The Darkest Romance : One Word Can Mean A Lot of Sentences Part.2
หลังจากที่เรารู้จักตัวตนของ The Darkest Romance ผ่านบทสัมภาษณ์ที่พูดถึงเรื่องราวคอนเซ็ปต์อัลบั้ม WORDS เรื่องราวที่ถูกบอกเล่าในบทเพลง เจาะลึกถึงแนวคิดและวิธีการทำงาน สำหรับในบทสัมภาษณ์พาร์ทที่สองนี้ เราจะกลับมาพูดคุยกันต่อเรื่องวิธีคิดและการทำงานของพวกเขา รวมถึงแชร์ประสบการณ์บนเส้นทางสายดนตรีกว่า 10 ปี จากจุดเริ่มต้น จนถึงปัจจุบันที่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยของสมาชิกทั้ง 4 คน
ทำไมอัลบั้ม WORDS ถึงให้ความสำคัญกับดนตรีเครื่องสายและอิเล็กทรอนิกส์มากกว่าอัลบั้มที่ผ่านมา
แม็ก : จริง ๆ The Darkest Romance ตั้งแต่ตอนทำเพลงแรก ๆ เราพยายามเอาเรื่องของเครื่องสายกับอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ตั้งแต่ต้น แต่ว่าอัลบั้มนี้เนื่องด้วยโปรดักชั่นที่มันดีขึ้น การเข้าห้องอัดจริงจังขึ้น เครื่องไม้เครื่องมือที่ได้ลองศึกษาหาความรู้ลงทุน เพิ่มเติม อิเล็กทรอนิกส์มันเลยชัดเจนขึ้น มันมีสัดส่วนที่เป็นเสียง สังเคราะห์หรืออะไรก็ตามที่ตั้งใจมาตั้งแต่ต้น เราทำอัลบั้มกันมา 4 ชุด มันมีอยู่ในนั้นหมดเลยเช่นพวกแบบบีทไฟฟ้า เบรกบีทซินธิไซเซอร์ หรือวิธีการเรียบเรียง Digital Edit มันมีหมดเลย แต่ว่าอัลบั้มนี้อย่างที่อ้างอิงไปข้างต้นเรื่องโปรดักชั่นที่ดีขึ้น เราได้เจอกับพี่กร มหาดำรงค์กุล เขาเป็น Sound Engineer ซึ่งต้องยกเครดิตให้กับเขาด้วย เขาช่วยขับเน้นตรงนี้จากที่ตั้งใจทำให้มันดีอยู่แล้ว ทำให้มันเห็นผลชัดเจนมากขึ้นไปอีก
ส่วนในพาร์ทเครื่องสายคือมีมาตั้งแต่แรกเหมือนกัน แต่พอสมัยทำกันเองมันจะเป็นแบบ Sampling การใช้พวกซาวด์ ที่เป็นโปรแกรมมากกว่า แต่ว่าพอทำงานอัลบั้มนี้การสนับสนุนจากค่ายเพลงมีส่วนมาก เขาเปิดตรงที่ว่าอยากทำแบบนี้ใช่ไหม พอมีการแลกเปลี่ยนไอเดียขั้นตอนกับพี่โอม ปัณฑพล ประสารราชกิจ กับทีม มันเลยมีส่วนที่ทำให้เราได้ลงทุน อัดเครื่องสายจริง ๆ อย่างที่รู้ว่าพี่โอมกับวง Cocktail เป็นวงที่มีความจริงจังกับเครื่องสายมาก ๆ มาตั้งแต่ต้น มันมีคำหนึ่งที่เขาพูดกับเราว่าได้โอกาสแล้วทั้งทีทำให้มันถึง แล้วพอกลายเป็นว่า ได้รับโอกาส ได้รับการสนับสนุนจากสังกัดด้วย มีเรื่องของการทำงานที่มันต้องเจาะรายละเอียดมากขึ้นด้วย ในอัลบั้มนี้ จึงมีเรื่องของเครื่องสายและอิเล็กทรอนิกส์ที่ชัดขึ้นมาก ๆ ตามทุกเหตุผลที่ว่ามาครับ
ทำไม The Darkest Romance ถึงเลือก Edit เพลงในอัลบั้ม โดยเฉพาะในซีดี ให้มีความเป็น Gapless Feeling ต่อเนื่องกัน
แม็ก : ผมรู้สึกว่าความต่อเนื่องในการไล่เรียงลำดับของเพลง หรือการลำนำท่วงทำนองของเพลง พอมันมีความต่อเนื่องของเพลงคนฟังจะรู้สึกว่า มันไปได้เรื่อย ๆ นำพาความรู้สึกของการฟังเพลงนี้ แล้วมันมีสิ่งอื่นมาทำให้เกิดความตื่นเต้นระลอกที่หนึ่ง ระลอกที่สอง ระลอกที่สาม มันทำให้คนนั่งอยู่ตรงนั้นได้นานขึ้น
ความรู้สึกส่วนตัวผม ผมเป็นคนชอบฟังเพลงเป็นอัลบั้ม เวลาฟังเพลงจบแล้วมันเงียบก่อนขึ้นด้วยเพลงใหม่มันไม่ใช่ไม่ดี มันดีในแบบของมัน แบบว่าเรื่องหนึ่งเรื่องมันจบตรงนี้ แล้วค่อยมาขึ้นเรื่องใหม่อีกครั้ง แต่พอเพลงมันมาต่อกัน มันเกิดการตีความได้อีกแบบว่า เพลงนี้มันต่อมาถึงอีกเพลงทำไมมันถึงต่อมาอย่างนี้ ทำไมมันไม่จบให้ขาดจากกัน เห้ย มันก็ส่งอารมณ์ไปยังเพลงต่อไปได้ด้วยนี่หว่า ความต่อเนื่องของเนื้อหา ความต่อเนื่องของความรู้สึกอะไรอย่างนี้ มันทำให้เกิดเป็นอีกมุมหนึ่งของผม ฟังแล้วมันรู้สึกสนุกขึ้น ไม่ได้ถูกตัดหรือถูกแยกกันไป
คูเกม : คือไม่รู้ว่ามันเป็นที่ช่วงวัยหรือเปล่า ด้วยความที่เราโตมากับเพลงที่เขาขายเป็นอัลบั้ม ตั้งแต่ยุคเทปช่วงปลาย แล้วก็หายไปกลายเป็นซีดีช่วงแรก นึกถึงวันที่เราซื้ออัลบั้มมาแล้วก็ต้องเปิดกางเนื้อเพลงอ่านทั้งหมด มันคือการฟังเพลงที่เหมือนว่าทั้งอัลบั้มนั้นคือเพลงเดียว มันเหมือนอะไรก็ตามที่เป็นสิ่งเดียว แล้วเราก็เปิดฟังยาว ๆ มันเป็นอารมณ์นั้น สำหรับเรื่องนี้แม็กเป็นคนเริ่มคิดก็จริง แต่วงไม่เคยทักท้วงเลยนะ ไม่เคยติดใจเรื่องนี้
ก้อง : ใช่ ๆมันก็เหมือนเป็นความต่อเนื่อง เป็นคอนเซ็ปต์เดียวกัน
แม็ก : เพราะพวกเราชอบฟังเพลงที่มันนำพาอารมณ์ไปอย่างต่อเนื่องด้วย
คูเกม : จริง ๆ เหตุผลที่ง่ายที่สุดของเรื่องนี้คือเราชอบวิธีนี้ด้วยแหละ
แม็ก : ที่ก้องพูดเรื่องคอนเซ็ปต์คือมันใช่ The Darkest Romance เริ่มทำเพลงจากการวางคอนเซ็ปต์มาก่อน การต่อเนื่องของอารมณ์ หรือทำให้ซาวด์มันเชื่อมกันแบบ Gapless ก็ช่วยให้คอนเซ็ปต์ตรงนี้มันแข็งแรงขึ้นด้วย ทั้งทางตรงและทางอ้อม สำหรับในแง่ของคนทำเพลงและตัวเจ้าของผลงานเอง มันก็เป็น Puzzle ใหม่ ๆ ได้นะว่าเราทำอัลบั้มมาอย่างนี้ เพลงเป็นแบบนี้ เราจะเรียงอันไหนก่อนอันไหนหลัง คือเวลาทำงานเราไม่ได้คิดว่าจะทำเป็นซิงเกิล เราทำเดโม่เสร็จมาก่อน แล้วมาคิดว่าเรียงดูว่าแบบนี้ดีไหม พอเรียงเสร็จ ลำดับอารมณ์มันถูกต้องแล้ว มันเชื่อมต่อกันไหม มันเหมือนการคิดมากกว่าคนอื่นครับ
อ้างอิงจากสเตตัส “ชุดนี้สีดำ ชุดหน้าสีขาว ชุดนี้เราทำเพลงบ้า ชุดหน้าเราจะทำเพลงเพราะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ครึ่งแรกครับ” บน Facebook ของวง และที่วงได้พูดไว้ในคอนเสิร์ต Spread The WORDS สำหรับเรื่องนี้ วงสามารถบอกใบ้อะไรเพิ่มเติมให้เรารู้ได้บ้าง
ก้อง : จริง ๆ สารที่แม็กพูดไว้ในคอนเสิร์ต Spread The WORDS ก็ค่อนข้างครบแล้วนะ
เต้ : นั่นแหละ คำบอกใบ้มันอยู่ในชุดคำพูดนั่นแหละ ครบทุกอย่างแล้ว
ก้อง : ต้องไปตีความกันเอาเองครับ เพราะถ้ามากกว่านี้มันจะสปอยเกินไป
แม็ก : ถ้าเกิดคนอื่นรู้ก็บอกวงด้วยนะครับ เพราะวงเองยังไม่รู้เลย
ก้อง : เอาจริง ๆ จากคำพูดวันนั้นก็มีคนรู้แล้วนะ ต่อไปมันคืออะไร แต่ไม่รู้หมดแบบละเอียด แค่รู้ว่าประมาณไหน
แม็ก : เขาสามารถรู้เท่าที่เราบอกให้รู้แหละ ซึ่งตอนนั้นเราอยากให้รู้เท่านั้น และสิ่งที่เราบอกเพิ่มได้ก็คือนี่คือการวางแผนครับ พวกเราวางแผนกันมานานมากกับอัลบั้มนี้หรือชุดต่อไป มันคือแผนที่ถูกวางไว้ คือพิมพ์เขียวที่ถูกเขียนโครงเอาไว้นานมาก
ก้อง : มันเกิดขึ้นก่อนอัลบั้มชุดนี้อีก
คูเกม : มันไม่ใช่ว่าอัลบั้มนี้เสร็จแล้ว อัลบั้มต่อไปเราทำอย่างนี้กันดีกว่า คือไม่ เราวางแผนเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว
ตัวตนและความรู้สึกของ The Darkest Romance ในปีที่ 10
แม็ก : ติ๋มครับ
เต้ : เราเป็นไบโพลาร์ครับ
แม็ก : 10 ปีในการทำวงทื่ชื่อ The Darkest Romance ขึ้นมาตั้งแต่ทำคนเดียว จนถึงตอนนี้ที่มีเพื่อนร่วมทีม เพื่อนร่วมวงที่ผมรู้สึกดีใจที่สุดที่ได้มีทุกคน อยู่ที่นี่ ตัวตนของวงสำหรับผมหรอ ถ้าเมื่อก่อนคงตอบได้ว่ามันเป็นสิ่งที่ อยู่ในใจของผมและเป็นเรื่องที่ผมอยากจะเล่า แต่ว่านี้น่าจะใช้คำนั้นเพียว ๆ ไม่ได้แล้ว มันคือสิ่งที่วงรู้สึกร่วมกันต่อโลก ต่อโลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นคำถาม ความสงสัย สิ่งที่คิดในใจ แล้วก็อันนี้ไม่รู้นะ คือผมเดาใจเพื่อน ๆ ในวงนะว่าคิดเหมือนกันหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าตัวตน ของพวกเราไม่ได้อยากจะเป็นเหมือนสิ่งที่เคยมี แล้วก็เราไม่เชื่อว่าความเบากับความหนักมันจะเข้ากันไม่ได้ เหมือนที่ทำมาตั้งแต่ต้น มาตลอด เราพยายามนำสิ่งที่มันดู Contrast มาก ๆ จากสองฝั่งมาชน ให้มันอยู่ตรงกลาง และการอยู่ตรงกลางมันไม่ได้ตีถมว่าเราจะต้องไปเจาะตลาดเบาเจาะตลาดหนัก ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องพยายามไปให้ถึงทุกที่ให้ได้
คูเกม : ใช่ เพราะถ้าไม่งั้นเราคงเลือกทำแบบนั้นไปนานแล้ว
แม็ก : ท้ายที่สุดแล้วไอการทำตรงกลางทั้งเบาและหนักกลายเป็นว่ามันดึง จุดร่วมของตัวตน ของสิ่งที่วงคิดรู้สึก เราได้เอาสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ระบายด้วยกัน ได้มาเล่นดนตรี ได้มาแสดงออกในสิ่งที่ซ่อนอยู่ ความเครียด ความกดดัน ความทุกข์ใจพอเราเล่นมันแรง ๆ ออกมา แล้ว เราก็ได้เบรกด้วยความเบาของเพลง หรือได้พูดคุย ได้ชวนให้คนรู้สึกร่วมไปอีกทาง เรารู้สึกว่านี่คือการทำลายกำแพงระหว่างศิลปินกับคนฟัง เราทำลายกำแพงระหว่างกันเพราะทุกคนมาเจอกันตรงกลาง ทุกคนรู้ว่าทุกอย่างมันเข้ากันได้เสมอ มันก็เลยเป็นเอกภาพอีกแบบที่พวกเรา ไม่คิดว่าจะมีได้ขนาดนี้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเป็นคำตอบที่คลุมเครืออะไรมาก หรือดูงง ๆ หรือเปล่านะ แต่พอมันอยู่กันมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ได้เห็นวงโตขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกว่าวงมันไม่ใช่แค่ตัวตนของผมคนเดียวอีกแล้ว มันคือตัวตนของทุกคน มันคือสมาชิกในวง มันคือคนดู มันคือการเอาความรู้สึกที่มีอยู่ในเพลงมาโยนร่วมกันแล้วก็สนุกไปด้วยกัน
ก้อง : สำหรับผมก็ถือเป็น 10 ปีที่ไม่ง่ายเลยครับคือเราเดินทางกันมานานครับ ทุกวันนี้วงเรามีคนยอมรับได้มากขึ้นก็จริง แต่ก่อนหน้านี้อย่างที่บอก มันไม่ง่ายเลย ทั้งโดนดูถูก โดนมองว่าเป็นวงประหลาด เล่นเพลงอะไรกัน เล่น ๆ อยู่มีคนอุดหู ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าจะผ่านมาได้ถึงวันนี้
แม็ก : ก่อนที่จะมารวมกันเป็นไลน์อัพเซ็ตนี้แต่ละคนมีวงของตัวเองมาก่อนหมดเลย แล้วความรู้สึกนี้มันเจอกันมามีครบเลย ที่เล่นวงแบบนี้เล่นเพลงแบบนี้แล้วคนอุดหูด้วยความรู้สึกว่ามึงทำไรลงไป ไม่บรรเจิด ไม่จรรโลงต่อหูเลย ไม่ชอบเลย ของก้องจะโดนมาประมาณนึงเลยเพราะก้องเคยทำเมทัลคอร์จัด ๆ มากกว่านี้
ก้อง : ใช่ ๆ คือนักดนตรีสายอื่นอาจจะไม่เข้าใจ แต่ถ้าแนวอย่างเรามันต้องเจอ อยู่แล้วครับว่าเล่นเพลงอะไรเสียงดังหนวกหู เล่นอยู่โดนปิดไมค์ ปิดลำโพง เล่นยังไม่ทันจบก็โดนไล่ให้ลงแล้วเพราะเพลงหนวกหูฟังไม่รู้เรื่อง ทุกคนในวงก็เคยเจอกันมาหมด แต่ละคนผ่านแนวเดียวกันมาหมด
แม็ก : เออว่ะ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ง่ายจริง ๆ ด้วย
เต้ : มันไม่ง่ายเลยกับการมาเล่นเวย์นี้ ตั้งแต่มัธยมแล้ว แค่เราเลือกเล่นเพลงที่มีเสียงสำรอกเราก็โดนตั้งคำถามแล้วว่ามึงเล่นเพลงอะไร ก็โดนดูถูกมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
คูเกม : แล้วพอโตมามันมีแบบนี้ด้วยนะ บอกเราหนักไม่พอด้วยนะ
แม็ก : มันเหมือนเป็นความโชคดีด้วย เหมือนผมจะพูดซ้ำแต่ไม่ได้บอกว่า มันสำคัญนะ การที่เป็นคนเริ่มต้นวงนี้ขึ้นมา แล้วเราไม่เชื่อว่าเราต้องหนักสุดขนาดนั้น เบาขนาดนั้น ต้องไปนั่นไปนี่ สุดทาง ไปทางใดทางหนึ่ง เราปรับมันได้นี่หว่า เราทำได้เพราะเราคือมนุษย์ ความรู้สึกคนมันปรับได้อยู่แล้ว เรารู้สึกว่าสิ่งที่ทุกคนเจอมา พอมันมารวมตัวกันมันคือวง นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เมื่อกี้ พูดแล้วอาจจะดูวนไปวนมาดูจะหาจุดไม่ลงสักที แต่ว่าสุดท้ายแล้ว เออ วงคือวง 10 ปีที่ผ่านมามันคือบันทึก คือประสบการณ์ที่แต่ละคนเจอมา อย่างเต้เข้ามาหลังสุด 3 ปี ก้องมาก่อนหน้านั้น เป็น 5 ปี เกมประมาณ 6-7 ปี ทุกคนมาแบบผมขอให้ช่วย ชักชวนมา ลักพาตัวมาก็มี หยอก ๆ ไม่มี พอมาเล่นด้วยกัน ความเป็นวงมันค่อย ๆ ประกอบต่อจากนั้น แล้วทุกคนรู้สึกว่ามันเอาใจมารวมตรงกลาง มันได้ออกไปทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ โดยไม่กลัวอะไรอีกแล้ว
เต้ : คือ The Darkest Romance ในมุมผมก็คล้ายกับแม็ก ผมเล่นกับทีมนี้ คือผมออกไปเล่น ผมไม่กลัวอะไรแล้ว แบบเล่นด้วยกันสนุก เรารู้ใจ เราเล่นจนมันเป็นกลมแล้ว นี่แหละ TDR
คูเกม : มันจะไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เล่นแล้วเรามีความรู้สึกว่าคนดูเขา จะรับฟังเราหรือเปล่า งานนี้จะเหมือนงานที่แล้วไหมแต่กับวงนี้มันจะไม่มี เราไปเล่นเพราะเราจะเล่นกับเพื่อนเรา
ก้อง : เมื่อก่อนเวลาไปเล่นวงก่อนหน้าคนเยอะ พอเราขึ้นปุ๊ปคนเดินออกหมด ใจเราเป้วแล้ว แต่มันไม่เคยเกิดขึ้นกับวงนี้ครับ
แม็ก : เกิดกับกู เกิดกับกู
ทุกคน : (หัวเราะ)
แม็ก : อันนี้แถม ยุคนั้นจำได้เลย โคตรอินดี้ 7 วง The Darkest Romance ยังไม่ใช่เซ็ตนี้ วงตอนนั้นเหมือนชื่อมันยังไม่มา Annalynn ขึ้นเล่นก่อน แล้วคือ Circle Pit คนเนืองแน่น พอ Annalynn ลงปุ๊ป คนแตกฮือ แต่ว่าหลังจากทุกอย่างมันลงตัว ทุกคนมารวมตัวกัน มาแชร์กันความกลัวตรงนี้มันหายไปหมดเลย คำมันอาจจะดูดาร์ก ไปหน่อยนะ แต่พวกเราไม่มีอะไรจะเสียแล้ว พวกเราไม่ได้มาเพื่อเสียอะไร แต่พวกเรามาเพื่อเล่นดนตรี แล้วทุกคนรู้สึกไปด้วยกันไหม ถ้าทุกคนรู้สึกคือดี ไม่รู้สึกไม่เป็นไร เพราะยังไงเราก็จะเล่น
ช่วยฝากทิ้งทายหน่อยครับ
แม็ก : สำหรับพวกเรา ทุกคนสามารถติดตามพวกเราได้ตามช่องทางเหล่านี้นะครับ ทาง Facebook อัปเดทข่าวสารของวงได้ทางเพจ The Darkest Romance และ Gene Lab ซึ่งก็คือสังกัดของเรา ทาง Youtube กดติดตาม Gene Lab ก่อนได้เลย ตอนนี้ ทุกเพลงในอัลบั้ม WORDS มีเป็น Official MV และ Lyric Video ออนไลน์บนแชลแนลเป็นที่เรียบร้อยแล้วแชลแนลส่วนตัวของพวกเรา thisistdr band ในนั้นจะมีเพลงเก่า ๆ ของพวกเรา เพลงใหม่ ๆ ที่เป็นโปรเจ็คส่วนตัวและเพลงพิเศษต่างๆทาง Instagram : tdrthailand ทาง Line open chat : The Darkest Romance และล่าสุดพวกเราเพิ่งทำเพลงพิเศษกันมา เป็นโปรเจ็ค Collaboration กับ SUNTUR ซึ่งเราจัดนิทรรศการภาพประกอบเสียง “A little letter from someone somewhere by SUNTUR” ซึ่งเขาก็ได้เชิญเราไปทำเพลงด้วย Release ผ่านแชลแนลส่วนตัวชื่อเพลง “Are You Proud Of Me?” ครับ ฝากติดตามด้วยนะครับ
บทสัมภาษณ์ The Darkest Romance เพิ่มเติม
- แม็ก The Darkest Romance : ตัวตนคนดนตรี
- The Darkest Romance : จาก ‘ความเยาว์’ สู่ ‘ความโดดเดี่ยว’ ผลงาน 10 นาทีกับการท้าทายความสามารถของพวกเขา ไปอีกขั้นในฐานะศิลปินคุณภาพ
- The Darkest Romance : One Word Can Mean A Lot of Sentences Part.1
Photo : Satchaphon Rungwichitsin