สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์
“คุ้มค่าทุกนาที ดูทีวีสีช่องสาม” ประโยคคุ้นหูที่ข้ามผ่านยุคสมัยจากรุ่นสู่รุ่น อีกหนึ่งสื่อมวลชนที่มีอิทธิพลต่อคนดูมากที่สุดในประเทศไทย โดยทศวรรษที่ผ่านมาช่องสามได้สร้างสรรค์รายการแบบครบรสที่ถูกใจท่านผู้ชมจนกลายเป็นรายการยอดนิยมมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลภาพรวมด้านการตลาดของ “สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด หรือ ไทยทีวีสีช่อง3
ชีวิตที่ลงตัว
ก่อนหน้าที่เขาจะก้าวเข้ามาสร้างความแปลกใหม่ด้านการตลาดให้กับช่อง 3 เขาได้สั่งสมประสบการณ์การทำงานมาแล้วมากมาย แต่สุดท้ายแล้วเขาค้นพบว่าการทำงานที่ช่อง 3 เป็นการเปิดกว้างทางความคิด ทั้งยังเปิดโอกาสให้สามารถรังสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างเต็มที่
“จริงๆ ผมผ่านงานมาเยอะมาก ในระยะ 20 กว่าปีที่ผ่านมา ถ้าเป็นงานแบบมืออาชีพที่แรกก็คือที่ Unilever โดยเริ่มตั้งแต่ตำแหน่ง Management Trainee ทำได้ประมาณ 6 ปี ก็มาดูแลเรื่องการตลาดที่ Pepsi จนได้ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของเอเชียใต้ต่อมาก็เป็นกรรมการผู้จัดการอยู่ที่ BMG Entertainmentซึ่งเป็นบริษัทบันเทิงที่ทำเกี่ยวกับเพลงต่างประเทศ จากนั้นก็กลับสู่วงการคอนซูเมอร์อีกครั้งโดยเป็นกรรมการผู้จัดการอยู่ที่ S.C. Johnson & Son Ltd. แล้วจึงมาอยู่ช่อง 3 จนถึงปัจจุบัน
สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์
“ที่ช่อง 3 ผมมองว่าคนทำงานที่นี่บุคลิกจะแตกต่างไปจากหลายบริษัทที่ผมเคยทำมา ซึ่งส่วนใหญ่ที่ผมเคยทำงานก็จะเป็นลักษณะของ Global Companyซึ่งมีรูปแบบการทำงานค่อนข้างจะเป็น Routine คือมีเจ้านายนั่งอยู่ต่างประเทศ เราก็ต้องทำรีพอร์ทส่งทุกอาทิตย์ทุกเดือน ต้องทำงานภายใต้นโยบายที่ได้รับมาจากบริษัทแม่ผมว่า มันมีกรอบของงานที่ขีดมาให้เราทำอยู่แล้ว ส่วนการทำงานที่ช่อง 3 ก็จะต่างกันออกไปเนื่องจากที่นี่มีรูปแบบเป็น Family Company
“ทางช่องเปิดโอกาสให้เรา Creative ได้เต็มที่โดยสิ่งที่เห็นได้จากที่นี่คือความมีอิสระทางด้านความคิด ผู้บริหารที่นี่ส่วนใหญ่เขารับฟังเรา แล้วข้อดีคือการตัดสินใจที่เร็วเนื่องจากไม่มีระบบยุ่งยากมากมาย ไม่ต้องรอตอบรับจากตำแหน่งนี้ไปตำแหน่งนั้น ทุกอย่างจึงรวดเร็วมาก เมื่อเราตกผลึกว่าไอเดียนี้ดี คุยกับคนทำรายการแล้วก็ไปนำเสนอลูกค้า จนเกิดเป็นหนึ่งรายการ อีกอย่างเรามีทีมงานที่พร้อม การตัดสินใจที่เร็วจึงถือเป็นจุดแข็งขององค์กร ถ้าเทียบกับหลายๆ บริษัทที่เคยทำมา”
บทบาทหน้าที่หลักๆ ภายใต้การดูแลของเขา คือการดูแลภาพรวมด้านการตลาด งานขาย และรายได้ทั้งหมดของทางสถานีที่ได้มาจากการโฆษณาจากรายการต่างๆ ทั้งยังติดต่อกับผู้จัดรายการภายนอก Content Providers เพื่อนำความหลากหลายต่างๆ เข้ามาผสมผสานกับรายการที่ช่อง 3 มีอยู่แล้ว
“ทางสถานีจะมีรายการหลักเป็นละคร ข่าว และรายการวาไรตี้ โดยผมเองจะมีหน้าที่เสาะหารายการดีๆ ที่มีคุณภาพโดยผู้จัดที่มีประสบการณ์และความสามารถให้เข้ามาทำงานร่วมกับเรา อย่างเช่น The Voice, Thailand’s Got Talent หรือรายการอื่นๆ ที่ซื้อลิขสิทธิ์มาจากต่างประเทศ ซึ่งช่วงหลายปีที่ผ่านมารายการเหล่านี้ถือว่าเป็นรายการที่ประสบความสำเร็จอย่างมากของสถานี ซึ่งเราก็หวังว่ารายการจะอยู่ต่อไปกับช่อง 3 เรื่อยๆในอนาคต”
เบื้องหลังความสำเร็จคือทีมเวิร์ค
รายการโทรทัศน์เมืองไทยมีมาก ยิ่งปัจจุบันมีดิจิตอลทีวีเพิ่มเข้ามาอีก 24 ช่อง แน่นอนรายการที่จะสร้างจุดขายได้ต้องเป็นรายการที่แตกต่าง มีคอนเส็ปต์รายการที่ชัดเจนซึ่งนั้นเป็นวิธีคิด วิธีเฟ้นหารายการที่มีคุณภาพเพื่อให้ผู้ชมได้รับสาระและความบันเทิงได้อย่างครบอรรถรส
“รายการต่างๆ เหล่านี้ผมเรียกว่ารายการที่มีเอกลักษณ์ เพราะถ้าเรามีแล้วคนอื่นก็ไม่สามารถที่จะมีได้ เป็นรายการที่ซื้อลิขสิทธิ์มาจากต่างประเทศซึ่งมีชื่อเสียงและมีมาตรฐานดีมาอยู่แล้ว อย่างรายการ The Voice หรือThailand’s Got Talent ผู้ที่จะทำรายการแบบนี้ ก็จะมีความกดดันที่จะต้องทำโปรดักชั่น รายละเอียดหรือมีความประณีตที่จะสู้กับต้นฉบับจากต่างประเทศได้ แต่อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วหลายๆ อย่างที่เราทำออกมาถือว่าได้รับผลการตอบรับค่อนข้างดีครับ”
สื่อโทรทัศน์เป็นตัวแทนทางวัฒนธรรมที่ดีมากของประเทศ ทุกวันนี้รายการต่างๆ ทางช่อง 3 สามารถรับชมได้ในประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ลาว กัมพูชา หรือพม่า ทางช่อง 3 จึงเปรียบเสมือนตัวแทนถ่ายทอดวัฒนธรรมความเป็นไทย ซึมซับเข้าไปในละครทุกๆ เรื่อง สะท้อนให้เห็นความเป็นไปจากหน้าประวัติศาสตร์ไทย ผ่านละครพีเรียด อย่างเรื่องบางระจัน นอกจากวัฒนธรรมความเป็นไทยแล้ว ทางช่องยังสอดแทรกสาระ ความรู้ และแนวความคิดเพื่อปลูกฝังเยาวชนอีกด้วย
สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์
“ในฐานะที่เราเป็นสื่อมวลชนขนาดใหญ่ ต้องยอมรับว่าทีวีเป็นสื่อที่เข้าถึงคนกลุ่มมากในประเทศ ด้วยความที่เราเป็นสถานีโทรทัศน์ เราต้องสร้างละครให้ครบทุกรส ผมคิดว่าละครทุกเรื่องไม่ว่าเนื้อเรื่องจะเป็นแนวครอบครัว หรือดราม่าเข้มข้นขนาดไหน ผมคิดว่าทุกเรื่องมีประโยชน์ต่อคนดูแน่นอน ส่วนเรื่องข่าว ช่อง 3 นำเสนอข่าวเยอะมากวันหนึ่งออกอากาศรวมกันแล้วกว่า 12 ชั่วโมง เรามีแนวคิดต้องการที่จะให้คนดูตระหนักถึงว่า ‘ต้องดูแลคนที่ได้รับความเดือดร้อน ต้องให้ความช่วยเหลือ’ นอกจากข่าว รายการ และละคร เราก็ยังต้องการให้คนหันมารักกีฬา สนใจกีฬามากขึ้นด้วยการนำรายการกีฬาดีๆ มาถ่ายทอด ให้คนดูสามารถนำมาฝึกทักษะ เรียนรู้ได้ นั้นเป็นสิ่งที่จะบอกว่าสื่อทำอะไรได้บ้าง ตรงนี้เป็นการเสริมภาพลักษณ์ของเราในขณะเดียวกันมันก็เป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย
“ในวันที่ผมเข้ามาทำงานที่นี่ เห็นแล้วว่าช่อง 3 เป็นเหมือนกับยักษ์กำลังหลับ ขณะที่คู่แข่งช่องอื่นๆ เริ่มแข็งแกร่งขึ้นหากเราไม่ปรับตัว สิ่งที่จะตามมาก็คงเป็นวิกฤติ เราจึงต้องสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อหรือเอเจนซี่ด้วยการผลิตรายการที่มีคุณภาพ ขณะเดียวกันคนทำทีวีต้องดูเทรนด์ให้ออก ต้องรู้ว่ารายการแบบไหนที่ผู้ชมชอบ เรานำซีรีส์เกาหลีอย่างแดจังกึม เข้ามาในจังหวะที่ถูกต้อง ตอนนั้นเสี่ยงมากที่นำละครที่มันยาวมากๆ มาออกอากาศ ซีรีส์แดจังกึมออกอากาศนานถึง 8 เดือนจึงจบ สมัยนั้นคนดูติดละครจีนญี่ปุ่น ด้วยความที่เราไม่คุ้นเคยกับเกาหลี เราจึงต้องทำการบ้านมาเยอะมากพอสมควร จนในที่สุดซีรีส์เกาหลีชุดนี้ได้รับผลการตอบรับดีเกินคาด มีเอเจนซี่ติดต่อเข้ามาตลอดเวลาตั้งแต่เราออกอากาศตอนแรก กระแสดีมากจนช่อง 3 นำซีรีส์เกาหลีชุดอื่นๆมาฉายต่อเนื่องออกไปอีก 4 ปี จนเราไม่รู้จะซื้อเรื่องไหนอมาฉายอีกแล้ว เพราะซีีรีส์เกาหลีที่เรานำมาเสนอตลอด 4 ปี เป็นแบบย้อนยุคทั้งหมด เรียกได้ว่าเราเป็นผู้บุกเบิกซีรีส์เกาหลีให้ฮิตในเมืองไทยเลยก็ว่าได้
“หากพูดถึงเรื่องการตลาด มันมาจากการสร้างความสำเร็จที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา สามารถทำให้คนดูอยู่กับเราได้ตลอดทั้งวัน จับจุดที่คนดูเขาต้องการดูรายการที่ดีมีคุณภาพมากกว่า ฉะนั้นรายการทีวีจะต้องอัพเกรดตัวเองอยู่ตลอด ดาราและละครก็เหมือนกัน ละครอยู่ได้ด้วยดาราและทีมงาน ดังนั้นดาราของเราต้องอัพเดท ผมกล้าพูดได้เลยว่านักแสดงช่อง 3 จะต้องมีหน้าใหม่หมุนเวียนมาตลอด การทำละครโทรทัศน์เป็นเรื่องใหญ่ เพราะต้องมีทั้งทีมงาน นักแสดง ผู้เขียนบท ผู้กำกับ บทประพันธ์ที่ดี ทุกอย่างเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้คู่แข่งต่อสู้กับเราได้ยาก เราคิดว่าเรามาถูกทางและเราก็พัฒนามาโดยตลอดผมมั่นใจว่าในส่วนของละครโทรทัศน์ช่อง 3 เรามีความแข็งแกร่ง”
ก้าวไปกับยุคดิจิตอลทีวี
การก้าวเข้ามาของยุคดิจิตอลทีวี ทำให้วงการโทรทัศน์มีการตื่นตัวเป็นพิเศษอันเป็นโจทย์ที่สร้างความท้าทายให้กับผู้ประกอบการโทรทัศน์เป็นอย่างมาก ปัจจุบันมีดิจิตอลทีวีรวมกันทั้งหมด 24 ช่อง ซึ่งช่อง 3 มี 3 ช่องดิจิตอลและอีก 1 ระบบอนาล็อกเป็นเดิมพัน
“ในฐานะที่เราเป็นผู้นำ ณ ตอนนี้ เราพยายามรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดของเรา ทั้งในแง่คนดูและเม็ดเงินโฆษณา แน่นอนวิธีการรักษาก็ต้องทำให้รายการแข็งแรงมากกว่าเดิม เราต้องขยันมากกว่าเดิม เพราะว่าเงินในตลาดมันมีเท่าเดิมหรือน้อยลง ขณะที่มีผู้แข่งมากยิ่งขึ้น อย่างน้อยๆ เราต้องสร้างฐานให้แข็งแรงในช่องดิจิตอลใหม่ให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก”
สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์
หากให้คำจำกัดความยุคของดิจิตอลทีวีในปัจจุบันเขาขอเรียกมันว่า ‘ยุคเริ่มต้น’ ด้วยความไม่พร้อมในหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นความไม่พร้อมของคนดูเครือข่ายของการออกอากาศที่ยังไม่ทั่วถึง การแจกคูปองไม่เป็นไปตามเป้าเจ้าของสินค้าไม่ลงโฆษณา แถมยังต้องเจอกับพิษเศรษฐกิจ ทั้งหมดนี้ทำให้เขาต้องวางแผนการตลาดอย่างระมัดระวัง
“เมื่อเกิดความไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน ผมจึงมองว่าดิจิตอลทีวีในปีแรกๆ เป็นช่วงที่เราต้องเรียนรู้ แต่หลังจากนี้ไปเราพร้อมลุยแน่ ซึ่งตอนนี้เรามีช่อง 3 Family เน้นกลุ่มคนดูที่เป็นครอบครัว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทั้งพ่อบ้าน แม่บ้าน และเด็ก ช่อง 3 Standard (ช่อง 28) เน้นความหลากหลายของรายการ ทั้งวาไรตี้ ซิทคอมฯ เกมโชว์ เรียลลิตี้ ซีรีส์เกาหลี เป็นต้น และช่อง 3 HD ที่มีความคมชัดของภาพสูง ออกคู่ขนานกับช่อง 3 ระบบอนาล็อก
“โดยแต่ละช่องเราก็จะสร้างให้รายการแตกต่างกันไป ช่องนี้อาจไปเน้นที่รายการข่าว หรืออีกช่องอาจไปเน้นทางด้านกีฬา ตอนนี้มันไม่เหมือนกับช่อง 3 ในอดีตที่เรามีเพียงช่อง 3 เพียงช่องเดียว สมัยนั้นมีคนอยากร่วมงานกับเราเยอะแยะเลย แต่เราไม่สามารถร่วมงานกับทุกคนได้ เพราะมีหน้าจอเพียงช่องเดียว พอมาในยุคนี้เรามีช่องเพิ่มเข้ามา จึงมีโอกาสได้ร่วมงานกับคนที่ไม่เคยมีโอกาสได้ร่วมงานกันอย่างแน่นอน”
ขับเคลื่อนด้วยแรงผลักดัน
การใช้ชีวิตด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเลือกเดินด้วยตัวเอง ส่งผลให้เขาดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างไม่ติดขัด ด้วยแรงสนับสนุนจากครอบครัวและคนรอบข้าง หล่อหลอมให้เขากลายมาเป็นนักการตลาดผู้มากฝีมือที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัว
“จริงๆ แล้วชีวิตผมที่ทำให้ประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ได้คือการที่ผมได้รับการสนับสนุน จากบุคคลรอบๆ ตัว ฉะนั้นหลักการทำงานของผมก็จะเหมือนกับ ‘Great success comes from great support’ด้วยฐานะของผมตอนนี้มีผู้ร่วมงานจำนวนมากขึ้น ผมก็จะพยายามให้การสนับสนุนและเปิดโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ได้ทำงาน หากเกิดข้อผิดพลาดก็พยายามสอนถ้าเราเป็นเจ้านายแล้วไม่ให้การสนับสนุนลูกน้อง การทำงานก็คงจะลำบาก สิ่งหนึ่งที่ทำ่ให้ผมทำการตลาดมากว่า 20 ปีได้อย่างราบรื่นนั้น อยู่ที่ทีมงานครับ เราประสบความสำเร็จเพียงคนเดียวไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีทีมงานที่ดีเราก็คงไม่สามารถมายืนตรงจุดนี้ได้
“ในมุมส่วนตัว ผมโชคดีนะที่ครอบครัวไม่เคยบังคับอะไรในตัวเราเลย มีแต่ส่งเสริมช่วยเหลือมาตลอด ไม่ได้มาบงการชีวิตว่าจะต้องทำแบบไหน ซึ่งนั่นเป็นวิธีเดียวกันกับที่ผมเลี้ยงลูกในปัจจุบัน เมื่อเขาชอบอะไร ผมก็จะสนับสนุน ผมคิดว่าหากเรามีพื้นฐานแบบนี้ สิ่งที่ได้รับตามมาคือความรับผิดชอบ การตัดสินใจและความระมัดระวัง เพราะนั่นเป็นทุกย่างก้าวที่เราเลือกตัดสินใจด้วยตัวเอง
สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์
“นิสัยเสียของผมอย่างหนึ่งคือ ด้วยความที่เราเป็นคนมุ่งมั่นตั้งใจ เวลาที่อะไรหลายๆ อย่างมันไม่เป็นไปตามที่เราคาดไว้ ผมก็จะเครียด เหมือนบางอย่างเราจริงจังกับงานมากเกินไป ไม่รู้จักผ่อนคลาย มันส่งผลให้สภาพจิตใจและสภาพร่างกายของผมย่ำแย่ได้เหมือนกัน ผมคิดเสมอว่าทุกอย่างมักมีคุณค่าในตัวของมันเอง เมื่อมีข้อดีมันก็ต้องมีข้อเสียตามมา คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเขาก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ทุกคนก็ต้องเหนื่อยเหมือนกันหมด พอเรามาถึงจุดนี้ได้เราก็ใช้ความพยายามของเราอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว บางทีความสำเร็จไม่ได้เกิดมาจากตัวเราเองเพียงลำพัง อยู่ที่คนรอบข้างด้วย ฟังเพื่อนร่วมงานมากขึ้น พูดน้อยลง นั่นเป็นเรื่องที่ดี ทุกวันนี้ความสุขของผมก็คือความสุขแบบวันนี้ ได้ทำอะไรในสิ่งที่อยากทำ ได้รับโอกาสดีๆ จากเจ้านาย มีครอบครัวที่ดี เท่านี้ก็เพียงพอแล้วครับ”
เชื่อได้ว่าเขาเป็นแรงผลักดันชั้นเยี่ยม ที่จะขับเคลื่อนวงการโทรทัศน์ให้ก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ด้วยวิสัยทัศน์กว้างไกลและการวางแผนกลยุทธ์ได้เฉียบขาด แน่นอนว่าในปี 2015 นี้ ช่อง 3 เตรียมพร้อมนำสิ่งดีๆ มามอบให้กับท่านผู้ชมมากมาย ภายใต้แนวคิด ‘พร้อมที่จะพัฒนาอยู่ตลอดเวลา’
“อนาคตข้างหน้าเรามีพื้นที่ที่สามารถสื่อสารกับคนดูได้มากขึ้น ฉะนั้นความหลากหลายของเราต้องมีแน่นอน คนดูจะได้มีโอกาสได้รับชมรายการรูปแบบใหม่ๆ ในขณะที่รูปแบบเดิมที่เป็นที่นิยมอยู่แล้วก็ยังคงอยู่ ผมคิดว่าหากเรานำเสนอสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดให้กับคนดูของเรา นั่นถือว่าเราได้ทำหน้าที่สื่อของเราอย่างดีที่สุดแล้วครับ”