The Soul of Architecture  สถาปัตยกรรมแห่งการสังเคราะห์ ผศ.บุญเสริม เปรมธาดา

The Soul of Architecture สถาปัตยกรรมแห่งการสังเคราะห์ ผศ.บุญเสริม เปรมธาดา

“ผมกับสถาปัตยกรรมเป็นสิ่งที่คิดถึงกันตลอดเวลา แค่เห็นสมุดก็นึกถึงสถาปัตยกรรม ผมคิดว่ามันเป็นความคิดถึงหรือมันอาจจะเป็นจิตใต้สำนึกและพรหมลิขิตก็ได้ที่ทำให้เราคิดถึงกัน ผมคิดถึงงาน บทสรุปมันก็คือสิ่งที่เรารัก ผมไม่ได้บ้างานแต่ไปไหนเราก็จะคิดถึงมัน ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจความสำคัญของสถาปัตยกรรมที่ผมกำลังจะสื่อสารว่าทำไมต้องมีสถาปัตยกรรมที่ดี เพราะมันจะเป็นการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนและธรรมชาติ”

ผศ.บุญเสริม เปรมธาดา คือสถาปนิกคนสำคัญท่านหนึ่งของประเทศไทยที่สร้างผลงานคว้ารางวัลระดับโลกมาแล้วมากมาย ทั้งการเป็นสถาปนิกไทยคนแรกที่คว้ารางวัลชนะเลิศ The AR+D  Awards for Emerging Architecture 2011 ได้รับรางวัลชนะเลิศสูงสุด Overall Winner และ The Winner Hospitality Category จาก THE PLAN AWARD 2017 ประเทศอิตาลี รวมถึงรางวัล Royal Academy Dorfman Award 2019 โดยราชบัณฑิตยสถานด้านศิลปะแห่งสหราชอาณาจักรซึ่งถือเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ ส่วนในประเทศไทยท่านก็ยังได้รับรางวัลศิลปาธร (สถาปัตยกรรม)ในปี พ.ศ. 2562 มาแล้วอีกด้วย

นอกจากนี้ท่านยังมีผลงานโดดเด่นเป็นที่รู้จักอย่างมากมาย เช่น ‘อาคารกันตนา’ สถาปัตยกรรมอาคารอิฐไทยร่วมสมัย ‘The Wine Ayudhya’ งานออกแบบร้านหรูที่ใช้วัสดุไม้อัดยางมาทำเป็นโครงสร้างทั้งหลัง ‘Elephant Stadium’ งานออกแบบเพื่อคนและช้างของชุมชนชาวกุยในจังหวัดสุรินทร์ที่ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดไปแล้ว ‘Elephant Tower’ อีกหนึ่งแลนด์มาร์กภายในโลกของช้าง เป็นหอชมช้างที่สร้างขึ้นจากผังทรงหยดน้ำโดยใช้ฝีมือและเทคนิคของอิฐและช่างก่อสร้างท้องถิ่น ซึ่งผลงานของอาจารย์บุญเสริมส่วนใหญ่จะมีความกลมกลืนระหว่างธรรมชาติกับชุมชน ใช้วัสดุพื้นฐานที่อยู่ในท้องถิ่นสร้างผลงานออกมาจนกลายเป็นไอคอนที่สร้างงานและรายได้ให้กับชาวบ้านจำนวนหนึ่ง

“สิ่งที่เราคุ้นเคยหรือมองว่าเป็นสิ่งธรรมดา แต่ผมได้มองลึกลงไปกว่าว่าอันนี้คือรากของเรา ผมมองแค่ว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นคือสิ่งที่ผมรู้สึกประทับใจแม้มันจะเป็นสิ่งที่ดูธรรมดามาก เพราะว่างานของผมไม่ได้ใช้คนพิเศษทำแต่มันเกิดขึ้นจากฝีมือชาวบ้านธรรมดา ๆ ผมไม่ได้เรียนรู้ที่หน้าตาแต่เรียนรู้ให้เข้าใจถึงคนที่สร้าง ให้เข้าใจถึงเจ้าของที่ครอบครองมันอยู่ พอเข้าใจเสร็จแล้วก็นำวิธีการเหล่านี้มาใช้กับงานของเรา นั่นคือสิ่งที่ผมให้ความสำคัญกับมัน งานที่ออกมานั้นคือมาสเตอร์ แต่ละท่านก็มีวิธีการหรือกระบวนการที่แตกต่างกัน ผมไม่ใช่มาสเตอร์แต่ผมก็ทำแบบที่ผมเห็นว่าควรจะเป็น เห็นว่ามันเหมาะสมกับคนที่สมควรครอบครองและใช้งานมัน 

“อย่างงานของผมที่ใช้อิฐเป็นส่วนประกอบ ผมกำลังบอกว่าสิ่งที่เรามีอยู่ใกล้ตัวและสิ่งที่เรามีอยู่นั้นสามารถจะหยิบออกมาใช้ได้ทุกเมื่อ เราสามารถเอามาพัฒนาต่อได้ตลอดเวลา ถ้าเราไม่ได้มองไปไกลมากหรือมองข้ามสิ่งที่เรามีอยู่เราอาจจะไม่เห็นอะไร เพราะการมองไปไกลสุดท้ายมันอาจจะมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า ฉะนั้นสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ทั้งอิฐ ซากปรักหักพังต่าง ๆ ถ้าเรามองมุมกลับเหมือนที่ผมกำลังพูดว่าการมองมุมกลับนั้นมันเป็นการทำให้เราได้กลับมาทบทวน การมองมุมกลับนั้นเป็นการมองหาที่มาที่ไปของมันว่าเป็นมายังไงและสุดท้ายมันจะไปไหนต่อ หรือเราจะปล่อยให้มันกองอยู่กับพื้น หรือเราจะยกมันขึ้นมาใหม่และเปลี่ยนมัน เปลี่ยนรูปร่างของมัน เปลี่ยนชีวิตของมันใหม่ ชุบชีวิตให้มันใหม่ หรือเปลี่ยนเป็นอีกแบบหนึ่งที่เหมาะสมกับคนรุ่นเราในปัจจุบัน ฉะนั้นมันเลยไม่มีอดีตอีกต่อไป อดีตนั้นผมว่ามันเป็นสิ่งที่เราได้เรียนรู้ ถ้าเรารู้จักหยิบมันและเอามาสังเคราะห์ใหม่เราก็จะได้สิ่งใหม่ที่เกิดขึ้น”

ความเข้มแข็งจากวัยเด็ก สู่การเติบโตอย่างมุ่งมั่น

ชีวิตวัยเด็กของอาจารย์บุญเสริมไม่ได้สวยหรูนัก ท่านเติบโตในชุมชนย่านบ่อนไก่กรุงเทพฯ ฐานะทางครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยมาก มีคุณพ่อเป็นช่างไม้ที่ต่อมาผันตัวเองเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ตรงส่วนนี้เองทำให้อาจารย์บุญเสริมได้คลุกคลีซึมซับเรื่องของหลักการและพื้นฐานงานก่อสร้างมาพอสมควร 

“สิ่งหนึ่งที่พ่อผมสอนเสมอคือแม้แต่การตัดไม้ก็ต้องวัดก่อน แล้วไม่ได้วัดครั้งเดียวแต่ต้องวัดหลาย ๆ ครั้ง เพราะถ้าไม้ถูกตัดแล้วมันจะเสียไปเลย มันต่อไม่ได้ถึงต่อได้ก็เป็นรอย ฉะนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่เราได้เรียนรู้และทำให้เรารอบคอบ พ่อผมพูดเสมอว่าเวลาทำต้องลงมือทำจริง คนที่เป็นช่างต้องลงมือทำจริง ผมเลยได้กลับมาย้อนดูการลงมือทำจริงว่ามันเป็นประโยชน์อย่างไร ปรากฏว่ามันทำให้เราเข้าใจในสัดส่วนสเกล เวลาผมคิดคือคิดและเขียนแบบในสเกลเล็ก แต่พอทำจริงมันทำให้เราเข้าใจในสัดส่วนของสเกลใหญ่ ตรงนี้เองที่พอหลายคนได้เห็นงานของบุญเสริมแล้วคิดว่ามันมีความรู้สึก นั่นเพราะเราเข้าใจในสเกล

“ถ้าลองมองย้อนกลับไปตอนที่ผมอยู่กับครอบครัว ผมคิดว่าอาจจะเป็นพรหมลิขิตที่มาทดสอบก็ได้ว่าผมนั้นคือตัวจริงเสียงจริงหรือเปล่า แล้วถ้าคุณผ่านในเรื่องแบบนี้มาได้ ผ่านจุดที่มันยากลำบากขนาดนี้มาได้ นี่จึงเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นประโยชน์มากสำหรับตัวเอง เมื่อมองย้อนกลับไปการอยู่ตรงนั้นมันทำให้เรารู้สึกไม่ดี คือในวัยเด็กมันก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไรหรอก เด็กมันก็คือเด็กที่สนุกสนาน แต่ในความเป็นผู้ใหญ่ท่านไม่อยากให้เราไปลำบากแบบเขา ครอบครัวจึงต้องให้การศึกษากับผม 

“ฉะนั้นการศึกษาของผมมันไม่ได้มีทางเลือกมาก ผมจึงต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง คุณพ่อคุณแม่ก็มีส่วนสำคัญแต่ด้วยความที่พวกท่านไม่ได้มีความรู้เยอะ ไม่มีทางหรอกครับที่จะมาสอนเราได้ สิ่งที่ทำได้คือตัวเองต้องควบคุมตัวเองให้ดี ผมเชื่อว่าในสถานการณ์ปัจจุบันก็เหมือนกัน เพียงแต่ผมคิดว่าในปัจจุบันมันโชคดีกว่าเพราะคนรุ่นใหม่มีเครื่องไม้เครื่องมือ มีสิ่งแวดล้อม มีเทคโนโลยีต่าง ๆ ทำให้เข้าถึงได้ง่าย

“ในช่วงที่ผมเรียนหนังสือ ผมเป็นนักเรียนธรรมดาที่ยังไม่มีความคิดอะไร พื้นเพของผมคือไม่มีใครมาชี้แนะ เด็กคือเด็ก ผมอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีแรงบันดาลใจอะไรมากมาย ตอนที่เป็นเด็กคิดแบบนั้น แต่พอมองย้อนกลับไปนั่นคือที่ที่หล่อหลอมเรามาทำให้ผมเข้มแข็งจนถึงทุกวันนี้ ไม่ได้บอกว่าบุญเสริมตอนเด็กนั้นจะเกิดมาเพื่อเป็นอะไร แต่ตอนนั้นอย่างน้อยที่สุดมันทำให้ผมเข้มแข็ง ดังนั้นผมจะทำอะไรก็ได้ถ้าผมเข้มแข็ง อดทน ขยัน มุ่งมั่น ผมเชื่อว่าตรงนั้นสำคัญกว่า

“หลังจากผมเรียนจบสถาปัตย์ อย่างแรกทุกคนที่เรียนจบออกมาอย่าลืมว่าเราคือมนุษย์ต้องการเงิน ต้องการทุน ต้องกินต้องใช้ คุณมีพ่อแม่แต่เมื่อคุณเรียนหนังสือจบก็ต้องตอบแทนเลี้ยงดูท่าน อันนี้คือเรื่องจริงในสังคมไทยและเป็นวัฒนธรรมของเรา ดังนั้นใครที่เรียนจบออกมาแล้วเริ่มเป็นตัวของเราเองเลยผมคิดว่ามันมีน้อยมาก คนที่จะมีโอกาสแบบนั้นคือคนที่มีพร้อมมาแล้ว ในกรณีของผมถือว่าการได้เรียนรู้ถูกรู้ผิดมันคือทุกอย่างที่ค่อย ๆ หล่อหลอมกันมาซึ่งต้องใช้เวลากับมัน 

“การใช้หัวใจในการพิสูจน์ว่าจะเข้มแข็งอดทนกับมันได้ไหมคือคำว่า “อยากเป็นไหม” มันเป็นความฝันของเด็กที่เรียนสถาปนิก แน่นอนเราอยาก “เป็น”  เราอยากมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว บางคนอาจจะเข้าใจผิดว่าต้องถ่อมตัว แต่จริง ๆ บอกจะว่าผมผ่านมาถึงขนาดนี้มันก็ไม่ต้องถ่อมตัวอะไรมาก แค่ทำงานให้ดีมันก็จะมีคนมาชื่นชมคุณเอง แต่อย่าไปหลงกับความชื่นชมหรืออย่าไปหลงกับรางวัล เพราะต้องเข้าใจว่ารางวัลที่ให้คือเขาให้กำลังใจ ไม่ได้ให้เอารางวัลไปอวด เขาให้กำลังใจและให้ความมุ่งมั่นในความศรัทธาของคุณ เราถึงได้เห็นว่ามันมีรางวัลหลาย ๆ ระดับอย่างพวกศิลปิน สถาปนิกรุ่นใหญ่ก็ให้รางวัลกับคนอีกประเภทหนึ่ง คือพวกนี้วัดกันมาแล้วแบบม้าวิ่งกันยาว ๆ แรงดีไม่มีตก งานพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ”

จากทฤษฎีตะวันตก สู่เอกลักษณ์ท้องถิ่น

การทำงานของอาจารย์บุญเสริม ท่านเริ่มต้นฝึกฝนฝีมือจากการทำงานกับบริษัทสถาปนิกแบบคนทั่วไปและเรียนรู้ตามทฤษฎีตะวันตก แต่มาวันหนึ่งได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปีพ.ศ.2540 ซึ่งท่านเป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากตรงนั้นจึงกลับมาคิดทบทวนตัวเองว่าอาจเดินตามเส้นทางของฝรั่งมากเกินไป และได้เปลี่ยนแนวคิดของตนเองหันมาทำงานเน้นการใช้วัสดุใกล้ตัวที่อยู่ในประเทศจนเกิดเป็นงานที่มีเอกลักษณ์ในเวลาต่อมา 

“ผมคิดว่าเราต้องพึ่งพาตนเอง ในการพึ่งพาตนเองเราจะต้องหาวิธี นั่นคือสถาปัตยกรรมมันไม่ได้มีแค่เรื่องความสวยงามหรือล้ำสมัยอย่างเดียวแต่มันมีเรื่องอื่นด้วย สถาปัตยกรรมสามารถที่จะเป็นสื่อกลางได้ ผมใช้คำแบบนี้เพราะว่าสถาปัตยกรรมมันทำหน้าที่ในการเชื่อมโยงกันระหว่างคน สถานที่ และสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงนั้น การเชื่อมโยงเข้าหากันทั้งหมดนี้มันก็ทำให้เราสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ ผมไม่ได้รู้ 100 % หรอกว่ามันจะดี เพียงแต่ว่าผมทุ่มเทกับมัน ผมหาข้อมูลกับมัน ผมตั้งใจกับมัน 

“ศิลปะมันคือสิ่งที่สะท้อนสภาพของศิลปินที่ประสบอยู่ มันคือการถ่ายทอดสภาพความคิดเห็นของสังคมในตอนนั้นที่เรากำลังเจอเหมือนที่เรากำลังเจออยู่ตอนนี้ งานของผมจะถ่ายทอดถึงสถานการณ์ชีวิตผู้คนที่อยู่ในชนบท คนที่ไม่ได้มีโอกาส และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ นอกเหนือไปจากคนนั่นคือสัตว์กับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ ผมทำสถาปัตยกรรมที่สร้างดินให้กับชายฝั่งขึ้นมาในขณะที่ชายฝั่งกำลังหดหายไป นั่นคือสิ่งที่ผมสะท้อนให้เห็น งานของผมไม่ได้จะให้เห็นแค่ว่านี่คืองานของอาจารย์บุญเสริมออกแบบ แต่บุญเสริมได้ใส่ความคิดถ่ายทอดความรู้สึกลงไปว่าถ้าคุณไม่ดูแลชายฝั่งคุณก็จะไม่เหลือชายฝั่งให้เดิน อนาคตคุณอาจจะไม่มีแผ่นดินใหญ่ เหยียบไปไหนก็คงมีแต่น้ำตลอด 

“มีอยู่งานหนึ่ง ผมทำสถาปัตยกรรมให้กับชุมชนที่เลี้ยงช้างจังหวัดสุรินทร์แล้วถูกกล่าวหาว่านี่คือการทรมานสัตว์ ผมไม่เห็นด้วย เพราะบางคนเคยไปพื้นที่แค่วันสองวันแล้วถ่ายรูปกลับมา พอถ่ายมาก็เอาลงสื่อออนไลน์ อยู่บนคีย์บอร์ดคุณพิมพ์อะไรก็ไม่รู้ลงไปชาวบ้านเขาไม่รู้หรอก แล้วไม่ได้รู้ภาษาอังกฤษด้วย ที่สำคัญเขาไม่มีปัญญามาโต้ตอบ ผมก็ทำหน้าที่สร้างสถาปัตยกรรมไม่ใช่มาโต้ตอบเหมือนกัน ผมไม่ได้มีหน้าที่มาแก้ตัว หน้าที่ของผมคือทำให้ชีวิตคนท้องถิ่นมีคุณภาพที่ดีขึ้น คุณจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็เรื่องของคุณ ผมถือว่าอันนี้มันเป็นพื้นฐานขององค์ความรู้ คุณคงต้องไปหาความรู้ให้เยอะขึ้น และสุดท้ายผมก็ต้องบอกว่า “นายไม่เคยไปสุรินทร์ แล้วนายจะรู้อะไร?”

“ด้วยความเป็นมนุษย์ก็มีท้อบ้าง แต่บางทีเราได้พักนิดหน่อยแล้วต้องเดินหน้าต่อ คำว่าท้อคือการที่เราได้หยุดทบทวนมันเพราะมีปัญหาเยอะ ผมว่าทุกงานมีปัญหาหมด ทุกชิ้นงาน ทุกสถานการณ์ ทุกที่ทำงาน ทุกสถานที่ หรือแม้แต่คนทุกคนก็มีปัญหาหมด เพียงแต่ว่าเราจะยึดติดกับมันแค่ไหน บางทีเราก็ต้องปล่อย ปล่อยให้เวลานำ ทำให้รู้สึกว่าบรรเทาขึ้น บางครั้งบอกเลยว่างานที่ผมทำแล้วไม่ถูกสร้างก็มี ผมนั่งทำงานมา 4 ปี วันดีคืนดีนายทุนบอกว่าไม่สร้างแล้วเพราะไม่มีเงิน แต่ถามว่าเราเสียใจไหม โอ้โห… ผมนั่งทำงานมา 4  ปี ทีมงานเรานั่งทำอยู่หลายปี ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนั่งมุ่งมั่นกับโครงการนี้ จู่ ๆ วันดีคืนดีบอกไม่สร้าง มันเหมือน 4 ปีที่ผ่านมาล่มสลาย ทำไงได้ เราเสียใจแต่เราต้องรีบฟื้นให้เร็วที่สุดเพื่อที่เราจะต้องทำงานอื่นแล้วไปข้างหน้าต่อ มันไม่มีเวลามาคร่ำครวญ มันไม่มีประโยชน์

“ประสบการณ์ทั้งชีวิตสอนผมให้เรียนรู้ ดังนั้นวิธีคิดของบุญเสริมจึงไม่ได้เป็นเส้นตรง วิธีคิดของบุญเสริมคือ วน วน วน ค่อย ๆ ลึกลงเรื่อย ๆ แล้วก็เคลื่อนที่ไปข้างหน้า การคิดวนคือการทบทวน การเดินไปข้างหน้าคือจะเดินไปอย่างไรเราก็ต้องทบทวน ทบทวนเสร็จกลับมานั่งทดลอง ทดลองเสร็จลองมาพัฒนา พัฒนาเสร็จมูฟไปข้างหน้าหน่อยหนึ่ง ถ้ามีอุปสรรคหรือปัญหาในระหว่างทางก็ทบทวนกลับมาใหม่ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มันจะทำให้เราชำนาญและเข้าใจ”

การสังเคราะห์ หัวใจสำคัญของการสร้างสรรค์ 

อีกบทบาทหนึ่งของอาจารย์บุญเสริมคือการเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ด้วยความรู้และประสบการณ์ที่ลงมือทำงานจริงมาตลอดชีวิตรวมถึงการเป็นสถาปนิกฝีมือระดับโลก ทำให้มุมมองและการถ่ายทอดความรู้ของท่านนั้นมีความเฉียบคมอยู่เสมอ

“สิ่งที่ผมสอนลูกศิษย์มีสองส่วน หนึ่งคือในเรื่องของการสอนแบบวิชาการ สองคือในเรื่องที่เราขาดไม่ได้นั่นคือความเป็นมนุษย์ ผมว่ามันสำคัญ เพราะต่อให้คุณมีวิชาการมีความรู้ดียังไงแต่ความเป็นมนุษย์คุณไม่มีคุณก็ไม่มีวันเข้าใจจิตวิญญาณ การไม่มีความรู้สึกใด ๆ ในสิ่งที่คุณกำลังเรียนรู้อยู่คุณจะไม่อิน เมื่อคุณไม่อินคุณก็ไม่เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ว่าจะเรียนกันไปทำไม ผมเลยคิดว่าในความเป็นมนุษย์มันเหมือนที่ศาสตราจารย์ศิลป พีระศรีเคยเอ่ยถึงคือต้องการให้พวกเราได้กลับไปสู่พื้นฐานที่เป็นพื้นฐานจริง ๆ ผมคิดว่าความรู้คือการถ่ายทอดไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน จะไปสอนหนังสือหรือเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนมันก็คือการถ่ายทอดและการเรียนรู้ทั้งสิ้น 

“จริง ๆ สถาปัตยกรรมที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบันมันไม่ใช่เรื่องใหม่ งานของผมไม่ใช่การสร้างใหม่แต่คือ Transform หรือเปลี่ยนรูปใหม่ วิธีการของคนอื่นอาจจะใช้ Analogy หรือการเปรียบเปรย เช่น การสร้างตึกนั้นมีที่มาจากปลาตัวหนึ่งอะไรแบบนี้ แต่วิธีของผมมันคือการสังเคราะห์ (Synthesis) วิธีการสังเคราะห์มันสามารถ Transform เปลี่ยนรูปไปได้หลากหลาย 

“ยกตัวอย่างเรื่องการสังเคราะห์สำหรับนักเรียนง่าย ๆ ผมวาดรูปวงกลมสองวงบนกระดาน แล้วให้นักเรียนออกมาเติม ซึ่ง 4 คนแรกทำเป็นรถจักรยาน พอมาคนที่ 5 เริ่มรู้สึกโดนจูงจมูกก็ใส่หูเข้าไปกลายเป็นแว่น คนที่ 6 - 7 เริ่มรู้ทางแล้วพยายามเปลี่ยนไม่ให้เป็นแว่นกับจักรยาน เขาเลยเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทน สรุปได้ว่านี่คือการสังเคราะห์จากจุดเริ่มต้นนั่นคือวงกลมสองวงที่ให้นักเรียนใช้วิธีการสังเคราะห์มันออกมา นี่คือการสอนวิจัยที่สั้นที่สุดในโลกเพราะหัวใจของการทำวิจัยคือการสังเคราะห์ นักเรียนหลายคนวิเคราะห์มาดีมากเลยแต่พอให้สังเคราะห์แล้วทำไม่ได้เพราะในสมองมีข้อมูลมากมายเต็มไปหมด แบบว่าถามแล้วตอบได้นะ แต่ถามว่าจะไปยังไงดันตอบไม่ได้ ผมจึงสอนวิธีสังเคราะห์ให้ว่าจะไปต่อยังไง

“สำหรับผมเวลาสอนนักเรียน นอกจากสอนในเรื่องวิชาการแล้วสิ่งที่ผมทำด้วยคือการสร้างของ สร้างอาคาร สร้างงานศิลปะ สร้างงานจริงขึ้นมา นี่ก็เป็นการสอนชนิดหนึ่ง มันเป็นการสอนที่ทำให้คนมาเรียนรู้ ไม่ได้แค่เฉพาะในห้องเรียนหรือในมหาวิทยาลัยที่ตัวเองสอนอย่างเดียว แต่ว่ามันเป็นการให้คนทั้งโลกได้มาศึกษาเรียนรู้ด้วย บางทีการสอนมันไม่ได้อยู่ในห้องเรียนเสมอไป การสอนที่ให้คนได้เข้ามาสัมผัสจริง ๆ รู้สึกจริง ๆ ใช้ความรู้สึกของตัวเอง ใช้ความเป็นมนุษย์ของตัวเองเข้าไปเพื่อรู้สึกและเรียนรู้มัน อาจจะทำให้เป็นแรงบันดาลใจและอาจทำให้ค้นพบทางของคนคนนั้นต่อไปได้”

Did You Know

ผศ.บุญเสริม เปรมธาดาสำเร็จการศึกษาประกาศนียบัตรช่างเทคนิคสถาปัตยกรรมวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา วิทยาเขตอุเทนถวาย

ปริญญาตรีจากคณะมัณฑนศิลป์ (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) มหาวิทยาลัยศิลปากร 

ปริญญาโทจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ดำรงตำแหน่งอาจารย์ประจำภาควิชาสถาปัตยกรรมภายใน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เป็นสถาปนิกผู้ก่อตั้ง Bangkok Project Studio

The Soul of Architecture สถาปัตยกรรมแห่งการสังเคราะห์ ผศ.บุญเสริม เปรมธาดา