
The Ocean’s Plea เรากำลังอยู่ท่ามกลางวิกฤต ดร.เพชร มโนปวิตร
“ถามว่า ณ ตอนนี้ทะเลไทยแย่จริงไหม แย่จริงครับแต่ไม่ใช่ทุกที่ หลายที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ในปีพ.ศ. 2553 เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวตายไปกว่า 90% ให้ลองนึกภาพเขาใหญ่มีไฟป่าแล้วปรากฏว่าเราสูญเสียพื้นที่ป่าไป 90% ผมว่ามันเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ทะเลมันเป็นเรื่องไกลตัวและเป็นปัญหาที่ภาษาอังกฤษเขาบอกว่า “Out of Sight, Out of Mind” ไม่อยู่ในสายตา ไม่อยู่ในความคิด คือเป็นเรื่องทีมักถูกมองข้ามหรือไม่ได้รับความใส่ใจ มันจึงไม่ได้มี Action ไม่เคยเป็นวาระแห่งชาติ”
ปัจจุบันมนุษย์กำลังเผชิญกับปัญหารอบด้านที่เกิดขึ้นบนโลก ตั้งแต่เรื่องสงคราม การเมือง สังคม เศรษฐกิจ ฯลฯ จนละเลยปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังถูกทำลายมากขึ้นทุกวัน โดยหลงลืมไปวันหนึ่งวิกฤตเหล่านี้จะสะท้อนกลับมาทำร้ายมนุษย์เอง
ท่ามกลางปัญหามากมายยังพอมีนักอนุรักษ์ และนักวิจัยทำงานควบคู่กับการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ดร.เพชร มโนปวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์เพื่อปกป้องท้องทะเลไทย ด้วยประสบการณ์จากการทำงานร่วมกับองค์กรระดับนานาชาติมากมาย ดร.เพชรไม่เพียงเป็นที่ปรึกษาให้กับหน่วยงานภาครัฐ แต่ยังเป็นนักสื่อสารถ่ายทอดเรื่องราวความงดงาม และความเปราะบางของธรรมชาติสู่สาธารณชน เพื่อปลุกจิตสำนึกการอนุรักษ์ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ภูมิหลังนักวิจัยและอนุรักษ์
“ผมเติบโตที่กรุงเทพฯ แต่มีโอกาสเดินทางไปหลายจังหวัดตั้งแต่เด็กเพราะคุณพ่อรับราชการ พื้นเพทางคุณพ่อเป็นคนนครศรีธรรมราช คุณแม่เป็นคนภูเก็ต ทำให้ผมมีความผูกพันกับภาคใต้เป็นพิเศษ ยังมีญาติพี่น้องที่อาศัยอยู่ทางภาคใต้หลายคน แม้จะโตที่กรุงเทพฯ แต่พอตอนทำวิจัยเกี่ยวกับทะเล ผมได้กลับไปอยู่ที่ภูเก็ตอีกครั้งจึงรู้สึกผูกพันกับภาคใต้ โดยเฉพาะฝั่งอันดามันทั้งในแง่การทำงานและชีวิต
“ที่จริงผมจบปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์การอาหาร (Food Science) ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แต่มีความสนใจด้านการอนุรักษ์ตั้งแต่เด็ก อาจจะเป็นอิทธิพลจากจากการอ่านหนังสือ ดูสารคดีธรรมชาติ ผมจำได้ว่าเห็นป้ายเรื่องการหยุดเขื่อนน้ำโจน ระหว่างนั่งรถผ่านมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำให้กระตุ้นให้เริ่มสนใจ ได้อ่านนิตยสารสารคดี ทำให้เราเริ่มได้ข้อมูลที่หลากหลายมากขึ้น เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาเริ่มรสนใจงานด้านการอนุรักษ์ ช่วงนั้นพอดีกับที่คุณสืบ นาคะเสถียร เสียชีวิต ทำให้ปลุกกระแสเรื่องการอนุรักษ์ จนเบ่งบานมากๆ ในช่วงนั้น
“ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ผมเข้ามาทำงานที่ชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นเหมือนมหาวิทยาลัยชีวิตที่แรก ได้จัดค่ายอบรมเยาวชนและติดตามปัญหาเชิงนโยบายเกี่ยวกับงานอนุรักษ์และนโยบายการพัฒนาต่าง ๆ การได้ลงพื้นที่ทำให้ผมตื่นเต้นและรู้สึกมีชีวิตชีวา ค้นพบว่าตัวเองชอบการเดินทาง ชอบลงพื้นที่เพื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ประกอบกับความรักการอ่าน ทำให้เริ่มเห็นความเชื่อมโยงว่านโยบายส่งผลกระทบต่อการอนุรักษ์ในพื้นที่อย่างไร เห็นบทบาทของชุมชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
“ตั้งแต่ตอนเรียนผมรู้สึกว่าอยากทำงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ และเมื่อจบการศึกษา ผมก็เลือกเดินทางสายนี้มาตลอด ผมอยากมีส่วนในการขับเคลื่อนงานอนุรักษ์ แม้จะเป็นฟันเฟืองเล็ก ๆ ก็ตาม ตั้งแต่เรื่องของการสร้างจิตสำนึกไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบาย”
เส้นทางการทำงานด้านการอนุรักษ์
“หลังเรียนจบปริญญาตรี งานแรกของผมคือการเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิชาการ ประสานงานโครงการวิจัยสัตว์ป่า ของมูลนิธิสืบนาคะเสถียร นับเป็นก้าวแรกที่เปิดโลกในเรื่องการอนุรักษ์ ตอนนั้นทำงานเกี่ยวข้องกับนโยบายค่อนข้างเยอะเช่น ความพยายามคัดค้านโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น เขื่อนแม่วงก์ ได้มีโอกาสพาสื่อมวลชนลงพื้นที่และนำเสนอผลกระทบที่จะเกิดขึ้น หลายๆ ครั้ง เราได้ใช้ข้อมูลด้านสัตว์ป่ามาช่วยอธิบายให้สังคมเห็นถึงความสำคัญของพื้นที่ และผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นหากมีโครงการ ประสบการณ์ตรงนั้นทำให้ผมเห็นเส้นทางตัวเองชัดเจนขึ้นว่าชอบนำงานวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนงานอนุรักษ์
“ผมทำงาน 3 ปี กับมูลนิธิสืบฯ ก็ตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโทที่ออสเตรเลียในสาขานิเวศวิทยาเขตร้อน (Tropical Ecology) หลังจบปริญญาโท ก็ได้มาทำงานกับสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า (WCS) ในตำแหน่งผู้ประสานงานฝึกอบรมและการศึกษา ได้มีการอบรมเรื่องการสำรวจสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทางทะเลในเอเชีย ทำให้เห็นว่าความสนใจเกี่ยวกับทะเลของผมเป็นเรื่องที่อยากพัฒนาต่อยอด ในช่วง 7 ปี ที่ทำงานกับสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า ผมเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับงานทางทะเลมากขึ้น ได้มีส่วนช่วยแผนอนุรักษ์พะยูนและหญ้าทะเลแห่งชาติ และได้ทำงานร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลมากขึ้น
การศึกษาต่อและการเชื่อมโยงงานอนุรักษ์กับวิกฤตโลกร้อน
“เมื่อมีโอกาสเรียนต่อปริญญาเอก ผมโฟกัสในเรื่องการอนุรักษ์ทะเลเต็มตัว ช่วงนั้นผมสนใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย ซึ่งหากย้อนกลับไปประมาณ 20 ปี ที่แล้ว ภาพยนตร์อย่าง "เรื่องจริงช็อคโลก (An Inconvenient Truth)" ของอดีตรองประธานาธิบดีอัล กอร์ เป็นหนังสารคดีที่จุดประเด็นให้คนเริ่มตระหนักถึงวิกฤตโลกร้อนขึ้นบ้างแล้ว
“จากประสบการณ์ ผมเห็นว่าปรากฏการณ์โลกร้อนจะมีผลกระทบต่อทะเลมากที่สุด โดยเฉพาะระบบนิเวศปะการังจะเป็นระบบแรกที่ได้รับผลกระทบ ผมจึงสนใจในเรื่องงานอนุรักษ์พื้นที่คุ้มครองทางทะเลและผลกระทบจากโลกร้อน ทำอย่างไรที่จะช่วยออกแบบพื้นที่คุ้มครองทางทะเลที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกร้อนได้ดีขึ้น โดยอาศัยข้อมูลเกี่ยวกับปะการังฟอกขาวและความสามารถในการฟื้นตัว (Resilience) ของระบบนิเวศ เพื่อหาวิธีช่วยให้ระบบนิเวศเหล่านี้อยู่รอดในยุคโลกร้อน”
ในช่วงเรียนปริญญาเอก ผมได้มีโอกาสทำงานกับองค์กรอย่างกองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) และ องค์กรระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ในระดับภูมิภาค ทำให้ได้เห็นการทำงานในหลายระดับ เพราะองค์กรระหว่างประเทศเหล่านี้ทำงานทั้งในเรื่องนโยบายและการนำร่องโครงการในระดับพื้นที่ ทำให้เราได้ประสบการณ์ทั้งในส่วนของการขับเคลื่อนเรื่องนโยบาย ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งการทำงานภาคสนาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมมีความสุขและเห็นการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ ทุกวันนี้ผมยังคงเดินทางลงพื้นที่และพยายามขับเคลื่อนเรื่องงานอนุรักษ์มาตลอด
ความจริงสิ่งแวดล้อมของโลก
“ปัจจุบันต้องบอกว่ามันวิกฤตจนไม่รู้จะวิกฤตยังไงแล้วดีกว่านะครับ เพราะว่าโลกเรามีวิกฤตหลายด้านมาก เวลาเราบอกว่าป่วยทุกคนรู้แหละว่าป่วย แต่ป่วยระดับไหน เป็นไข้หวัด เป็นโควิด หรือเป็นมะเร็ง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์มีแนวคิดที่เรียกว่า Planetary Boundary คล้าย ๆ ขีดความปลอดภัยของโลก หลายคนอาจรู้สึกว่าโลกร้อนเป็นวิกฤตที่สำคัญที่สุด แต่ความจริงแล้วเมื่อดูข้อมูลทางสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์บอกมาตลอดคือ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพหรือ Biodiversity Loss เป็นวิกฤตที่มีอัตราเร่งผิดธรรมชาติไปมาก
“เรากำลังสูญเสียสิ่งมีชีวิตในอัตราที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และการสูญเสียสิ่งมีชีวิตที่เราเรียกว่าความหลากหลายทางชีวภาพเนี่ย มันเหมือนกับการสูญเสียกลไกการควบคุมสมดุลทั้งหมด นักวิทยาศาสตร์พยายามบอกว่าการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ หรือการสูญเสียสัตว์ที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศ อย่างฉลาม หรือสัตว์ทะเลหายากต่างๆ จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรวมอย่างไร อันนี้วิกฤตมาก ๆ เพราะคนอาจจะยังไม่ค่อยตระหนักในเรื่องนี้
"อีกปัญหาที่ถูกมองข้ามมานานคือเรื่องของน้ำเสีย เรื่องของการใช้ปุ๋ยเคมีที่มากเกินขนาด ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่ามันส่งผลยังไงต่อสิ่งแวดล้อม คือพวกไนโตรเจน พวกฟอสฟอรัสไซเคิล ซึ่งปกติมันเป็นกลไกพื้นฐานในการควบคุมความสมดุล ตอนนี้เราดึงเอาปุ๋ยเคมีมาใช้เพื่อการเกษตรเยอะมากเยอะจนผิดระดับปกติ สุดท้ายเวลาฝนตกลงมาเหล่านี้ชะล้างลงสู่ทะเลหมดเลย เราจะเห็นปัญหาเรื่องของน้ำทะเลเปลี่ยนสี แพลงก์ตอนบลูม จนกระทั่งช่วงหลัง ๆ ประเทศไทยเองเริ่มมีสิ่งที่เรียกว่า Dead Zone หรือเขตแห่งความตาย คือเขตที่ทะเลไม่มีออกซิเจนเหลืออยู่เลย อันนี้เกิดจากการที่เราไปดิสรัปทำให้ไนโตรเจนและฟอสฟอรัสไซเคิลเปลี่ยนแปลงไปหมด
“ลำดับ 3 ถึงจะเป็นเรื่องของโลกร้อน เราไปจับตรวจชีพจรดูเนี่ยมันก็เข้าขั้นวิกฤตมาก ทั้งในเรื่องของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและเรื่องวิกฤตของสารเคมีที่เราใช้ นักวิทยาศาสตร์บอกเลยว่ามันเกินเขตเส้นแดงไปแล้ว เหมือนกับระดับไขมัน ระดับน้ำตาลตอนนี้เกินไปไกลมาก เรียกได้ว่าจะเป็นลมล้มลงไปวันไหนก็ไม่รู้”
ความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น
"ในเรื่องของสิ่งแวดล้อม เวลาที่มีการประชุมมันกลายเป็นประเด็นรองทุกครั้ง ไม่มีความสำคัญเท่ากับประเด็นทางเศรษฐกิจ ไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับประเด็นทางการเมือง ดูในนโยบายหาเสียงก็ได้ แทบจะไม่มีพรรคการเมืองพรรคไหนพูดประเด็นเหล่านี้
"แต่ถ้าเราดูภาพรวมของโลกจะเห็นเลยว่ามันเปลี่ยนไปแล้ว โดยมีสหภาพยุโรปเป็นผู้นำ มการออกนโยบายสิ่งแวดล้อมที่ค่อนข้างก้าวหน้ามากเพราะประชาชนเขาตระหนักว่าถ้าไม่แก้เรื่องพวกนี้ สุดท้ายมันจะส่งผลต่อเศรษฐกิจและส่งผลกระทบต่อทุกคนในที่สุด เราเลยเห็นว่าเป้าหมายการอนุรักษ์เหล่านี้ ปัจจุบันเริ่มกลายเป็นกฏหมายไปเรียบร้อยแล้วหมายความว่าเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติตาม ไม่ใช่แค่แบบสมัครใจแบบบ้านเรา
"ผมคิดว่าเรากำลังจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ปี 2020 ถึง 2030 ถือว่าเป็นทศวรรษชี้เป็นชี้ตาย ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ นักอนุรักษ์และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหันมาจับมือกันมากขึ้น ทุกฝ่ายพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงวันนี้ รออีก 10 ปี เราอาจจะทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ถึงตอนนั้นเราอยากจะเปลี่ยนแต่มันอาจสายเกินไปแล้วก็ได้"
“ข้อดีคือตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราป่วยด้วยโรคอะไร เพราะฉะนั้นถ้าจะแก้ปัญหารักษาโรคให้หาย เราก็ต้องแก้ให้ตรงจุด เรารูโลกร้อนตอนนี้มี Commitment ร่วมกันเรื่องของ Net Zero เราต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ให้ได้ ในส่วนของธรรมชาติ ตอนนี้มีการประชุมสุดยอดไปเมื่อปี 2022 มีข้อตกลงร่วมกันว่าเราจะต้องหยุดยั้งเรื่องของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพให้ได้ อันนี้ก็เป็น Commitment ร่วมกัน
“ในภาษาอังกฤษเขาบอกว่าเราจะต้องมีเป้าหมาย Nature positive คือเราต้องพยายามเอาธรรมชาติที่เคยสูญเสียจากการพัฒนากลับมาให้ได้ เราจะต้องหยุดยั้งการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพให้ได้ อันนี้คือเป็นเป้าหมายร่วมกันของโลก และเป็นสิ่งที่คนทำงานอนุรักษ์พยายามผลักดันมาตลอดหลายสิบปี"
วิกฤตการณ์ของมหาสมุทร
“นักวิทยาศาสตร์พยายามฉายให้เห็นฉากทัศน์ว่าถ้าอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1-2º จะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งทางวิทยาศาสตร์บอกว่าไม่ควรปล่อยให้อุณหภูมิเพิ่มเกิน 2º เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม เพราะถ้าเกินเราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศหลายอย่างที่ไม่อาจสามารถย้อนกลับมาได้อีก
“เริ่มจากแนวปะการัง ถ้าอุณหภูมิเกิน 2º นักวิทยาศาสตร์บอกเลยว่าแนวปะการังที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ อาจอยู่ไม่ได้แล้ว ปะการังเป็นระบบนิเวศที่เปราะบางมาก หลายคนอาจจะเคยได้ยินเรื่องปรากฏการณ์ฟอกขาว ซึ่งหลัก ๆ ก็เกิดจากการที่อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นเกินระดับปกติ
“แต่ละภูมิกาคมีเกณฑ์อุณหภูมิที่แตกต่างกันเช่น ประเทศไทยอุณหภูมิน้ำทะเลโดยเฉลี่ยปกติอยู่ที่ประมาณ ไม่เกิน 30° หากสูงเกินระดับนี้เป็นระยะเวลานาน ปะการังจะเริ่มเครียด จนขับสาหร่ายซูแซนเทลลี (Zooxanthellae) ออกไป ซึ่งสาหร่ายนี้เป็นเพื่อนอยู่ร่วมของปะการังมีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกัน
“เมื่อสาหร่ายหายไป ก็เหลือแต่โครงกระดูกของปะการัง กลายเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘ปะการังฟอกขาว’ ถ้าอุณหภูมิลดลงปะการังอาจฟื้นตัวได้ แต่หากอุณหภูมิสูงนานหรือสูงเกินไปปะการังก็ตายได้เช่น ถ้าอุณหภูมิสูงกว่าปกติ 2-3° ปะการังอาจตายภายในหนึ่งอาทิตย์ระบบนิเวศอย่างปะการังอาจอยู่ไม่ได้แล้ว
“ถ้าประเทศไทยมองเรื่องเศรษฐกิจจริงๆ เรายิ่งต้องเร่งอนุรักษ์ปะการัง เชื่อไหมว่ามีงมีงานวิจัยระดับโลกประเมินว่าการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับแนวปะการังสร้างรายได้ให้ประเทศปีละประมาณ 80,000 – 90,000 ล้านบาท แต่ถ้าไม่มีปะการังนักท่องเที่ยวก็อาจเลือกไปที่อื่น เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ หรือมัลดีฟส์
“ประเด็นที่สองคือ ปะการังเป็นแหล่งผลิตอาหารและเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำสำคัญ ถ้าปะการังหายหมดไป ระบบนิเวศทางทะเลจะขาดสมดุล อีกหนึ่งบทบาทที่เราอาจมองไม่เห็น คือปะการังช่วยลดพลังคลื่นที่เข้าสู่ชายฝั่ง งานวิจัยบอกว่าสามารถลดพลังคลื่นได้ถึง 97% หากไม่มีปะการัง ชายฝั่งอาจถูกกัดเซาะมากขึ้น กระทบชุมชนและระบบเศรษฐกิจโดยรวม
“ถ้าอุณหภูมิเพิ่มเกิน 3° นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า พายุและภัยธรรมชาติจะทวีความรุนแรงขึ้น เพราะอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น กลายเป็นพลังงานเสริมให้กับพายุ ปัจจุบันหลายประเทศเจอพายุระดับสูงสุดบ่อยขึ้น แม้บ้านเราจะโชคดีที่ไม่เจอภัยรุนแรงบ่อย แต่ถ้าอุณหภูมิแตะ 3° ผมคิดว่าเราอาจเริ่มเห็นพายุใหญ่เข้ามาในไทยบ่อยขึ้น”
“ระบบนิเวศชายฝั่งอย่างหญ้าทะเลและป่าชายเลนที่เคยเป็นปราการให้เรา จะได้รับผลกระทบมากขึ้น ซึ่งส่งผลเป็นวงจรป้อนกลับ (Feedback Loop) ภัยธรรมชาติทำลายระบบนิเวศ ระบบนิเวศทำงานไม่ได้ ชุมชนก็ได้รับผลกระทบมากขึ้น
“ถ้าอุณหภูมิเพิ่มถึง 4-5° โลกจะเปลี่ยนไปตลอดกาล นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าระบบนิเวศหลายอย่างจะหยุดทำงาน อาจเกิดการแข่งขันทรัพยากร ประเทศหมู่เกาะเล็ก ๆ คงอยู่ไม่ได้ ส่งผลให้มนุษย์ต้องอพยพจากภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบ ฉากทัศน์พวกนี้คนส่วนใหญ่มองว่าไกลตัว อาจสงสัยว่าจะเกิดจริงไหม แต่โควิด-19 เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าวิกฤตโลกสามารถกระทบเราได้อย่างมหาศาล
“ส่วนตัวผมคิดว่าธรรมชาติยังอยู่ต่อไปได้ แต่กลุ่มที่อยู่ต่อไม่ได้อาจเป็นมนุษย์เอง ดังนั้นการพูดถึงโลกร้อน หรือการล่มสลายของระบบนิเวศ จริง ๆ แล้วเราคือกำลังพูดถึงอนาคตของมนุษยชาติ ว่าเราจะอยู่รอดต่อไปได้อย่างไร หากไม่ลงมือแก้ไข”
กรุงเทพเมืองบาดาลไม่ไกลเกินจริง
“ผมมองว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก ถ้าเราดูจากการพยากรณ์ทางวิทยาศาสตร์ เพราะระดับน้ำทะเลจะต้องสูงขึ้นแน่นอน สิ่งที่ผมคิดว่าน่ากลัวไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ จะจมน้ำหรือเปล่า แต่เป็นคำถามว่า เราจะรับมือกับการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลยังไง ตามการคาดการณ์เดิมในปลายศตวรรษนี้ ระดับน้ำทะเลอาจเพิ่มขึ้นราว 50 เซนติเมตร แต่ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์กังวลมากขึ้น เพราะอัตราการเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่เคยคาดไว้เยอะ
“ปัจจุบันหลายโมเดลบอกเลยว่าภายในสิ้นศตวรรษนี้ ระดับน้ำทะเลอาจเพิ่มขึ้นถึง 50 เซนติเมตรถึง 2 เมตรเลยนะครับ นั่นหมายความว่า อีกแค่ 70-80 ปีเท่านั้นเอง ถ้าระดับน้ำขึ้น 2 เมตร กรุงเทพฯ ก็จะท่วมหมดแน่นอน เพราะเราอยู่ใกล้ระดับน้ำทะเลอยู่แล้ว คำถามคือเราจะปรับตัวยังไง
“ผมคิดว่าประเด็นโลกร้อนมีสองมิติหลัก หนึ่งคือการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ สองคือการเตรียมตัวรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แม้เราจะหยุดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตั้งแต่วันนี้ ผลกระทบบางอย่างก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดี เพราะมันสะสมมาแล้วในชั้นบรรยากาศ
“การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีหลายแนวทางครับ หนึ่งในแนวทางที่กำลังถูกพูดถึงมากตอนนี้คือ ‘Nature-based Solutions’ หรือการแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นฐาน แนวคิดนี้สวนทางกับวิธีการเดิม เช่น พอเกิดการกัดเซาะเราก็สร้างเขื่อน อยากเก็บน้ำก็สร้างเขื่อนเก็บน้ำ แต่แนวทางใหม่มองว่า เราควรใช้ระบบนิเวศที่เรามีอยู่แล้วมาเป็นเครื่องมือช่วยรับมือกับภัยพิบัติแทนเช่น ฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่ลุ่มต่ำ ป่าชายเลน หญ้าทะเล มาเป็นตัวรับน้ำ เป็นตัวลดแรงคลื่น เป็นตัวกรองน้ำเสีย เป็นปราการธรรมชาติ
“สำหรับกรุงเทพฯ นี่ก็น่าคิดเหมือนกันนะครับ ถ้าระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจริงในระยะยาว เราอาจต้องคิดเรื่องการออกแบบเมือง สถาปัตยกรรม ระบบสาธารณูปโภค ให้รองรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ อินโดนีเซียเองก็ย้ายเมืองหลวงออกจากจาการ์ตาเพราะปัญหาน้ำท่วมและภัยพิบัติ ฉะนั้นผมคิดว่าประเทศไทยเราก็ควรมีแผนระยะยาว เพราะการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มันเกิดขึ้นแน่นอน”
สารปนเปื้อนในอาหารสิ่งที่เลี่ยงไม่พัน
“ผมคิดว่ามนุษย์หลีกเลี่ยงไมโครพลาสติกจากสิ่งปนเปื้อนในทะเลแทบไม่ได้เลย เพราะตอนนี้มันเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อาหารหมดแล้ว ตั้งแต่ระดับนาโนพลาสติกจนถึงสัตว์ที่เป็นฐานของพีระมิดอาหารทะเล พวกเขาก็ได้รับพลาสติกเข้าไปเช่นกัน แล้วประเด็นเรื่องพลาสติกใหญ่มากนะครับ เราอาจจะยังไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ชัดเจนว่ากินเข้าไปเท่าไหร่จะเริ่มส่งผลกระทบ แต่เรารู้ดีว่าพลาสติกไม่ใช่แค่พลาสติกธรรมดา มันมีสารเติมแต่งมากมายเช่น สารพิษ โลหะหนัก ที่อาจหลุดออกมาเวลาพลาสติกแตกตัว
“ถามว่าอาหารทะเลทุกวันนี้ปลอดภัยไหม ผมคิดว่ามีการปนเปื้อนแน่นอน แต่การแก้ปัญหาตรงนี้ทำได้หลายระดับ ตอนนี้ในระดับโลกเองกำลังร่างสนธิสัญญาพลาสติกกันอยู่ เพราะการจัดการขยะพลาสติกอย่างเดียวไม่พอ ต้องย้อนกลับไปที่ต้นทาง คือการจำกัดปริมาณการผลิตพลาสติกออกมาก่อน ตราบใดที่ปริมาณการผลิตยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเราก็ไม่มีทางแก้ปัญหานี้ได้จริง
“สนธิสัญญาพลาสติกโลกมีเป้าหมายในการจำกัดการผลิตพลาสติก และยกระดับการจัดการพลาสติกในแต่ละประเทศ ซึ่งก็หวังว่าปีนี้เราจะบรรลุข้อตกลงสำเร็จ ถ้าเรามีสนธิสัญญาพลาสติกโลกได้จริง เท่ากับว่าเราจะมีกรอบกฎหมายระดับโลกครอบคลุม 3 ด้านสำคัญ คือ 1.เรื่องโลกร้อน 2.พันธกิจเรื่องคาร์บอน 'Net Zero' หรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ 3.คือเรื่องธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ
“ความจริงเราก็มีอนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพที่เปลี่ยนจากเป้าหมายลดผลกระทบ มาเป็นเป้าหมายทำให้ธรรมชาติฟื้นกลับมาได้ (Nature Positive) และถ้ามีสนธิสัญญาพลาสติกโลกเพิ่มเข้ามา เราก็จะมีนโยบายและทิศทางร่วมกันในระดับโลก ในการแก้ปัญหาทั้งสามเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ”
พ.ร.ก ประมง สิ่งที่ได้อาจไม่คุ้มเสีย
“พ.ร.ก. ประมงล่าสุด โดยเฉพาะมาตรา 69 ซึ่งอาจเปิดทางให้ใช้อวนตาถี่นอกเขต 12 ไมล์ทะเลในเวลากลางคืนได้นั้น เป็นประเด็นที่หลายคนออกมาแสดงความเห็น เพราะเท่ากับว่าสามารถใช้อวนตาถี่ประกอบกับแสงไฟได้นอกชายฝั่ง จากประสบการณ์ของนักวิชาการ นักดำน้ำ หรือนักตกปลา เขตนอก 12 ไมล์ ไม่ใช่พื้นที่ว่างเปล่าแต่มันเป็นพื้นที่เชื่อมโยงของวงจรชีวิตสัตว์น้ำหลายชนิด
“เวลาใช้อวนตาถี่กับแสงไฟล่อ ตัวอ่อนของสัตว์น้ำจะถูกดึงดูดเข้ามาหมด แล้วถูกจับขึ้นมาด้วยอวนตาถี่ขนาดเล็กมาก จนกลายเป็นการทำลายวงจรชีวิตของปลาเหล่านั้น กลุ่มประมงพื้นบ้านเองก็ออกมาคัดค้านมาตรานี้อย่างหนัก เพราะรู้ดีว่าปลาที่พวกเขาจับก็มีวงจรชีวิตที่ออกไปเกิน 12 ไมล์ทะเลเหมือนกัน
“ถ้าถูกจับตั้งแต่ยังเล็กด้วยวิธีทำลายล้างแบบนี้ เท่ากับว่าเราตัดโอกาสในการฟื้นตัวของทรัพยากรทางทะเล ซึ่งกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศด้วย ปรากฏการณ์ที่กลุ่มผู้ใช้ประโยชน์จากทะเลออกมาเคลื่อนไหวร่วมกัน ผมมองว่าเป็นเรื่องดี เพราะทำให้คนทั่วไปเริ่มสนใจว่าประมงที่ไม่ยั่งยืนนั้นเกี่ยวข้องกับเราแค่ไหน
“ผมรู้สึกว่ามาตรานี้เหมือนกับว่าเป็นการถอยหลัง ทั้งที่จริง ๆ แล้วประเทศไทยเพิ่งผ่านการแก้ไข พ.ร.ก. ประมงมาไม่นาน เพื่อแก้ปัญหาแรงงานผิดกฎหมายและการทำประมงที่ไม่ยั่งยืน หลังเคยถูกอียูให้ใบเหลือง ตอนนี้เรามีระบบตรวจสอบที่ดีขึ้นเช่น เรือประมงพาณิชย์ต้องมีทะเบียน และติดเครื่องติดตามเส้นทาง เราจึงสามารถรู้ได้ว่าเรือไปทำประมงในเขตหวงห้ามหรือไม่ หลังจากการแก้กฎหมายครั้งนั้น ผมว่าสถานการณ์ทะเลไทยดีขึ้นเยอะเลยนะครับ
“เรื่องประมงเริ่มเข้าระบบมากขึ้น และเราเห็นว่าทะเลไทยมีศักยภาพในการฟื้นตัวสูง แม้แต่ในช่วงโควิด-19 ที่มนุษย์หยุดกิจกรรมบางอย่าง เราก็เห็นเต่ากลับมาวางไข่ที่เกาะสมุยและภูเก็ต ซึ่งเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวเข้มข้น กรณีของอ่าวมาหยา ที่เคยถูกทำลายจากจำนวนนักท่องเที่ยวมหาศาล พอถูกปิดไปเกือบ 4 ปีก่อนโควิด เราเห็นฉลามกลับมาในพื้นที่ แสดงให้เห็นว่าทะเลฟื้นตัวได้จริง ถ้าเราให้โอกาส
“กรณีของ พ.ร.ก มาตรา 69 นี้ ผมมองว่าไม่ได้ช่วยอะไรเลย ตรงกันข้ามมันอาจเป็นการซ้ำเติมระบบนิเวศที่กำลังจะฟื้นตัว แต่สิ่งดีที่เกิดขึ้นคือ ประเด็นนี้ถูกพูดถึงมากขึ้นในสังคม ทำให้คนทั่วไปเริ่มสนใจว่าทะเลสำคัญกับเราอย่างไร กรณีนี้คล้ายกับดราม่าเรื่องการจัดการอุทยาน ที่ถึงแม้จะมีข้อถกเถียง แต่ก็ดีที่ทะเลถูกพูดถึงในวงกว้าง เพราะทะเลเป็นระบบนิเวศที่ถูกมองข้ามมานาน”
วิกฤตทะเลไทยกับการแก้ไขปัญหา
“โดยรวมนะครับ ผมคิดว่าทะเลของเรากำลังอยู่ในภาวะวิกฤต แม้ว่าหลายพื้นที่จะมีการจัดการดีขึ้น นโยบายบางอย่างก็เคลื่อนไหวไปในทางที่ดีมากขึ้น ตอนนี้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเองก็ผลักดันแนวคิดเรื่อง เขตพื้นที่คุ้มครองโดยชุมชน ซึ่งก็คือการอนุรักษ์ทะเลหน้าบ้านของตนเอง ผมคิดว่าถ้าเราสามารถผลักดันเครือข่ายตรงนี้ให้เกิดขึ้นได้ทั่วประเทศ มันจะเป็นก้าวสำคัญของงานอนุรักษ์ทะเลไทย
“เพราะเมื่อชุมชนพื้นบ้านมีสิทธิ์ในการจัดการทรัพยากรของตัวเอง มีสิทธิ์ในการฟื้นฟู พวกเขาจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ทะเลกลับมาสมบูรณ์ได้ ตอนนี้เราเหมือนมีพื้นที่อุทยานที่คนไปใช้ประโยชน์รุมกันหมด แต่ถ้าเรามีเขตอนุรักษ์กระจายไปทั่วประเทศ เป็นเขตทะเลหน้าบ้านของแต่ละชุมชน มันจะค่อย ๆ ประกอบเป็นจิ๊กซอว์ที่ทำให้ทะเลไทยกลับมามีความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง
“ผมยกตัวอย่างโครงการหนึ่งที่เข้าไปช่วยเป็นที่ปรึกษาอยู่ด้วย คือโครงการฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาว พวกเขาเคยพบได้ทั่วไปในทะเลไทย แต่ 20 ปีมานี้ จำนวนลดลงไปเยอะมาก นักดำน้ำต้องดำนาน ๆ ถึงจะเจอสักตัว แต่ตอนนี้ประเทศไทยกำลังเป็นพื้นที่ที่ 2 ในโลก ที่จะเอาฉลามคืนสู่ธรรมชาติอย่างเป็นวิทยาศาสตร์นะครับ ถ้าเราสามารถนำฉลามกลับมาได้ นั่นหมายความว่าเราสามารถที่จะฟื้นฟูความสมดุลของระบบนิเวศในทะเลนั้นได้ โครงการนี้เพิ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ภูเก็ตเป็นที่แรก เราได้ทุนจากต่างประเทศโดยร่วมมือกับอควาเรียมของเอกชน ที่เขาสามารถเพาะพันธุ์ฉลามเสือดาวได้ นอกจากนี้ยังร่วมมือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ และกรมประมง ในการที่จะเอาฉลามเสือดาวกลับมาปล่อยในพื้นที่ทะเลที่เคยมีรายงานการพบตามธรรมชาติของบ้านเราครับ
“หลายคนอาจไม่รู้ว่าฉลามตัวเดียว สามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวดําน้ําได้มากกว่าการจับมาขายเป็นหูฉลามหรือลูกชิ้นปลาหลายร้อยเท่า งานวิจัยบอกเลยว่าฉลามที่ยังมีชีวิตอยู่ สร้างเศรษฐกิจได้ยั่งยืนกว่าฉลามที่ตายแล้วดังนั้นการอนุรักษ์ฉลามไม่ใช่แค่เรื่องของธรรมชาติ แต่ยังสร้างมูลค่าให้กับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นชุมชน นักท่องเที่ยว หรือแม้แต่ภาคธุรกิจ”
การท่องเที่ยวไทยต้องปรับตัว
“กรณีของอ่าวมาหยาที่ถูกปิดไปก่อนหน้านี้ เป็นตัวอย่างหนึ่งของการจัดการที่เปลี่ยนแปลงจริง ๆ ครับ จากเดิมที่เคยให้สปีดโบ๊ทเข้าออกได้สะดวก เปลี่ยนเป็นไม่ให้เข้าเลย แล้วต้องเข้าทางด้านหลังและเดินเท้าเข้าไปแทน ผมมองว่านี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเราสามารถทำให้การท่องเที่ยวในประเทศไทยมีคุณภาพมากขึ้นได้ ไม่ใช่แค่โฟกัสที่จำนวนคน ตอนนี้เองเรื่องของตัวชี้วัดความสำเร็จในการท่องเที่ยว ผมคิดว่านักวิชาการก็พยายามพูดตลอดนะครับ ว่าอย่าไปดูแค่ว่านักท่องเที่ยวเข้ามากี่คน แต่ควรจะดูในแง่ของรายได้ที่เกิดขึ้น
“ถ้าจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวแล้วเก็บค่าเข้าแพงขึ้น เราอาจได้รายได้เท่าเดิมหรือมากกว่า แต่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลงเยอะ ต้องยอมรับตรง ๆ ว่าตราบใดที่จำนวนนักท่องเที่ยวเกินศักยภาพของพื้นที่ เราจัดการยังไงก็ไม่ไหว ทั้งเรื่องขยะ จำนวนเรือ และความเสียหายต่อธรรมชาติ ถ้าเราจำกัดแบบนี้ นักท่องเที่ยวที่มาจะรู้สึกว่าที่นี่มันพิเศษจริง ๆ มันก็เพิ่มมูลค่าให้แหล่งท่องเที่ยวของเรา ไม่ใช่เปิดเต็มที่แล้วกลายเป็นใครก็เข้าได้จนสภาพแวดล้อมแย่ไปหมด
“ประเทศไทยเรามีแหล่งท่องเที่ยวชั้นดีอีกเยอะแยะครับ ถ้าเรามีรูปแบบการจัดการที่ดีขึ้น ทั้งนักท่องเที่ยวได้ประสบการณ์ดี ชุมชนได้ประโยชน์ ธรรมชาติก็ฟื้นตัวได้ด้วย”
ไกด์เถื่อนกับปัญหาใหญ่ของการท่องเที่ยวไทย
“สิ่งหนึ่งที่แฝงมากับการท่องเที่ยวคือไกด์เถื่อน มันสะท้อนถึงการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพนะครับ เพราะเราทราบดีอยู่แล้วว่าอาชีพไกด์เป็นอาชีพสงวนสำหรับคนไทย เรื่องนี้เราควรจะออกมาเรียกร้องให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ภาครัฐเองก็ต้องมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้ เพราะเราเห็นมาตลอดว่าคุณภาพของไกด์มันส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์ของนักท่องเที่ยว ถ้าไกด์ไม่ดูแลนักท่องเที่ยวก็จะรู้สึกว่าจ่ายเงินมาแล้วทำอะไรก็ได้ซึ่งมันไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย
“ส่วนไกด์ไทยเองก็ต้องมีความรับผิดชอบเหมือนกันนะครับ เป็นเหมือนหูเป็นตาของพื้นที่ ถ้าเห็นอะไรที่ไม่ควรก็ต้องออกมาพูด ออกมาบอกเพื่อให้ปัญหานี้แก้ได้อย่างจริงจัง เพราะถ้าปล่อยให้มีไกด์เถื่อนทำงานไปเรื่อย ๆ ผมคิดว่าเราจะไม่มีทางสร้างความร่วมมือในการอนุรักษ์พื้นที่ท่องเที่ยวได้เลย
“ไกด์เถื่อนเขาไม่ได้มีความผูกพันกับพื้นที่ที่จะรู้สึกว่านี่คือสมบัติของบ้านเขา อยากใช้ยังไงก็ได้ เสียหายยังไงก็ได้ เพราะสุดท้ายเขาอาจจะย้ายไปทำงานที่อื่นต่อแล้วไม่ได้สนใจว่าพื้นที่จะเสียหายในระยะยาว นี่คือต้นตอของปัญหาใหญ่ครับ ถ้าเราอยากเปิดโอกาสให้คนเข้ามาใช้ประโยชน์จากแหล่งท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืน เราต้องเริ่มจากการควบคุมคุณภาพของคนที่พาคนอื่นเข้าไปใช้พื้นที่เหล่านั้นก่อน”
แม้เพียงแสงริบหรี่ก็ยังมีหวัง
“ผมว่าปัญหาของทะเลมันมีหลายระดับมากนะครับ เรื่องใหญ่ที่สุดเลยคือโลกร้อน เพราะถ้าไม่แก้ตรงนี้ ทะเลตายแน่นอน อยากให้เรื่องโลกร้อนอยู่ในความสนใจของเราทุกคน อะไรทำได้ก็ทำเลยนะครับ อย่าคิดว่าฉันแค่คนเดียวจะเปลี่ยนอะไรไม่ได้ ผมเชื่อว่าถ้าคนหนึ่งคนเริ่มเปลี่ยนตัวเอง มันส่งผลกระทบแน่นอน ซึ่งทั่วโลกก็รณรงค์เรื่องนี้เหมือนกัน
“ถ้าจะแก้ปัญหาทะเลจริง ๆ เราก็ต้องมองเรื่องของการประมงให้มากขึ้นครับ เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ ไม่ใช่แค่ชาวประมง อยากให้คนเมืองสนับสนุนปลาจากประมงพื้นบ้านที่เขารวมกลุ่มกัน ที่เขาพยายามผลักดันการอนุรักษ์ ซื้อของที่มาจากแหล่งที่มีความรับผิดชอบ แค่นี้ก็เป็นการแสดงพลังแล้วครับ”
“ในส่วนของการท่องเที่ยว ทะเลหลายแห่งในบ้านเราเสียหายจากการท่องเที่ยวที่ไม่รับผิดชอบ ผมคิดว่าเราเลือกได้นะครับ เลือกผู้ประกอบการที่ใส่ใจธรรมชาติ เวลาไปเที่ยวเราเองก็เป็นหูเป็นตาได้ เช่น ถ้าเห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ก็สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ หรือแม้แต่โพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อให้มีการตรวจสอบ โซเชียลมีเดียไม่ใช่เครื่องมือแค่โชว์ภาพสวย ๆ มันคือเครื่องมือในการควบคุมสมดุลได้ด้วย ถ้าใช้ให้ถูกทาง
“ควรสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการท่องเที่ยว จากไกด์ที่มีความรับผิดชอบต้องได้รับการสนับสนุน คนที่ทำผิดก็ต้องมีหลักฐานมาแสดงให้ชัดเจน ไม่ใช่ทำแบบทุบหม้อข้าวตัวเอง ผมยังเชื่อว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่เขาเข้าใจ ถ้าเราช่วยกันสร้างมาตรฐานใหม่ อะไรที่ไม่รับผิดชอบจะกลายเป็นสิ่งที่อยู่ไม่ได้ในสายอาชีพนี้
“ผมยังเชื่อว่าทะเลเรายังมีทางไปได้ หากเราช่วยกันเป็นหูเป็นตา ทั้งในฐานะนักท่องเที่ยวหรือในฐานะคนไทยธรรมดาคนหนึ่งเพราะถ้าเราให้โอกาสทะเล เขาแสดงให้เราเห็นแล้วว่าสามารถฟื้นตัวได้จริง ๆ อย่างกรณีของอ่าวมาหยา หรือพื้นที่อื่น ๆ ที่เคยปิดเพื่อฟื้นฟูแล้วทะเลกลับมาสวยงามได้
“ผมก็ยังหวังว่า อีก 10 ปีจากนี้ ถ้าเราได้มานั่งคุยกันอีกครั้ง เราจะได้มาพูดถึงเรื่องความสำเร็จในการอนุรักษ์ทะเลของไทยให้คนรุ่นใหม่ได้ฟังและช่วยกันสานต่อให้ทะเลไทยฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์กลับมาให้ได้”