ความหวัง ความรัก และพลังบวก "บอย โกสิยพงษ์"
บอย (ชีวิน) โกสิยพงษ์ สุดยอดนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ ผู้ก่อตั้งค่ายเพลง LOVE IS และหนึ่งในผู้ก่อตั้งค่าย Bakery Music ค่ายเพลงคุณภาพที่เป็นตํานานแห่งยุค 90's นอกจากเขาจะเป็นนักแต่งเพลงที่เขียนเพลงเนื้อหาดี ๆ ให้กําลังใจและโรแมนติกเจ้าของเพลงฮิตมากมายแล้ว เบื้องลึกเข้าไปในความเป็นอัจฉริยะ เราสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่น ใจดี ที่ส่งผ่านรอยยิ้มและแววตา ทําให้ไม่แปลกใจเลยที่เขาสามารถยืนหยัดในวงการมาได้อย่างมั่นคงจนถึงทุกวันนี้
แม้วันนี้บอยจะวางมือจากการเป็นผู้บริหารบริษัท เลิฟอิส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ แต่ก็ยังคิตโปรเจคต่าง ๆ มากมาย และยังคงเขียนเพลงดีๆ ออกมาเรื่อย ๆ ความหวัง ความรัก พลังบวกและศรัทธาในพระเจ้าทําให้ชีวิต ของเขาเดินมาถึงจุดนี้
Live and Learn
“ผมโตมาในครอบครัวที่แฮปปี้มาก มีพี่น้องห้าคน ผมเป็นคนกลางคนที่สาม คุณพ่อผมเป็นวิศวกรเป็นเจ้าของบริษัทที่รับทําออกแบบระบบไฟฟ้าต่าง ๆ ให้กับโครงการหลาย ๆ โครงการ อย่างธนาคารกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวชหลาย ๆ โครงการก็คือเราไม่ได้ลําบากอะไรแต่ก็มีบางช่วงเศรษฐกิจไม่ดี แต่จะมีทราบมาเพราะคุณพ่อเล่าให้ฟังตอนเด็ก ๆ พ่อแม่ผมค่อนข้างตามใจมากเหมือนกัน
“เสียงเพลงเข้ามาในชีวิตตั้งแต่ตอนเด็กมากครับ เพราะว่าพ่อผมก็เล่นเปียโนสะสมแผ่นเสียงชอบฟังเพลง เพราะฉะนั้นเพลงก็จะมากับผมตั้งแต่เด็กเลย แล้วผมก็ชอบดูการ์ตูน ชอบฟังเพลงการ์ตูน ผมมีเครื่องเล่นวิทยุ เทปที่เอาไว้อัดเพลงจากในทีวี พอมีเครื่องวิดีโอเข้ามาเราก็มาอัดการ์ตูนที่เราชอบมานั่งฟังเพลงอีกด้วย
“ตอนเด็ก ๆ ผมเรียนไม่เก่งเลย ไม่รู้เลยว่าทํายังไงให้ได้คะแนนดีแบบคนอื่นเขา อนุบาลเรียนที่ยุคลธร ประถมและมัธยมต้นเรียนที่โรงเรียนเซนต์ดอมินิค แล้วก็โดนเชิญออกมาเพราะว่าคะแนนไม่ถึงที่จะเรียนต่อ ไปเรียนต่างประเทศอยู่พักนึงก็อยู่ไม่ได้เพราะคิดถึงบ้าน พอกลับมาเมืองไทยก็เคว้งไม่มีที่เรียนไปสมัครโรงเรียนไหนก็ไม่รับเพราะคะแนนเราแย่มาก ญาติของแม่รู้จักกับครูใหญ่โรงเรียนเซเว่นเดย์แอดเวนทิส เขาก็ให้ความกรุณาเข้าไปเรียนที่นั้น ความรู้ของเราก็มีอยู่แค่เกรดห้า ท่านก็บอกเดี่ยวเป็นปมต้อยก็ให้เรียนเกรดเจ็ด ผมก็สอบตกเกรดเจ็ตซ้ำอยู่สามปี ค่อยเรียนไปเรื่อย ๆ จนสอบเทียบได้ ผมสนใจเรียนนะแต่มันไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จะทํายังไงให้สอบผ่าน ผมไม่เคยเป็นเด็กเกเรเลยนะ สิ่งที่ทําก็คือพยายามท่องหนังสือทําแบบคนอื่นทําแต่เราทําไม่ได้
“หลังจากสอบเทียบได้ไปเรียนอยู่ที่เอแบคอยู่ประมาณครึ่งปี เรียนไม่รู้เรื่องอีก ก็ออกเลยดื้อ ๆ บอกพ่อว่าขอออกตีกว่ามันไม่รู้เรื่อง พ่อก็โอเคให้ออก ผมก็มาเปิดร้านเกมเพราะน้องชายชอบเล่นเกม ตอนนั้นคิดว่าประสบความสําเร็จมากกิจการไปด้วยดี เราก็ไม่ไปโรงเรียนเลย หลังจากนั้นพอแม่รู้ว่าไม่ได้เรียนแม่ก็เสียใจแม่ขอให้ปิดกิจการเพื่อให้เรียนต่อ จะเรียนอะไรก็ได้ให้จบสักอย่าง แม่จะได้สบายใจ ก็เลยกลับไปเรียนต่อเรื่องธุรกิจดนตรี เรื่องการแต่งเพลงที่อเมริกา มหาวิทยาลัย UCLA เรียน Music Business เรียนเรื่องการแต่งเพลง การบันทึกเสียง เรื่องดีไซน์ เสียงต่าง ๆ
“ผมอยากไปเรียนเพราะผมชอบ ผมชอบอยู่สองอย่าง ผมชอบการ์ตูน ชอบหนังสัตว์ประหลาด กับขอบเพลงหนังสัตว์ประหลาดก็กําลังจะมีโอกาสได้ไปเรียน แต่ดันเกิดอุบัติเหตุก่อนทําให้ไม่ได้ไปเรียน เลยไปเรียนด้านเพลงแทน ส่วนดนตรีผมมาเล่นจริงจังตอนเกรตแปด เล่นกีตาร์ตอนเกรตแปด แต่เปียโนนี้เรียนตั้งแต่เด็กแล้ว ผมได้ฟังเพลงของโบสถ์เยอะมาก
“พอไปเรียนด้านที่เราชอบ เราก็เอ็นจอยกับมัน ก็เปิดห้องอัดที่บ้านให้คนมาใช้ได้แล้วเราก็ไปเป็นเด็กฝึกงานที่ห้องอัดแบบ Professional เราก็ไปทํางานช่วยเค้าเก็บสายเก็บของอะไรนั่นนี้ ซื้อของ ทําให้เราได้รู้จักนักดนตรีเยอะแยะ พอเรารู้จักเยอะ มันก็ทําให้เรามีเน็ตเวิร์คมากมาย ที่เราทํางานจนถึงปัจจุบันเราก็ยังใช้เน็ตเวิร์คที่เรามีอยู่ มันก็สานต่อไปเรื่อย ๆ ผมจบด้วยคะแนน A- อยู่ตัวเดียว ที่เหลือ A+ หมด ตอนนั้นผมได้ลงหน้าปกของหนังสือรุ่นเลยนะ พอเรียนจบก็อยากจะกลับมาเมืองไทยทําค่ายเพลง ผมไม่ได้คิดว่าผมจะเป็นศิลปิน แต่ผมคิดว่าจะเป็นนักแต่งเพลง เพราะผมชอบแต่งเพลง”
Seasons Change
“ช่วงที่ผมคิดว่าเป็นจุดที่ท้อแท้ที่สุดในชีวิตคือ ตอนทํามาสเตอร์อัลบั้มชุดแรก ผมยืมเงินครอบครัวมายืมเงินพ่อแม่มา ทีแรกก็ยืมมาหนึ่งล้านบาทเพื่อจะไปทําอัลบั้มชุดแรกของตัวเองที่อเมริกา เราก็ทําไปเรื่อย ๆ ทําไปจนมันจะเสร็จแล้ว สมัยก่อนที่เราอัดเป็นเทปรีลซึ่งบรรจุได้ไม่กี่เพลงต่อม้วน แต่เราก็พยายามอัดใส่เข้าไปเยอะ ๆ เพราะว่ามันจะประหยัด แล้วครั้งที่เราบันทึกเสียงก็ต้องเช่าเครื่องมา Setup เอง พอเอาเครื่องมา Setup ก็ต้องทําการละลายหัวเข็มโดยการอัดเสียงหัวบันทึกเทป ผมจะประหยัดแต่ทําได้ไม่ดี พอวันนั้นมันก็กินเทปผมไปหมดเลย ด้วยความโง่เขลาก็เป็นประสบการณ์ครั้งแรก
“คุยกับพ่อแม่ท่านก็ให้กําลังใจ ให้เงินยืมมาอีก 1 ล้าน ในการทําครั้งนี้เราก็ทําเป็นก็อบปี้ไว้ห้าก๊อบปี้ เป็นช่วงที่วงการเพลงเปลี่ยนฟอร์แมตเป็นเทปดิจิตัล ในการอัดทําไว้ห้าก้อบปีเลยคราวนี้สบายเทปไม่แพงมาก ก๊อบปี้เสร็จผมก็นําทั้งหมดกลับบ้าน วันนั้นผมท้องเสียก็เลยวิ่งขึ้นบ้านไปโดยที่ลืมกระเป๋าไว้ในรถ ในคืนนั้นเองก็โดนขโมยเข้ามาในอพาร์ทเม้นท์มาทุบรถ แล้วคงเห็นรถของเรามีถุงอะไรใหญ่ ๆ อยู่ก็เลยก็หิ้วไปด้วยเลย นั่นเป็นจุดที่ผมรู้สึกหมดกําลังใจอย่างรุนแรง โทรมาบอกพ่อแม่ที่เมืองไทย ผมไม่ทําต่อแล้ว ผมขอโทษที่ทําให้พ่อแม่ต้องศูนย์เงินไปตั้งสองล้านบาท ในตอนนั้นเยอะมาก แล้วแม่ผมก็บอกว่าชีวิตคนเราก็เหมือนฤดู เราต้องอดทน ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ หลังจากนั้นผมก็เอามาแต่งเป็นเพลง Season Change แล้วพ่อแม่ให้เงินมาทําให้สําเร็จในครั้งที่สามก็คืออีก 1 ล้านบาท
“มาสเตอร์ที่แพงเพราะผมใช้นักดนตรีที่นั้นหมด ค่าห้องอัดด้วย ใช้หลาย ๆ อย่าง รวมทั้งค่ากินอยู่ ค่าอะไรของเราด้วย นี้คือประหยัดมากแล้วนะ เพราะเราก็ได้ในราคาที่เด็กมากเลยถ้าเค้าคิตตามค่าเงิน ในช่วงนั้นแล้วผมก็กลับมาเป็นนักแต่งเพลงที่เมืองไทย และก็เริ่มทําค่ายเพลง”
Songs from Different Scenes
“จุดเริ่มต้นของเบเกอรี่มิวสิคก็คือคุณสมเกียรติ นัดผมไปเจอคุณสุกี้แล้วก็พี่เอื้อง ก็พูดคุยกันเรื่องเป็นทํามิวสิคโปรดักชั่นเฮ้าส์ คุยไปคุยมาก็ถูกคอกันสุดท้ายก็เลยทําเป็นค่ายเพลงค่ายเบเกอรี่จริง ๆ เริ่มทํามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 แต่มาออกชุดแรกตอนปี พ.ศ. 2537 คือทุกคนรอผมกลับมาแล้วมาเปิดร่วม กันตอนนั้นผมเรียนหนังสืออยู่ครับ ระหว่างนั้นผมก็แต่งให้กับโซนี่มิวสิค แต่งให้กับคุณสมเกียรติ แต่งให้กับวงแร็พ TKO ระหว่างนั้นเขาก็ทํากันไป
“ตอนที่โมเดิร์นด็อกประสบความสําเร็จ หรือตอนผมออกชุดแรก ผมยังไม่รู้ว่าตั้งขนาดนั้น เพราะผมก็บินไปมาต่างประเทศอยู่เรื่อย ดังนั้นก็ไม่รู้ว่าอะไรมันเกิดขึ้น มารู้จริง ๆ ก็ตอนผมทําชุดสองชุดสามแล้ว พอมีคอนเสิร์ตก็ทําให้รู้ว่ามันดังนะ ตอนนั้นไม่มีอินเทอร์เน็ตให้เรารู้ว่ามีคนรู้จักเรา ไม่มีอะไรเปลี่ยนเท่าไหร่ แต่ก็ดีใจเพราะตอนนั้นเรานั่งปั้มปกกันเอง สนุกดีครับ ตอนนั้นเรามีงบต่อชุดรู้สึกจะชุดละหกแสนห้า แต่ยอดขายดีเกินคาดไปเยอะครับ เพราะน่าจะขาย ตอนนั้นได้ถึง 70-80 ล้านบาท คือตอนนั้นรายได้จากการขายเพลงเป็นอันดับหนึ่ง แล้วก็ไม่มีอัลบั้มไหนที่ขายต่ำกว่าแสนตลับเลยนะครับ ขายดีหมดเลย ที่ขายดีที่สุดในค่ายตอนนั้นคือโจอี้บอย น่าจะได้ล้าน สองล้านตลับนะ
“จากระบบค่ายบริษัทเล็ก ๆ ก็ค่อย ๆ เป็นบริษัทใหญ่ แต่ทีมทําเพลงเรายังน้อยเหมือนเดิมก็ต้องไปเพิ่ม คนทํางานด้านอื่น ๆ เพลงเราก็ค่อย ๆ เพิ่มเข้ามา เริ่มมีหลาย ๆ คนเข้ามาแต่มันก็ยังไม่เยอะอยู่ดี เราก็เลยต้องมาใส่นามปากกาเยอะ ๆ จะได้ดูเหมือนมีคนเยอะ ผมมีประมาณเจ็ตนามปากกา พองานทําเพลงโฆษณาเริ่มเยอะจนเรารับไม่ไหวเราก็เลยคิดแพงขึ้นก็เริ่ม เรทสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าเราอยากจะทําแล้วตั้งใจ ทําดี ๆ ไม่ใช่มายี่สิบแล้วรับยี่สิบเลย แล้วอีกเดือนเรามีเวลาเท่าเดิม เราก็อยากรับแค่ห้าพอ
“พอเราขยายบริษัทใหญ่ขึ้น เพราะเราคิดว่านั้น คือทางที่ต้องไป เราไม่รู้หรอกว่าจริง ๆ ไม่ใช่ทางของเราเลย เพราะเราไม่ได้มีความสามารถในเรื่องการบริหารจัดการที่ดีเพียงพอ พวกเราเป็นศิลปินกันหมด เด็กสามคนก็ทําให้เราหลงทาง พอเราหลงทางการเงินก็ไหลไปหมดไหลไปในทางที่ต้องลงทุนเพิ่ม แล้วก็ไม่สําเร็จเพราะว่าบริหารจัดการไม่เป็น จนกระทั่งถึงจุดนึ่งที่จะต้องกู้เงินจากต่างประเทศ ก็คือเริ่มขายหุ้นให้ BMG จากห้าเปอร์เซ็นต์ก็ค่อยขึ้นไปห้าสิบ จนกระทั่งเราเหลือแค่สิบเปอร์เซ็นต์ ตอนหลังเราเลยยกให้เค้าไปเลย
“เรารู้สึกว่าเราไม่อยากทําต่อแล้ว เพราะเรารู้สึกว่าถ้าเราทําต่อไปทุกอย่างมันต้องรายงานคนเยอะมาก ทีแรกเรารายงานแค่ BMG ตอนหลังค่ายถูก SONY MUSIC ซื้ออีก เราต้องรายงานสองเจ้านาย แล้วเราไม่เคยรายงานใคร เราทําเองเรื่อย ๆ ก็เลยยกหุ้นให้เค้าไปเลย แล้วเราก็ไปเปิดใหม่เป็นค่าย Love Is ตอน แรกทํากับสุกี้ เพราะสมเกียรติตอนนั้นเค้าอยากพัก เค้าบอกเหนื่อยไม่อยากทําแล้ว แล้วสุกี้ทําใต้ปีหนึ่งสุกี้ไม่สบาย ก็เป็นความเครียดที่สุกี้ต้องรับโดยที่ผมไม่เคยรับเลย เป็นความเครียดที่ต้องดูแลเรื่องศิลปิน เรื่องจิตใจของพนักงานต่าง ๆ นานา ที่ผมไม่เคยดูเรื่องพวกนี้เลย ผมไม่รู้ว่ามันหนักขนาดนั้น ขนาดที่ทําให้เค้าป่วยได้เลย วันนึงเค้าก็บอกว่าไม่ไหวแล้ว ผมก็เข้าใจ ผมก็ลองทําต่อไป ผมก็ชวนภรรยามาทําด้วย แล้วผมกับภรรยาคือไม่มีความสุขกับการทําธุรกิจ เพราะว่าการสร้างศิลปินการดูแลสุดท้ายแล้วมันไม่ใช่สิ่งที่สนุก มันสนุกตอนสร้างแต่ระหว่างทางพอเกิดเรื่องนุ่นนี้ เราต้องรับผิดชอบเต็มที่แล้วมันไม่สนุก
“ต้องยอมรับก่อนว่าผมไม่ได้เกิดมาเป็น CEO ผมเป็นนักดนตรี เป็นนักแต่งเพลง ตอนนี้ CEO ค่าย Love Is คือคุณจีบ เทพอาจ กวินอนันต์ ผมเป็น CEO ค่าย Lovels แค่ปีเดียวเองคือปีที่แล้วภรรยาผมอยู่เมือง นอกแล้วเราไม่ได้มีหุ้นส่วนเข้ามา ผมก็ดูแลเองจริง ๆ ผมไม่มีหลักการบริหารธุรกิจเลยนะ ผมไม่รู้เรื่องเลย ช่วงนั้นทีมงานประชุมกันผมเป็นคนโดนตําหนิทุกวันจันทร์ ผมไม่รู้จะทํายังไง ก็ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ตอนนี้เรามีหุ้นส่วนแล้วครับ เขาเข้ามาบริหารงานเมื่อต้นปี 2561 พอมีพาร์ทเนอร์ผมก็สบายใจมากเลย เพราะผมไม่ดูแลเรื่องธุรกิจ ผมมุ่งมั่นทําเพลงอย่างเดียว ตอนนี้ผมเป็นนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ ผมไม่ชอบเป็นหัวหน้า การทํางานของเลิฟอีสกับเบเกอรี่เหมือนกันตรงมีผมอยู่ ต่างกันตรงไม่มีสุกี้อยู่เพราะสมัยก่อนสุกี้เป็นคนจัดการทุกอย่างตอนนี้ก็มีคุณจีบมาจัดการแทน”
“ผมว่าเพลงยังเป็นธุรกิจได้นะ ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งที่เพลงโดน Disrupt รายแรกคือโตน MP3 โดนอินเทอร์เน็ตอะไรเยอะแยะ ตั้งแต่เทปผีซีดีเถื่อน เพราะฉะนั้นการที่เราจะต้องเอาตัวรอดผ่านอุปสรรคเหล่านั้นมันค่อนข้างมีความถนัดในเรื่องการเอาตัวรอดอยู่สูงกว่าถ้าจะเทียบกับธุรกิจอื่น ๆ ไม่ว่าสิ่งพิมพ์ ทีวี เราจะรู้วิธีทางหารายได้ที่จะเอาตัวรอดได้ เราจะบีบแม่น้ำจากห้าร้อยสายมาจากลําธารลําคลองเล็ก ๆ เอามารวมกันเป็นแอ่งน้ำได้ ผมว่าเราอยู่ได้ เพราะว่าผมทําอะไรก็ตามบริษัทจะมีส่วนที่จะต้องได้ด้วย แต่จริง ๆ รายได้ของเรามันมาจากหลายทางมันไม่ได้มาจากทางใดทางหนึ่งทางเดียว ผมคิดว่าทุกคนต้องปรับตัวนะครับ ไม่ว่ายุคไหนก็ตามคนเราเวลาเปลี่ยน นิสัยต่าง ๆ เปลี่ยนหมด ฉะนั้นเราต้องพยายามที่จะไม่ยึดติดอยู่กับโมเดลเดิม ๆ เพราะถ้าเรายึดอยู่กับโมเดลเดิม ๆ มันก็อยู่ลําบาก ผมยังฟังซีดีอยู่ ผมซื้อซีดีอยู่เป็นประจํามันเป็นวิถีที่ผมชอบฟัง เพราะว่าผมชอบทําเพลงที่มันเป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มแล้วก็ต่อเนื่องกัน ผมไม่ได้ชอบฟังซิงเกิ้ล ต้องบอกตามตรงว่าเดี๋ยวนี้เราผลิตซีดีขายน้อยมาก จํานวนซีดี แผ่นเสียง ไม่ได้ขายเยอะหรอก เราทําให้พอสําหรับการที่จะทําให้รู้จักศิลปินเรา และคนพอรู้จักศิลปินเราก็จะมีงานเข้ามาจากหลาย ๆ ทาง
“การคัดเลือกศิลปินเข้า Love ls อย่างแรกต้องดูว่าเราน่าจะทํางานกันได้หรือเปล่า เพราะการทําเพลงเหมือนการปลูกต้นไม้เราจะปลูกแล้วโต กว่าจะออกผลได้ใช้เวลาหลายปี ถ้าคุณต้องการเป็นซูเปอร์สตาร์เราคงไม่ได้ให้ตรงนั้น เพราะเราใช้เวลานาน เราเชื่อว่าถ้าคุณอยากอยู่ยาว ๆ ที่นี่คือที่ที่คุณน่าจะ อยากทํางานด้วยกัน”
Pass the Love Forward
“การแต่งเพลงของผม ที่มาถึงวันนี้ได้ผมว่าเรื่องแบบนี้พระเจ้าให้ทั้งสิ้น แล้วก็การที่เรารู้ตัวว่าเราเป็นแค่ท่อ เป็นแค่คนส่งสารมันก็ทําให้เราไม่ได้ต้องถูกตีบตัน แล้วก็ไม่ได้รู้สึกเหลิงไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองแน่หรืออะไร ก็รู้สึกว่าตัวเองก็เป็นแค่แมสเซนเจอร์ เพราะฉะนั้นก็ทําหน้าที่ส่งเอกสารให้ผู้ฟัง เวลาท้อใจผมอ่านไบเบิล ยังไงก็มีกําลังใจขึ้นมาทันที นี่คือยาชนิดต่วนของผมเลยนะ แล้วก็แน่นอนว่ายาดีอีกอย่างของผมก็คือครอบครัว
“จริง ๆ แล้วเราทุกคนก็จะเป็นแบบอย่างให้กันและกัน แล้วก็วิธีที่จะคิดให้ง่ายที่สุดว่าเราจะดําเนินชีวิตบนโลกนี้ยังไง ก็คือการที่เราคิดว่าวันที่เราอยู่ในโลงศพ ครอบครัวเราเพื่อนฝูงญาติมิตรเพื่อนร่วมงานต่าง ๆ เค้าจะพูดถึงเรายังไง ตรงนั้นจะเป็นตัวที่ทําให้เราคอยระวังว่าเราประพฤติตนยังไงกับคนทั้งหลาย
“ความสุขของผมคือการได้คุยกับครอบครัวตอนนี้ เค้าอยู่ต่างประเทศเค้าก็จะโทรเข้ามาแล้วเราก็จะคุยกัน แล้วความสุขอีกอย่างของผมก็คือตอนนี้ผมกําลังตั้งวงดนตรีชื่อวงกระทิงดํา กับกระทิงทองเหลือง หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องเป็นวงที่เป็นชั้นนําของประเทศไทย ที่ใคร ๆ ก็อยากจะมาเล่นกับวงนี้ ผมเป็นคนตั้งวงนี้ขึ้นมาเหมือนเป็นหัวหน้าวง กระทิงตําเนียเป็นสีของ Rhythm Section ที่แข็งแกร่งดุดัน แล้วกระทิงทองเหลืองก็คือพวกเครื่องเป่า ส่วนกระทิงคอรัสเนี่ยเราเอาไว้ร้องคอรัสอย่างเดียว ซึ่งต้องเป็นคอรัสที่เก่งมาก ตอนนี้อยู่ในช่วงเริ่ม ก็ค่อย ๆ สร้างไปครับ”