The Tower of London

The Tower of London

Legend ฉบับนี้ผมจะมาเขียนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่ผีดุที่สุดแห่งหนึ่งของโลกก็ว่าได้ ประเทศอังกฤษนั้นมีสถานที่ที่มีชื่อเรื่องผีดุอยู่หลายที่ แต่ไม่มีที่ไหนที่จะมีชื่อเสียงเท่ากับที่ The Tower of London หรือ “หอคอยแห่งลอนดอน” หอแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1078 ลักษณะเดิมเป็นหอคอยสีขาว ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเทมส์ มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “หอขาว” (White Tower) โดยผู้ที่มีดำริให้สร้างหอแห่งนี้ขึ้นมาก็คือ พระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 1 กษัตริย์แห่งอังกฤษในสมัยนั้นโดยประสงค์ให้เป็นสถานที่ One Stop Service ครบจบในที่เดียว

เรื่องที่ว่าครบจบในที่เดียวนี้ก็คือ ใช้เป็นที่พักอาศัยของกษัตริย์และบรรดาราชวงศ์ เป็นสถานที่จัดพิธีแต่งงาน เป็นโรงกษาปณ์ผลิตเงิน เป็นที่เก็บคลังแสงอาวุธ เป็นสวนสัตว์ เป็นสถานที่คุมขังและทรมานนักโทษ เป็นสถานที่ประหารชีวิตด้วยการสับคอ รวมไปถึงเป็นสถานที่ฝังศพ จบในที่เดียวนั่นเอง

ราชวงศ์อังกฤษโบราณนั้นก็ไม่ต่างจากที่อื่น ๆ บนโลกครับ มีเรื่องราวของมหากษัตริย์ ทรราช และเรื่องราวของการแก่งแย่งชิงดีในราชบัลลังก์ไม่ต่างจากที่อื่น ๆ เรื่องราวของการฆ่าฟันกันเพื่อแก่งแย่งบัลลังก์ก็มีอยู่มาก และหลาย ๆเรื่องราวก็สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับหอคอยแห่งลอนดอนแห่งนี้ และหอคอยแห่งนี้อยู่มานานเกือบ 1 พันปีแล้ว ไม่มีผีสิเป็นเรื่องแปลก

หอคอยแห่งลอนดอนนี้ ด้านนอกเป็นกำแพงสูงที่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตีของชาวเมือง ที่ต่อต้านรวมไปถึงการรุกรานจากข้าศึก ภายในประกอบไปด้วยอาคารหลังใหญ่หลายหลัง และหอคอยรวมกันกว่า 20 หอ ซึ่งแต่ละหอก็จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผมจะคัดมาเล่าเฉพาะหอที่มีประวัติน่าสนใจครับ

เรื่องแรกเป็นเรื่องราวของหอที่มีชื่อว่า “Green Tower” อันเป็นเรื่องราวของพระนาง แอนน์ โบลีน โดยพระนางนั้นเป็นมเหสีองค์ที่ 2 ของพระเจ้าเฮนรี่ที่แปด ซึ่งนางนั้นโดนใส่ความไม่ว่าจะเป็น ข้อหากบฏ คบชู้ หรือเป็นแม่มด ข้อกล่าวหานั้นจะมีเค้าความจริงหรือพระนางแอนน์ โบลีน จะถูกใส่ความ ก็เป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่เรื่องที่เป็นเรื่องจริงคือ พระนางแอนน์ โบลีนนั้นถูกประหารจริง

โดยธรรมเนียมการประหารของอังกฤษนั้น จะใช้ขวานจามสับเข้าที่ลำคอ แต่พระนางแอนน์ร้องขอว่าขอให้ใช้ดาบตามธรรมเนียมของฝรั่งเศส ซึ่งเพระเจ้าเฮนรี่ที่แปดก็ประทานให้ตามคำขอครั้งสุดท้ายก่อนตาย ในการประหารนั้นศีรษะของพระนางแอนน์ โบลีน ขาดกระเด็นจากการลงดาบครั้งเดียว และกล่าวกันว่าขณะที่เพชฌฆาตหยิบศีรษะของพระนางขึ้นมาชู ใบหน้าของพระนางยังลืมตาอ้าปากเหมือนกำลังสาปแช่งผู้คนอยู่นั่นเอง ภายหลังจากนั้นมีผู้พบวิญญาณของพระนางแอนน์ โบลีนอยู่บ่อยครั้งที่บริเวณหอคอยสีเขียวแห่งนี้ แต่มาในรูปแบบของ “ผีหัวขาด” โดยปัจจุบันนี้บริเวณลานประหารและหินที่ใช้เป็นแท่นประหารพระนางแอนน์ โบลีน รวมถึงดาบที่ใช้ในการประหารตัวจริงก็ยังคงอยู่ และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ารับชม

เรื่องต่อมาของหอคอยแห่งลอนดอน ที่มีคนพบเห็นและกล่าวกันว่าเป็นเรื่องที่สยองขวัญที่สุด ถูกพบเข้าที่หอคอยที่มีชื่อว่า Salt Tower ซึ่งที่ชั้นใต้ดินของหอแห่งนี้ถูกใช้เป็นที่คุมขังนักโทษทางการเมือง เชื้อพระวงศ์ที่ก่อการกบฏ รวมไปถึง นักบวชนอกรีต และแน่นอนครับที่หอแห่งนี้ยังถูกใช้เป็นที่ทรมานนักโทษอีกด้วย บริเวณกำแพงภายในหอแห่งนี้ จึงเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ซึ่งมีทั้งรอยขีดข่วนที่เกิดจากความเจ็บปวดจากการทรมาน และรอยขีดข่วนระบายเรื่องราวต่าง ๆ มีทั้งเรื่องราว ชื่อนักโทษ ชื่อคนรักของนักโทษมากมาย ซึ่งบางส่วนก็เลือนหายไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่หลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้คือ เสียงร้องปริศนา ที่ดังออกมาจากหอแห่งนี้ยามค่ำคืน เป็นเสียงกรีดร้องโหยหวนที่แว่วดังขึ้นมาจากภายใน Salt Tower แห่งนี้ แต่เมื่อเข้าไปทำการตรวจสอบกลับไม่พบอะไร ที่สำคัญคือหลายครั้งที่เจ้าหน้าที่ดูแลผู้เข้าไปตรวจสอบ กลับพบเจอเรื่องไม่สู้ดีคล้าย ๆ กัน คือจะรู้สึกเหมือนมีอะไรมารัดคอให้รู้สึกหายใจไม่ออก ซึ่งจากตรงนี้ก็ยังหาเหตุผลอธิบายไม่ได้ แต่เบื้องต้นหากมองในมุมวิทยาศาสตร์ ภายในชั้นใต้ดินจะมีความอับชื้นอากาศถ่ายเทไม่สะดวก อาจเป็นสาเหตุให้รู้สึกหายใจไม่ออกก็ได้ แต่สำหรับเรื่องของเสียงกรีดร้องยังไม่มีเหตุผลใด ๆ มารองรับ

เรื่องสุดท้ายและเป็นเรื่องที่มีชื่อเสียงที่สุด คือเรื่องราวการสูญหายของเจ้าชายสองพี่น้อง ซึ่งมีพระนามว่า เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดที่ 5 และเจ้าชายริชาร์ด ดยุคออฟยอร์ก ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหอคอยที่มีชื่อว่า Bloody Tower ทั้งสองพระองค์นั้นเป็นบุตรของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด ที่ 4 กับพระนาง เอลิซาเบธ วูดวิลล์ โดยตามกำหนดการเดิมนั้นเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดที่ 4 ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 13 ขวบ จะต้องทำหน้าที่สืบต่อบัลลังก์ต่อจากพระบิดาที่สิ้นชีพไป แต่แล้วเหตุการณ์กลับไปไม่เป็นดังคาด ทั้งสองได้มาพำนักที่หอคอย Bloody Tower เพื่อรอวันแต่งตั้งขึ้นครองราชย์ แต่แล้วกลางดึกคืนหนึ่งขณะบรรทมเจ้าชายทั้งสองก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีแม้กระทั่งหยดเลือดที่บ่งบอกถึงการฆาตกรรม การหายตัวไปครั้งนี้ทุกคนต่างพุ่งเป้าไปที่  ริชาร์ด ดยุค ออฟ กลอสเตอร์ พระปิตุลา(อา) หรือพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ในเวลาต่อมานั้นว่าเป็นคนสั่งลงมือเพื่อชิงบัลลังก์

ภายหลังจากที่พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ขึ้นครองราชย์มาสักระยะหนึ่ง ก็ได้มีกำหนดการบูรณะอาคาร และหอคอยที่มีชื่อว่า White tower ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของ Tower of London แห่งนี้ โดยได้มีการบูรณะหลายจุด ซึ่งจุดหนึ่งคือบันไดหินทางทิศใต้ของหอคอย หลังจากช่างได้ทำการทุบบันไดก็พบเข้ากับกะโหลกศีรษะของเด็ก 2 คนเข้า ซึ่งไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นของเข้าชายทั้งสองหรือไม่ แต่หลายคนก็เชื่อว่าน่าจะเป็นเจ้าชายทั้งสองคนจริงๆ จึงได้ทำการย้ายโครงกระดูกของทั้งสองไปไว้ที่ Westminster Abbey หรือโบสเซนต์ปีเตอร์ไว้เป็นที่สักการะ แต่อย่างไรก็ตามภายในหอคอย Bloody Tower ก็ได้มีคนพบเห็นวิญญาณเด็กชายสองคนในชุดนอน ออกมาวิ่งเล่น ทะลุกำแพงไปมาอยู่บ่อยครั้ง บ้างก็เห็นไปวิ่งเล่นอยู่ที่สนามหญ้าในสวนกลางค่ำคืน สร้างความหวาดหวั่นให้ผู้คนในนั้นอยู่ตลอดเวลา

 

Tower of London จริง ๆ แล้วมีเรื่องราวอีกเยอะที่มีชื่อเสียง อาทิ Lady Jane Grey รัชทายาทของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ที่ถูกประหารเพื่อชิงบัลลังก์ แต่ผมก็คัดมาแต่เรื่องที่มีชื่อเสียงที่สุดมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังครับ และว่ากันตามความจริงแล้ว หากตัดในเรื่องของอาถรรพ์ผีสางออก Tower of London มีสิ่งที่น่าสนใจอีกมากครับ เพราะที่นี่ยังเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษาของมีค่าของราชวงศ์เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นมงกุฎเพชร ชุดอัศวินสมัยโบราณปราสาทที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบทิวดอร์ ลานประหารชีวิตพร้อมอาวุธ ที่ใช้ในการประหารชีวิตพระนางแอน โบลีน ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น เพราะฉะนั้นสำหรับใครที่มาเที่ยวลอนดอนประเทศอังกฤษ ก็อย่าพลาดที่จะแวะมาเที่ยวชมที่นี่

The Tower of London