นายนะ : สร้างตัวตนผ่านผลงานในฐานะแร็ปเปอร์ Issue 149
"นอ อา ยอ นาย ไม่ต้องถามว่ากูเป็นใครวะ กูบอกว่ากูน่ะชื่อนาย ay aka กูนายนะ" จากเด็กวิศวะธรรมดาที่รวยฝัน ณ ตอนนี้ นายนะ ถือเป็นแร็ปเปอร์รุ่นใหม่ที่พร้อมไปด้วยความสามารถและน่าจับตามอง เขาคือศิลปินจากค่าย PROM+ ภายใต้สังกัด LOVEiS ดีกรีผู้ชนะจากรายการ Show Me The Money Thailland นอกจากความสามารถแล้ว ความเป็นนักสู้คืออีกคุณสมบัติที่ช่วยให้เขาก้าวเข้าสู่เส้นทางของศิลปินเต็มตัว แม้บทบาทบนเวทีการประกวดของเขาจะจบลงไป แต่เส้นทางการเป็นศิลปินของเขามันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ นายนะคิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดในการทำเพลงคือทำอย่างไรให้คนเข้ามากดฟังเพลง เขาคิดว่าถึงแม้เขาจะทำเพลงที่มีคุณภาพมากแค่ไหน หากไม่มีคนเข้ามาฟังเพลงนั้น ๆ ทุกอย่างจบ ดังนั้นการประกวดบนสังเวียนแร็ปคือสิ่งที่จะช่วยดึงเขาออกไปสู่พื้นที่สาธารณะ ช่วยให้เขาเป็นที่รู้จัก
นายนะ : ช่วงนั้นผมลงประกวดทุกเวทีเลยครับ ตั้งแต่ RAP IS NOW THE WAR IS ON หรือ THAI RAP TV ซึ่งส่วนใหญ่มันเป็นการแข่งแร็ปแบทเทิล เพราะตอนนั้นมันกำลังเป็นที่นิยม มันเป็นการแร็ปดิสเครดิตกัน แร็ปเปอร์ฟอร์มบนเวทีบ้าง อัดเสียงออดิโอบ้าง ส่วนใหญ่ผมตกรอบบ่อย เพราะสไตล์การเขียนไรม์ของผมออกแนวตลก ดูไม่ดุ ไม่รุนแรง เหมือนที่เขานิยมในตอนนั้น
หลังจากเป็นผู้ชนะในรายการ Show Me The Money Thailand นายนะได้ตัดสินใจวางใบปริญญาสาขาวิศวะกรรม พักเรื่องการสอบต่าง ๆ แล้วหันมาเอาดีทางด้านการเป็นแร็พเปอร์ การเป็นศิลปินอย่างจริงจังกับค่าย PROM+ ภายใต้สังกัด LOVEiS แม้เขาเลือกเส้นทางที่อาจต้องนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง แต่นั่นก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อที่ว่าโอกาสเช่นนี้ไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีขึ้นอีกหรือไม่
นายนะ : หลังจบรายการ Show Me The Money Thailand ผมตื่นเต้นมาที่จะได้ไปขึ้นโชว์ในรายการ Show Me The Money ซีซั่น 7 ที่ประเทศเกาหลีใต้ ผมมีเวลาเตรียมตัวแค่ 5 วันก่อนเดินทาง ตอนแรกเขียนไรม์เป็นภาษาไทยไปก็โดนแก้ให้เป็นภาษาอังกฤษ ตอนแรกผมอยากเขียนไรม์ให้มันดูตลก แต่เพิ่งไปรู้ที่นั่นว่าคนเกาหลีเขาไม่ได้เข้าใจสิ่งที่ต้องการจะสื่อสาร มันเลยทำให้รู้สึกแย่กับตัวเองมาก ทำให้คิดว่าเราทำมันไม่เต็มที่หรือเปล่า เราควรทำอะไรได้มากกว่านี้นะ ทำให้ผมกลับมาคิดทบทวนว่าต่อไปนี้เวลาขึ้นแร็ปเวทีไหนเราจะทำให้เหมือนกับมันเป็นโชว์ครั้งสุดท้าย ก่อนหน้านี้ผมขึ้นโชว์ที่งานการกุศล มีคนดูผมแค่คนเดียวและเป็นเด็ก แต่ผมก็แสดงโชว์นั้นสุดความสามารถนะ จนเขายอมเต้นตาม นั่นทำให้ผมภูมิใจมาก การขึ้นโชว์ที่เกาหลีมันสอนอะไรให้ผมมากมาย ถ้าผมไม่แสดงให้สุดความสามารถ คนดูเขาไม่เชื่ออยู่แล้ว
การร่วมงานกับค่าย PROM+ เริ่มมาจาก Show Me The Money Thailand พี่อุ๋ย พี่โต้ง เขาเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับผม และเขาประทับใจผมกับพี่โจ (แร็ปเปอร์ aka ทศกัณฑ์ ) พวกเรามีทิศทางการเขียนไรม์และแนวเพลงค่อนข้างจะไปในแนวเดียวกัน จึงมีการชักชวนให้ทำงานร่วมกัน
นายนะ : ย้อนกลับไปเมื่อก่อน ผมทำเพลงแบบว่าคิดอะไรอยู่ก็ปล่อยออกมา อยากพูดอะไรก็พูด แต่พออยู่กับ PROM+ มันมีความเป็นค่ายกับความเป็นเราที่ต้องพยายามเดินไปอยู่จุดกึ่งกลาง ผมรู้สึกว่ามันควรทำให้เพลงมันขายได้ประมาณหนึ่งและไม่ควรเสียความเป็นตัวเองไป
ผมเป็นคนที่ชอบเรื่องความหมายของเพลง สำหรับผมเพลงแร็ปมันเป็นอะไรที่พูดได้หลากหลายกว่าเพลงอื่น ๆ มันสามารถเจาะรายละเอียดของเพลงเพลงนั้นได้เยอะแยะ เสน่ห์ของเพลงแร็ปหรือฮิปฮอปมันอยู่ที่ตรงนี้ แนวทางหรือสไตล์ของผมจึงอยู่ที่การเขียนไรม์ เน้นความหมายเป็นอันดับแรก ส่วน Flip กับ Flow รองลงมาเพื่อให้คนฟังไม่รู้สึกเบื่อ
นายนะ : ตอนนี้ผมปล่อยเพลงออกมา 2 เพลง คือ รองเท้าหายตอนถวายสังฆทาน ที่มาของเพลงนี้เกิดจากก่อนหน้านี้ผมอ่านหนังสือธรรมะของพี่อุ๋ย เริ่มรู้สึกว่าเวลาคนทำบุญต้องหวังว่ามันจะได้สิ่งดี ๆ กลับมา แต่ลืมคิดไปว่าแค่เริ่มทำก็ได้ความสบายใจกลับมาแล้ว เพลงนี้ทำเป็นแนวสามซ่านิด ๆ เน้นความสนุกไม่เน้นยอดวิว ให้มันเป็นเพลงที่เปิดที่ไหนก็โยกได้เต้นได้ เปิดช่วงสงกรานต์ได้ ซึ่งผมก็เห็นผลแล้วว่าคนค่อนข้างมองศิลปินที่ยอดวิว Youtube เป็นหลัก งั้นเรามาทำเพลงเรกเก้แบบน่าฟังกันดีกว่าซี่งก็คือเพลง อย่าพูดเลย เนื้อหาพูดถึงคนโกหก แล้วเอาคำว่า Ya Ya ที่แร็ปเปอร์ชอบใช้กันมาเล่นให้คนจำได้ ร้องตามได้ กระแสตอบรับออกมาดีเลย หลังจากนี้เพลงที่ 3 ที่ 4 ผมจะแสดงความเป็นตัวเองผ่านเพลงให้มากขึ้น ให้คนฟังได้รู้จักตัวตนของเรา ซึ่งตอนนี้ผมเตรียมเพลงไว้ประมาณ 10 เพลง ทำเดโม่เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ
นายนะ : ผมคิดว่าฮิปฮอปในบ้านเรากำลังได้รับความนิยมมาก ๆ แบบว่าไม่เคยได้รับความนิยมมากเท่านี้ เพลงแร็ปเริ่มเข้าสู่สตรีมหลัก มีคนพยายามทำเพลงแร็ปออกมาเยอะ ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม มองว่าคนพยายามทำเพลงแร็ปเพื่อขายเยอะเกินไป รีบทำให้มันขายทัน พอรีบทำเพลงบางครั้งคุณภาพมันลดลง แล้วถ้าเป็นอย่างนี้วันหนึ่งความนิยมมันจะลดลงไป กลายเป็นสิ่งที่มาเร็วไปเร็วไปแทน กลายเป็นสิ่งที่คนฟังรู้สึกว่าแค่นี้เองหรอ
ผมมองว่าตัวเองไม่ได้ประสบความสำเร็จในเรื่องของการทำเพลงเท่าไหร่ ผมอยากให้คนรู้จักผมเพราะเพลงมากกว่ารู้จักเพราะนามสกุล Show Me The Money ทุกวันนี้ยังสู้อยู่ ผมทิ้งทุกอย่างที่เคยทำเพื่อหันมาทำเพลง พยายามเรียนรู้เกี่ยวกับด้านนี้ให้มากที่สุด และไม่ว่าเราจะมีโอกาสหรือไม่มี เราควรคิดว่าต้องทำมันให้เต็มที่กับทุกอย่างเพื่อไม่ให้รู้สึกเสียดายภายหลัง ขอฝากถึงทุกคนที่กำลังพยายามต่อสู้อยู่ว่า อยากทำอะไรทำให้เต็มที่ ทำให้ถึงที่สุดครับ
Photo : Nutchanun Chotiphan