เป็นเพียง ...

เป็นเพียง ...

เมื่อปีก่อน ... MiX MAGAZINE มาสัมภาษณ์ที่บ้านสวนเมืองนนทบุรี 

จำได้ว่าตอนนั้นกำลังพิมพ์ต้นฉบับส่งหนังสือพิมพ์รายวัน

คำถามแรกที่ผู้สัมภาษณ์สงสัยก็คือ

...“พี่ยังใช้พิมพ์ดีดอยู่อีกหรือนี่?”...

นับว่าเป็นคำถามที่อยากจะตอบมานานปี แต่ไม่เคยมีใครให้ความสนใจ ความแตกต่างของนักเขียนคนหนึ่ง ที่ยังใช้เครื่องพิมพ์ดีดในยุคสมัยที่เขียนพิมพ์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์

ลมชายคลองพัดผ่านสวนทุเรียนเข้ามาเบา ... เบา แต่ก็ทำให้ใบไม้ในสวนแกว่งไหว บางใบก็ยังคงติดอยู่กับต้น บางใบก็หล่นลงสู่พื้นดินและร่องน้ำ

ลมพัดทำให้ใบไม้ไหว
คำถามทำให้เกิดความคิด
ดังนั้น ... จึงเริ่มคิดที่จะเขียนเรื่องความในใจ
ใบไม้คงไม่ไหว ถ้าไม่ถูกลมพัดพา
หัวใจคงจะไม่ประหวัดถึงสิ่งที่ผ่านมา ถ้าไม่ถูกคำถามรบกวน

ผมเขียนหนังสือด้วยดินสอก่อนที่จะมาเปลี่ยนเป็นปากกา จากนั้นก็เปลี่ยนการเขียนด้วยปากกา มาเป็นเขียนด้วยพิมพ์ดีด ผมเขียนเรื่องราวทั้งหลายตลอด 50 กว่าปีที่ผ่านมา เขียนด้วยพิมพ์ดีดเครื่องนี้เครื่องที่เป็นระบบ ‘ปัตตะโชติ’ ไม่ใช่เป็นระบบ ‘เกศมณี’ อย่างที่เขานิยมใช้พิมพ์กัน 

จนกระทั่งเครื่องพิมพ์ดีดกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัย นักเขียนใช้ ‘เครื่องคอมพิวเตอร์’ พิมพ์งาน พิมพ์ดีดทั้งระบบ ‘ปัตตะโชติ’ ทั้งระบบ ‘เกศมณี’ ค่อย ... ค่อยหมดไปจากวงการ 

แต่ผมก็ยังคงใช้พิมพ์ดีด ‘ปัตตะโชติ’ ตัวนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ...

ทำไมผมจึงยังใช้เครื่องพิมพ์ดีด?

ผมใช้พิมพ์ดีด เพราะว่ามันมีเสียง เสียงของพิมพ์ดีด เหมือนเสียงของจิตวิญญาณ และมันสมองที่ผมพรั่งพรูออกมา ... 

เสียงพิมพ์ดีดดังรัวราวกับเสียงข้าวตอกแตก
เสียงข้าวตอกแตกแยกออกเป็นสามเสียงประสาน
เสียงหนึ่ง ... คือ เสียงของสมองสั่งงาน
เสียงสอง ... คือ เสียงของหัวใจสมานตาม
ส่วนเสียงที่สาม ... คือเสียงพิมพ์ดีดรัวรับทำงานตามบัญชา

... เสียงทั้งสามจึงเป็นเสียงของชีวิต เป็นเสียงของจิต และเป็นเสียงของวิญญาณ ...

ในงานเขียนของผมที่ใช้พิมพ์ดีดเพียงอย่างเดียว 

“ใบไม้ไหว”