เรียกได้ว่ากระแสดีมาตั้งแต่ปลายปี 2014 กับน้องเล็กสุดในตระกูลของ MAZDA อีกทั้งเป็นครั้งแรกในเมืองไทย กับรถยนต์ Eco Car ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล และยังเป็นครั้งแรกที่สื่อมวลชนไทย จะได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด และทดลองขับ Mazda 2 ทั้งในแบบ 4 ประตู และ 5 ประตูที่ผลิตในประเทศไทย ซึ่ง MiX MAGAZINE ได้รับเกียรติจาก Mazda ในการทดสอบรถในครั้งนี้ด้วย
ภายนอกแค่ได้เห็นก็อยากเข้าไปสัมผัสแล้ว กับการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของมาสด้า เริ่มด้วยกระจังหน้าใหญ่ทรงห้าเหลี่ยมที่ดูโฉบเฉี่ยว และดุดันเป็นอย่างมาก รับกับแนวไฟหน้า ด้วยเส้นสายที่แสดงถึงความพลิ้วไหว และทรงพลัง ส่งต่อกันไปถึงไฟท้าย ซึ่งดูโดยรวมแล้ว รูปร่างหน้าตา จะคล้ายคลึงกับรุ่นพี่อย่าง Mazda3 แต่จะต่างกันอยู่ที่ขนาด ส่วนใครจะชอบแบบไหน จะ 4 หรือ 5 ประตูดี อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลนะครับ
ภายในตัวท็อป อ็อพชั่นเพียบ เริ่มด้วยจอแสดงข้อมูลขนาด 7 นิ้ว สั่งงานด้วยปุ่ม Center Commander รองรับการสั่งงานด้วยเสียงได้ นอกจากนั้น ยังติดตั้งระบบ ‘MZD Connect’ ที่ทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟน สำหรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยังติดตั้งหน้าปัดแบบ ‘Active Driving Display’ เป็นกระจกใสๆ รูปทรงคล้ายๆ กับใน Mazda 3 มาให้ด้วย ส่วนโทนสีภายในนั้น เน้นสีดำเป็นหลัก พร้อมด้วยการเดินตะเข็บการตัดเย็บด้วยด้ายสีแดง ส่งอารมณ์ให้ดูสปอร์ตมากขึ้น ภายในห้องโดยสารนั้นกว้างขวาง นั่งสบายกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด อุปกรณ์ต่างๆ ก็ถูกจัดวางในตำแหน่งที่ใช้งานได้สะดวก
Mazda 2 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ SKYACTIV-D คลีนดีเซล ขนาด 1,500 ซีซี ที่มาพร้อมกับเทอร์โบแปรผันให้แรงม้าสูงสุดที่ 105 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที และให้แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 250 นิวตันเมตร ในช่วงความเร็วรอบตั้งแต่ 1,500-2,500 รอบ/นาที ซึ่งดูจากแรงม้าแล้วอาจจะเห็นว่าไม่มากมายอะไรนัก แต่ถ้ามองที่แรงบิดด้วยแล้วละก็ 250 นิวตัน-ม.นี่ ไม่ธรรมดานะครับ ยิ่งแบกตัวถังที่เบาๆ เพียงตันนิดๆ แล้วด้วย เหยียบเป็นมาเลยละครับ ส่วนระบบส่งกำลังนั้น ส่งผ่านในแบบเกียร์อัตโนมัติสกายแอคทีฟ 6 สปีด ซึ่งลื่นไหล นุ่มนวล และต่อเนื่องดีมาก แต่ในจังหวะที่เร่งแซงนั้น อาจมีการรอรอบนิดๆ อาจจะเป็นผลมาจากการตั้งโปรแกรมให้เน้นในเรื่องการประหยัดก็เป็นได้ แต่ไม่ได้มากมายอะไรนักครับ
ส่วนช่วงล่างนั้น ถือได้ว่าเป็นจุดเด่นอีกจุดหนึ่ง ของ Mazda 2 เลยก็ว่าได้ ซึ่งช่วงล่างด้านหน้า ยังใช้แบบยอดนิยมอย่าง แมคเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังเป็นทอร์ชั่นบีม เหมือนเดิม แต่เช็ตมาได้อย่างลงตัว เพราะมีความนุ่นนวลที่ไม่มากจนเสียความเป็นสปอร์ท แต่ก็ไม่ได้แข็งกระด้างจนเป็นรถนั่งไม่ได้ และยังคงให้การยึดเกาะถนนได้เป็นดี การดูดซับแรงกระแทก แรงสะเทือนจากพื้นผิวถนนที่ขรุขระได้ดี น่าประทับใจมากหากเทียบกับรถในระดับเดียวกัน ส่วนการเข้าโค้งนั้น พวงมาลัยทำหน้าที่ได้อย่างเฉียบคม ส่งผ่านการบังคับไปสู่ล้อได้อย่างแม่นยำ ส่วนระบบเบรกนั้น สั่งได้ดังใจจริงๆ
และเมื่อพูดถึงรถ ECO CAR เห็นทีจะไม่พูดถึงเรื่องอัตราการกินน้ำมัน ก็คงมิได้ ซึ่ง Mazda 2 เองนั้น ก็ทำตัวเลขไว้อย่างน่าสนใจที่ 16-18กม./ลิตรเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่ก็ขับกันมาอย่างปกติ มีช่วงในเมืองที่การจราจรหนาแน่น ช่วงทางตรงยาวๆ ที่เหยียบกันอย่างเต็มที่ และช่วงขึ้นเขาที่บางทีต้องเร่งแซงคันหน้าที่ช้าบ้าง ซึ่งถ้าหากจะปั้นตัวเลขขึ้นมาจริงๆ ตัวเลขที่โรงงานเคลมไว้ที่ 26.3กม./ลิตร ก็คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก
ส่วนถ้าถามว่า ช่วงราคาที่ 675,000‑790,000 บาทนั้นไม่แพงไปหรือสำหรับรถ ECO CAR คันเล็กๆ คันหนึ่ง ผมก็คงจะตอบได้เพียงว่า “แพงครับ” แต่หากลองมองดูที่เทคโนโลยีของรถ ECO CAR คันเล็กๆ อย่าง Mazda 2 แล้วละก็ ผมว่าคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไปนะครับ
Trick & Tip ระวังไว้ ฝนเปลี่ยนฤดู
การเปลี่ยนฤดูในแต่ละครั้ง ส่วนมากจะเกินฝนฟ้าคะนอง จนถึงฝนตกหนักได้ ฝนแรกของการเปลี่ยนฤดูนั้นน่ากลัวกว่าที่คิด เพราะมันจะชะล้างสิ่งสกปรกลงมาบนถนน ทำให้ถนนลื่นได้มากกว่าฝนตกปกตินะครับ ฉะนั้นต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากกว่าปกตินะครับ