ตัวใครตัวมัน

ตัวใครตัวมัน

ในประเทศไทยนี้อาชีพตำรวจเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ผู้ประกอบอาชีพมักจะได้พบพานได้เจอเรื่องราวประสบการณ์แปลก ๆ อยู่เยอะมากมายพอสมควร ที่มีทั้งตื่นเต้น สนุกตื่นตาตื่นใจ หวาดเสียวเสี่ยงตาย เรื่องลี้ลับ รวมไปถึงเรื่องราว ดราม่าน้ำตาตก เพราะอาชีพตำรวจเป็นอาชีพหนึ่งที่คลุกคลีกับประชาชนอย่างมากถึงมากที่สุด ไม่ว่าคุณจะย้ายไปอยู่ที่ใดก็ตาม ตำรวจก็ไม่อาจจะห่างจากประชาชนได้อย่างเด็ดขาด 

เรื่องราวที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ถือเป็นเรื่องหนึ่งที่น่าตกใจ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งผู้ชายหลายคนเมื่อได้อ่านได้ฟังเรื่องราวคราวนี้ คงจะเสียวสันหลังมากพอสมควร ซึ่งเรื่องราวนี้เป็นเรื่องราวที่ผมได้ประสบเจอเองกับตัว เมื่อครั้งผมย้ายมาประจำรับตำแหน่งเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายปราบปรามสมัยแรก ๆ ในสถานีตำรวจใจกลางเมือง การทำงานของผมนั้นอย่างที่ทราบกันดีต้องตั้งด่าน ตั้งจุดสกัดจับสกัดกั้นการกระทำความผิดทั้งหลาย โดยมุ่งเน้นไปยังการป้องกันปราบปรามยาเสพติด การป้องกันเหตุชิงทรัพย์ และการพกพาอาวุธ ไปยังพื้นที่สาธารณะ 

วันหนึ่งขณะตั้งด่านในช่วงเวลากลางคืน ผมได้เจอฝรั่งคนหนึ่ง นั่งรถ Taxi มากับผู้หญิงสองคน ซึ่งดูจากการแต่งตัวและท่าทางของผู้หญิงแล้วก็พอจะคาดเดาอาชีพของหญิงสาวเหล่านี้ออก ซึ่งชาวต่างชาติส่วนใหญ่ที่ผมได้เจอนั้น มักจะหาความสุขให้กับตัวเองเวลามาเที่ยว ด้วยการไปหาสาว ๆ เหล่านี้จากแหล่งอโคจร จากนั้นก็ชวนกันมานั่งดื่มกินกันตาม Night Club ต่าง ๆ ซึ่งเมื่อเมากันพอกึ่ม ๆ ได้ที่แล้วค่อยไปจบกันที่โรงแรมห้องนอน แต่เรื่องนั้นไม่ใช่ประเด็นที่ผมต้องมาสนใจ 

ผมได้สั่งการให้ลูกน้องทำการตรวจค้นสิ่งผิดกฎหมายจากทั้งสาม โดยผมทำหน้าที่ตรวจค้นฝ่ายผู้หญิงคนหนึ่งด้วยตัวเอง ผมให้เธอเปิดกระเป๋าถือที่สะพายให้ดู และก็พบเข้ากับยาเม็ดสีฟ้าขนาดใหญ่เม็ดหนึ่ง ผมได้หยิบมันขึ้นมาตรวจสอบในทันทีซึ่งด้วยลักษณะและขนาดของยา ทำให้ผมคิดได้ว่ามันอาจจะเป็นยาอี ยาเสพติดที่ระบาดอยู่ในขณะนี้ และแล้วบทสนทนาแห่งความสงสัยก็ได้เริ่มขึ้น

ผม : น้องนี่มันยาอะไร 
ญ : เอ่อ... (เธออ้ำอึ้ง ไม่ตอบผม) 
ผม : น้องตอบพี่สิ นี่มันยาอะไร (เสียงผมเข้มขึ้นเพื่อกดดันให้อีกฝ่ายตอบออกมาให้ได้)
ญ : เอ่อ... คือ (เธอยังคงอ้ำอึ้ง ให้คำตอบกับผมไม่ได้)

ขณะที่ผมกำลังจะเอ่ยปากกดดันเธอเพื่อจับพิรุธต่อนั้น จู่ ๆ ลูกน้องผมก็ได้มาดึงแขนผมออกมาจากบทสนทนา และมาหลบมุมกระซิบบอกผมว่า

ลูกน้อง : ผู้กอง ๆ ไอ้ยานี่มันยาต้านเอดส์ไอ้พวกนี้เป็นเอดส์ทั้งนั้น ผู้กองไม่ต้องไปถามอะไรมันมาก ปล่อยมันไปเถอะผู้กอง
ผม : เฮ้ย... เอาจริงสิ..!!!

ผมค่อนข้างอึ้ง และตกใจกับคำบอกเล่าของลูกน้องพอสมควร เกิดมาในชีวิตนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับ “ยาต้านเอดส์” ผมไม่เคยได้รู้จักกับยาชนิดนี้มาก่อน ที่ตกใจยิ่งกว่าคือผมแทบไม่เชื่อว่าผู้หญิงหน้าตาผิวพรรณดีที่อยู่ตรงหน้าผมนั้น เธอจะเป็นโรคร้ายดังกล่าว... 

ผมนำยาไปคืนให้เธอ แต่ก็ไม่วายด้วยความปากหมาและความสงสัยไคร่รู้จึงถามเธอไปตรง ๆ ว่า

ผม : น้อง ๆ น้องเป็น (เอดส์) เหรอ
ญ : ค่ะ (เธอพยักหน้ารับ)
ผม : หา...? แล้วน้องมาทำงานอย่างนี้เนี่ยนะ...?
ญ : พี่ ๆ หนูขอล่ะ อย่าบอกแขกหนูนะ
เดี๋ยวหนูไม่ได้ตังค์ 

ชิบหายล่ะสิครับ...ตัวใครตัวมันละทีนี้ 

...ผมไม่สามารถบอกใครได้อยู่แล้วว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้ป่วย เพราะการที่ไปเปิดเผยผู้ที่ติดเชื้อ HIV โดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอมนั้นถือเป็นความผิดละเมิดทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ซ้ำยังเคยมีฎีกาคำพิพากษาออกมาแล้วด้วยว่า การเปิดเผยความลับผู้ป่วยถือเป็นความผิด ดังนั้นก็อย่างที่กล่าวไว้... ตัวใครตัวมันนะครับ ป้องกันกันให้ดี ๆ นะครับ อาเฮียฝรั่งคนนี้ผมช่วยอะไรไม่ได้จริง ๆ 

เชื่อหรือไม่ครับทุกครั้งที่ผมเข้าเวรและตั้งด่านในผลัดเวลากลางคืนทีไร ผมเป็นต้องเจอผู้ป่วยที่พกยามาด้วยอย่างน้อยคืนละ 2 รายทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นหญิง, ชาย หรือกลุ่มรักร่วมเพศ มันหมายความว่ามีผู้ป่วยเอดส์เป็นจำนวนเยอะมากอยู่ในสังคมเรา โดยที่เราไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้ติดเชื้อ และมีผู้ป่วยที่ยังคงไปขายบริการทางเพศอยู่อีกจำนวนไม่น้อย 

คุณผู้ชายทั้งหลายโปรดระวังกันด้วยนะครับ มันไม่มีคำว่า 100% ที่ว่าที่เที่ยวนี้ปลอดภัย หรือที่เที่ยวนี้โอเคมีแต่คนมีกะตังค์เที่ยวไม่เสี่ยงหรอก ผมรู้ว่ามีคนคิดอย่างนั้น ผมอยากบอกตรงนี้ว่าไม่มีอะไรชัวร์เลย ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะเป็นเกราะป้องกันต่อตัวคุณคือความยับยั้งชั่งใจ หากยับยั้งชั่งใจไม่ได้ก็ต้องป้องกัน เพราะเมื่อเสี่ยงต่อการติดโรคขึ้นมาเมื่อใด บอกได้เลยครับว่า ไม่สนุกจริง ๆ 

ชุดสัพเพ เฮฮา ประสาตำรวจ