Legend of the Air
หากพูดถึงกีฬาบาสเกตบอล ทุกคนย่อมต้องนึกถึงลีกยอดนิยมอย่าง ลีก NBA (National Basketball Association) ของสหรัฐอเมริกา ลีกที่มีอัตราการรับชมและได้รับความสนใจจากทั่วโลกมากที่สุดรายการหนึ่ง ในลีก NBA มีนักบาสเกตบอลชื่อดังมากมายหลายคนหมุนเวียนเข้ามาสร้างสีสันให้กับวงการอย่างต่อเนื่อง นักบาสเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นสุดยอดฝีมือครับ พวกเขาต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก ผ่านการแข่งขันในระดับมหาวิทยาลัยและระดับชาติมาแล้ว จึงจะสามารถได้รับการ Draft ตัวเข้ามาเป็นนักบาสอาชีพได้ พวกเขาเหล่านี้ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองมากมาย แต่เมื่อมีคำถามถึงความเป็นที่สุดของวงการนี้ คำตอบมักจะไปตรงกับนักกีฬาผู้นี้ “Michael Jordan”
ไมเคิล จอร์แดน สุดยอดนักกีฬาบาสเกตบอลคนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของอเมริกา ที่เหล่าซูเปอร์สตาร์ NBA ต่างยกย่องในฝีมือ น้ำใจนักกีฬา (Fair play) และความเป็นต้นแบบให้กับนักกีฬารุ่นหลังๆ โดยเขาสามารถพาทีม Chicago Bullsคว้าแชมป์ได้ถึง 6 สมัย คว้ารางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า MVP 5 สมัย ติดทีมNBA ออลสตาร์เป็นเวลารวมถึง 10 ปี รวมไปถึงการพาทีมชาติอเมริกาคว้า 2 เหรียญทองจากการแข่งขันโอลิมปิก และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย
สำหรับทีม Chicago Bulls นั้น การได้ Michael Jordan มานับว่าเป็นโชคช่วยและเป็นบุญหล่นทับก้อนใหญ่ เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะสามารถสร้างผลงานได้ดีถึงขนาดนี้ โดยในสมัยนั้นลีกทีมใน NBA นิยมการดราฟท์ตัวผู้เล่นที่มีรูปร่างใหญ่ระดับ 210 ซม. ขึ้นไป เพื่อมาเป็นตัวยืนในตำแหน่งเซนเตอร์ เพื่อชิงความได้เปรียบพื้นที่วงในและคอยทำหน้าที่เก็บรีบาวน์ ไมเคิล จอร์แดน ซึ่งในขณะนั้นเพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา แชเปลฮิลล์ พร้อมด้วยความสูง 198 ซม. จึงได้ถูกมองข้าม และถูกดราฟท์ตัวในลำดับท้ายๆ ไมเคิล ได้ถูกดราฟท์ตัวเข้ามาสังกัดทีม Chicago Bull ในปี 1984 ได้รับเสื้อหมายเลข 45 โดยเปลี่ยนมาเป็นหมายเลข 23 ภายหลัง
การเข้าสู่วงการบาสเก็ตบอล NBA ของไมเคิล จอร์แดน นั้น เป็นช่วงรอยต่อระหว่างยุคของ Magic Johnson ของ LA LAKER กับตัวไมเคิล จอร์แดน เอง ในวันที่ลงสนามเปิดตัวครั้งแรกก็เหมือนกับนักกีฬาทั่วไป ไม่ค่อยมีใครส่งบอลให้ ภายในทีมยังไม่สามัคคี ดังนั้นจอร์แดนจึงต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเองอย่างมาก และจากความพยายามเขาก็ได้พิสูจน์ฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์และสามารถเฉิดฉายขึ้นมา จนได้เป็นRookie of the Year ภายในปีเดียวกันกับที่เขาลงเล่นครั้งแรกนั่นเอง ในปีต่อๆ มา Chicago Bulls ก็ได้ผู้เล่นฝีมือดีเข้ามาร่วมทีมอีกมากมาย ส่วนหนึ่งคือต้องการที่จะร่วมทีมกับ ไมเคิล จอร์แดน ไม่ว่าจะเป็น Scottie Pippen, Toni Kukoc, Steve Kerr ผู้เล่นอาวุโสอย่าง Robert Parish รวมไปถึงจอมซ่าส์แห่งวงการอย่าง Dennis Rodman ก็ตาม โดย ไมเคิล ได้พาทีม Chicaho Bulls คว้าแชมป์สมัยแรกได้ในปี 1991 โดยเป็นการเอาชนะและปิดตำนานอาชีพของ Magic Johnson ลงอย่างราบคาบ ด้วยผลการแข่งขัน 4 - 1 เกมส์ คว้าแชมป์ไปครองได้อย่างสวยงาม และต่อเนื่องในปี 1992, 1993, 1996, 1997 และ 1998 เรียกได้ว่า ไมเคิล จอร์แดน นั้นสามารถสร้างชัยชนะ ทำทีมให้เป็นแชมป์ได้อย่างแน่นอนและต่อเนื่อง สถิติการครองแชมป์น่าจะสวยงามกว่านี้ หากในปี 1994 - 1995 เขายังคงอยู่ในทีม Chicago Bulls โดยในช่วงปีดังกล่าวนั้น ไมเคิล ได้หันไปเอาดีทางด้านเบสบอลเพื่อตามความฝันในวัยเด็กของเขากับทีม Scottsdale Scorpion แม้จะทำได้ไม่ดีนักแต่เขาก็ทำมันด้วยใจรัก และแล้วเขาก็รู้ตัวว่าเขาไม่เหมาะสำหรับเบสบอล จึงได้หวนกลับมาในฤดูกาล 1996 และแน่นอนครับแฟนๆ ยังให้การต้อนรับ เสียงโห่ร้องในวันที่เขากลับมานั้นดังกึกก้องมากกว่าสมัยเขาลงสนามเสียอีก
ไมเคิล จอร์แดน มีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เรียกได้ว่าเป็นนักบาสฯ โดยธรรมชาติ เขาสามารถกระโดดลอยตัวค้างกลางอากาศได้นานกว่านักกีฬาทั่วไป ลูกที่ถือได้ว่าเป็นลูกไม้ตายเฉพาะตัวของเขาเลยก็คือ ลูกชู้ตเฟดอเวย์(fade - away jump shot) โดยเขาจะกระโดดตัวขึ้นไปค้างเตรียมทำท่าชู้ตกลางอากาศ ในขณะที่ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามกระโดดบล็อก ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามนั้นกลับเป็นผู้ที่ลงถึงพื้นก่อน และเป็นจังหวะเดียวกับที่ไมเคิล จอร์แดน ชู้ตลูกลงห่วงแล้วค่อยลงถึงพื้น เรียกได้ว่าเป็นท่าชู้ตที่ไร้ทางป้องกัน และอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของไมเคิล คือ กำลังขาในการกระโดดลอยตัวนี่เอง โดยเขาสามารถกระโดดจากจุดลูกโทษ มาทำการดั้งค์ใส่ห่วงได้ราวกับบินและเหมือนเดินในอากาศได้เลยทีเดียว จากตรงนี้ภาพของไมเคิล ที่กระโดดลอยตัวกลางอากาศจึงถือได้ว่าเป็นเครื่องหมายการค้าของเขาทีเดียว
ชื่อเสียงของไมเคิล นั้นมีอยู่อย่างมากมาย และกีฬาบาสเกตบอลก็เป็นที่แพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น ทำให้สินค้ามากมายหลายชนิดต่างก็อยากได้ตัวเขาไปเป็นผู้เสนอสินค้า จน Nike ต้องจับเขาเซ็นสัญญาทำรองเท้ารุ่น Air Jordan ออกมาวางจำหน่ายให้กับแฟนๆ ถึง 23 รุ่น และด้วยชื่อเสียงที่มียังได้ทำให้เขาไปเล่น MV เพลง Bad เคียงคู่กับ King of PoPอย่าง Michael Jackson ในปี 1992 อีกทั้งยังเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลคนแรกที่ไปปรากฏตัวบนจอหนังฮอลลีวู้ดเรื่อง Space Jam ในปี 1996 เป็นพระเอกร่วมกับตัวละครการ์ตูนของ Warner Bros อย่าง บั๊กส์ บันนี่ และ แดฟฟี่ ดั๊ก อีกทั้งยังร่วมแสดงกับเพื่อนร่วมอาชีพอย่าง Charles Barkley, Patrick Ewing, Larry Johnson ฯลฯอีกด้วย
และด้วยชื่อเสียงที่มีทำให้มูลค่าในตัว Michael Jordanเพิ่มขึ้นอย่างมาก และทำให้ของสะสมที่เกี่ยวข้องกับตัวเขา มีมูลค่าสูงขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นรองเท้า Air Jordanรุ่นแรก ที่ปัจจุบัน มีราคาสูงขึ้นถึงคู่ละ 25,000 บาท รวมไปถึงการ์ดบาสเก็ตบอลสะสมที่เป็นรูปตัวของเขาเองก็เช่นกัน โดยการ์ดของ ไมเคิล ที่เป็น Rookie ในปีแรกนั้น ปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 100,000 ดอลลาร์ หรือราวๆ 3 ล้านบาทไทยเลยทีเดียว นับว่าแพงที่สุดในบรรดาการ์ดนักกีฬาทั้งหมดก็ว่าได้
นักกีฬาในยุคหลังๆ หลายคน นั้นให้ความเคารพนับถือ ไมเคิล เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ Kobe Bryan ที่ยอมรับว่าไมเคิล เป็นนักกีฬาในดวงใจ และท่าทางการเล่นต่างๆของเขานั้นลอกแบบมาจากไมเคิล แทบจะทั้งหมดเลยทีเดียว สิ่งสำคัญที่ทำให้ทุกคนยอมรับในตัวของ ไมเคิล คือความมีน้ำใจนักกีฬา และจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ ทุกครั้งที่เขาลงทำการแข่งขันไมเคิลสามารถทำให้ทุกคนในทีมของเขาและคู่ต่อสู้รู้สึกได้ว่า พวกเขาคือแชมป์ และทุกครั้งที่ลงเล่นคือการรักษาแชมป์ของพวกเขา ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับทีม ยังเป็นการข่มขวัญทีมคู่ต่อสู้อีกด้วย
และในปี 1998 ที่ Chicago Bulls คว้าแชมป์ครั้งสุดท้ายนั้น ไมเคิล จอร์แดน ได้รับรางวัล MVP ทั้งในฤดูกาลปกติ และในรอบ Playoffs ไมเคิลได้ออกมากล่าวว่า“ตัวเขาเพียงคนเดียวนั้น ไม่สามารถทำให้ Chicago Bulls คว้าแชมป์ได้ บาสเกตบอลต้องเล่นกันเป็นทีม หากไม่มี Teamwork และเพื่อนร่วมทีมที่ดี การคว้าแชมป์ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ ตัวเขานั้นไม่เหมาะกับรางวัล MVP นี้ และหากจะมีใครที่ควรได้รับรางวัลนี้ไป คนๆ นั้นน่าจะเป็น Scottie Pippen นั่นเอง” แต่ด้วยถ้วยรางวัล MVP นั้นได้ทำการสลักชื่อของ ไมเคิล เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้ ไมเคิลไม่สามารถมอบถ้วย MVP ดังกล่าวให้กับ Scottie Pippen ได้เขาจึงได้ทำการมอบรถสปอร์ต 2 ประตูสุดหรู ซึ่งเป็นอีกรางวัลหนึ่งให้กับ Pippen ไปนั่นเอง
จากที่เล่ามาทั้งหมดคงทำให้หลายท่านคลายสงสัยแล้วใช่ไหมครับ ว่าทำไม Michael Jordan จึงเป็นที่เคารพรัก และเป็นตำนานของเหล่านักบาสฯ มาจนถึงปัจจุบันนี้