปที่ระเบียงตึก ท่ามกลางเสียงตึงตังของปืนใหญ่ ฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งยืนอยู่โดยไม่สนใจฉันที่เดินเข้าไปใกล้ จนเกิดความสงสัยว่าเธอเป็นใคร แล้วทำไมถึงมายืนเพียงลำพังในเวลาเช่นนี้

เมื่อฉันเดินเข้าประชิดตัวเธอก็สะดุ้ง 

ฉันถามเธอ : "ทำไมมายืนที่นี่" 

เธอ"ฉันมองดูว่าพรุ่งนี้ฉันจะกลับบ้านได้อย่างไร"   (เธอตอบเป็นภาษาไทยเสียงแปร่งด้วยสำเนียงเขมร)

ฉันถามเธอ : "บ้านอยู่ที่ไหน"

เธอ :"อยู่หมู่บ้านโอนฤษี" 

เมื่อเธอตอบ ฉันจึงเข้าใจว่าทำไมเธอพูดไทย บางทีเธออาจจะเป็นลูกหลานคนไทย ที่ไม่อพยพตามเจ้าพระยาอภัยภูเบศน์คืนกลับประเทศแม่ แสงไฟจากปืนใหญ่ที่วูบวาบพอจะทำให้เห็นใบหน้าเศร้าของเธอ เธอไม่ได้พูดอะไรแต่เหม่อมองออกไป และฉันไม่ได้ถามอะไรกับเธออีก

ในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่จากบ้านมาเช่นเดียวกับเธอ เราคงมีความรู้สึกแบบเดียวกัน ท่ามกลางความมืดคืนนั้นฉันไม่ได้เข้าไปนอนในห้อง เธอเองก็ไม่ได้กลับเข้าห้องพัก เราอยู่ที่ระเบียงตึกของโรงแรมเพียงสองคนลำพังจนถึงรุ่งเช้า เมื่อเราจากกัน ฉันหยิบธนบัตรไทยให้กับเธอไปใบหนึ่งแล้วบอกกับเธอว่า

ฉัน : "เก็บเงินไทยเอาไว้เป็นที่ระลึกนะ เพราะฉันไม่รู้ว่าเราจะได้พบกันอีกหรือไม่"

เธอ : ไม่ตอบ แต่ฉันแอบเห็นนัยน์ตาเศร้าของเธอเอ่อคลอด้วยน้ำตา

มีเสียงเคาะประตูห้องของฉันในคืนวันรุ่งขึ้น ณ โรงแรมที่ฉันพักตั้งแต่คืนแรกที่มาถึงพระตะบอง ผู้เคาะประตูคือพนักงานประจำโรงแรมผู้มีท่าทางพินอบพิเทาจนออกหน้า

เขาถาม : "พี่ต้องการผู้หญิงไหม" ด้วยความอยากรู้บวกกับความเป็นหนุ่มฉันจึงพยักหน้า เขาหายไปสักครู่หนึ่ง เมื่อกลับมาอีกทีก็มีผู้ชายวัยกลางคนจูงมือเด็กสาววัยรุ่นมาด้วย

ฉัน  : "ลุงพูดไทยได้ไหม"  เมื่อฉันถาม ลุงเขมรก็พยักหน้าแทนคำตอบ

ลุง  : "แล้วเด็กคนนี้ล่ะ" 

ลุง : "ลูกฉันเอง"   (ลุงตอบแล้วก้มหน้า)

ฉัน  : "อ้าว. . แล้วทำไมเอาลูกมาทำเช่นนี้" 

ลุง : "ฉันต้องการเงิน" 

ฉัน  : "เอาเงินไปทำอะไร" 

ลุง : ลุงเขมรตอบอย่างช้า ๆ "ผมต้องการเงินเอาไปซื้อปืนไว้ป้องกันตัว"

…คืนนั้นฉันจ่ายค่าปืนไปให้ลุงตามที่เขาต้องการ …คืนต่อมาตาลุงกลับมาอีก คราวนี้จูงเด็กที่อ่อนกว่าคนคืนก่อน

ฉัน  : "ลุงมาอีกทำไม"

ลุง : "นี่ลูกสาวคนเล็กผม"

ฉัน  : "แล้วยังไง"

ลุง : "เอ่อ....ผมต้องการเงิน"  ตาลุงพูดเสียงตะกุกตะกัก

ฉัน  : "อ้าว! เมื่อคืนลุงก็ได้เงินไปแล้วนี่"  ฉันถามอย่างสงสัย

ลุง : "ใช่ครับนาย ผมได้เงินไปแล้ว ผมซื้อปืนได้แล้ว" ตาลุงหยุดพูด คงจะมีอะไรที่เขาคงไม่กล้าพูดต่อ แล้วจึงพูดโดยไม่ได้สบตาฉัน

ลุง :  " เงินท่านซื้อได้แต่ปืน แต่ผมพาลูกสาวคนเล็กมาเพื่อจะขอให้ท่านช่วยซื้อกระสุนปืนให้ด้วย”

…คืนนั้นฉันจึงช่วยตาลุงซื้อได้ทั้งปืนและกระสุนปืนตามที่แกต้องการ

การเดินทางไปทำข่าวสงครามทำให้ฉันได้เห็นความโหดร้ายของสงครามที่ไม่เพียงเกิดจากการสู้รบเท่านั้น แต่มันเป็นสงครามพื้นที่ซึ่งเกิดขึ้นในทุกหย่อมหญ้า ที่ตายก็ตายไป ที่ยังไม่ตายก็ต้องดิ้นรนต่อสู้ต่อไปเหมือนตาลุงกับลูกสาวทั้งสองคน ความทรงจำอันเกิดจากหลายเรื่องราวในแผ่นดินเขมรมากมายเหล่านี้ทำให้ฉันวิตกว่า… บ้านเมืองไทยของเราจะเป็นเช่นนี้หรือไม่ หากเกิดสงครามขึ้นในสักวัน

 

สันติ เศวตวิมล บรรณาธิการอาวุโส

เจ้าของรางวัลนราธิปพงศ์ประพันธ์

สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ประจำปี ๒๕๖๕

โดดเดี่ยว แต่ไม่เดียวดาย ตอนที่ ๕๑ : โรแมนซ์ ขแมร์ โดยคุณสันติ เศวตวิมล