หลี่เจียเฉิง – ลีกาซิง 李嘉誠 Li Ka-shing
นิตยสาร Forbes จัดอันดับคนที่รวยที่สุดในโลกเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ ปี 1999 เป็นต้นมา ชื่อของคนจีนที่รวยที่สุดในโลกคือหลี่เจียเฉิง - ลีกาซิง ( Li Ka shing 李嘉誠 ) ข้อมูลปี 2014 ระบุว่าเขามีทรัพย์สินรวมเป็นมูลค่า 200,000,000,000 เหรียญยูเอสดอลลาร์ จัดเป็นคนรวยที่สุดของเอเชีย และเป็นคนรวยลำดับที่ 12 ของโลก!!
ปี 2014 มีคนจีนที่รวยติดอันดับโลก 457 คน คิดเป็น24 % ของจำนวนมหาเศรษฐีโลก และมีอยู่ 291 คนที่อาศัยอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ ในฮ่องกง 64 คน ในไต้หวัน 37 คนมาเก๊า 2 คน อีก 63 คนอาศัยอยู่ทั่วโลกนอกพื้นที่ข้างต้น
หลี่เจียเฉิง เกิดในครอบครัวบัณฑิต ปู่เป็นซิ่วไฉ秀才 ในการสอบครั้งสุดท้ายของราชวงศ์ชิง ลุง 2 คนได้ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยที่โตเกียว บิดาของเขาเป็นครูใหญ่โรงเรียนประถม ในวัยเด็กเขาใช้ชีวิตอยู่กับบรรยากาศทางวิชาความรู้ จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองแต้จิ๋ว (潮州 ฉาวโจว) บ้านเกิดของเขาถูกญี่ปุ่นโจมตี ครอบครัวจึงอพยพไปฮ่องกง คนแต้จิ๋วจำนวนมากหนีภัยสงครามครั้งนั้นออกจากประเทศจีน จำนวนหนึ่งมาสยาม เรื่องเล่าในเมืองไทยมักจะให้ข้อมูลว่าส่วนใหญ่เป็นคนจีนแบบ “เสื่อผืนหมอนใบ”
ปี 1941 หลังจากที่ญี่ปุ่นเข้ายึดเมืองแต้จิ๋วแล้ว ก็บุกเข้ายึดครองฮ่องกงต่อ แม่จึงพาน้องชายและน้องสาวของหลี่เจียเฉิงกลับบ้านที่แต้จิ๋ว พ่อ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในภาวะยากลำบากและกลัดกลุ้ม ติดเชื้อวัณโรค และตายไปในเวลาครึ่งปีถัดมา ตอนนั้นหลี่เจียเฉิงมีอายุเพียง 14 ปี ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ ตัวเขาเองก็ติดเชื้อวัณโรคด้วย เขาต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเรื่องความตายและการจัดการฝังศพของพ่อแต่เพียงลำพัง ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในเวลาชั่วข้ามคืน
เมื่อเขาป่วย เขาไม่มีเงินไปหาหมอ จึงคิดหาวิธีรักษาโรคปอดด้วยตัวเอง ทุกๆ เช้าตรู่เขาจะเดินขึ้นไปสูดอากาศบริสุทธิ์บนยอดเขา เขาช่วยพ่อครัวที่ไม่รู้หนังสือเขียนจดหมายเพื่อแลกกับน้ำซุปเศษเนื้อปลา บังคับให้ตนเองดื่มซุปที่ตนเองเกลียดที่สุดในยามปกติ ด้วยเหตุผลเดียว น้ำซุปนี้เต็มไปด้วยคุณค่าทางอาหาร บิดาถึงแก่กรรม, ต้องหาเงินส่งเสียครอบครัว, ป่วยเป็นวัณโรค, และยากจน นี่คือชีวิตในวัย 15 ปีของเขา ...
ปกติแล้วเขาเป็นคนโดดเดี่ยว เขาชอบตั้งคำถามแล้วค่อยๆ คิดหาวิธีแก้ไขด้วยตัวเอง นี่คือความเคยชินที่เขาฝึกตนเองมาตั้งแต่เยาว์วัย ตั้งแต่อายุ 11 ปี หลี่เจียเฉิงก็ต้องสู้ชีวิตเพียงลำพัง เขาชอบเล่าเรื่องการปะซ่อมเสื้อผ้าด้วยตัวเอง
คนใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งของหลี่เจียเฉิงบอกว่า แม้ว่ารวยแล้ว แต่หลี่เจียเฉิงก็ยังชอบเย็บซ่อมถุงเท้าที่เขาใส่เองนิสัยนี้น่าจะติดตัวมาจากยุคสงคราม นาฬิกาที่เขาใส่ ราคา 3,000 เหรียญฮ่องกง (15,000 บาท) เป็นนาฬิกาพลังแสงอาทิตย์ คนช่างสังเกตบอกว่าไม่เห็นเขาเปลี่ยนนาฬิกาที่สวมบนข้อมือเลย
หลี่เจียเฉิงเป็นคนรู้คุณค่าเงิน แต่เขาไม่ใช่คนตระหนี่ถี่เหนียวที่เห็นแก่ตัว และเขาก็ไม่ใช่คนปฏิเสธเทคโนโลยี บนโต๊ะทำงานของเขามีคอมพิวเตอร์ 2 ตัวตั้งอยู่ซ้ายมือ ข้างโต๊ะมีโน้ตบุ๊คของ Apple ที่เขาใช้งานบ่อย เดิมเขาอ่านหนังสือพิมพ์สื่อกระดาษทุกเช้า ต่อมาอ่านใน iPad ปัจจุบันเขาใช้ iPhone บนโต๊ะทำงานมีที่ทับกระดาษทำด้วยแก้ว 2 อัน เป็นคำเตือนใจที่หลี่เจียเฉิงเขียนไว้เตือนตนเองอันหนึ่งมีข้อความว่า
求百事之榮,不如免一事之辱;
邀千人之歡,不如釋一人之怨。
มีเกียรติในทุกเรื่องราว, มิสู้ไร้การลบหลู่ 1 เรื่อง ;
สร้างความถูกใจต่อคน 1,000 คน, มิสู้ละลายความชัง
ของคน 1 คน.
อีกชิ้นหนึ่งเขียนว่า
春有百花秋有月,
夏有涼風冬有雪;
若無閒事掛心頭,
便是人間好時節。
ฤดูใบไม้ผลิมีดอกไม้นานาพันธุ์
ฤดูใบไม้ร่วงมีดวงจันทร์งาม ,
ฤดูร้อนมีสายลมเย็น ฤดูหนาวมีหิมะ ;
ถ้าไม่มีเรื่องรกวุ่นวายอยู่ในใจ ,
ก็คือวันเวลาดีงามของชีวิต .
หลี่เจียเฉิง ลงทุนในกิจการต่างๆ ทั่วโลก 52 ประเทศ ครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรม, เทคโนโลยีการสื่อสาร, การก่อสร้าง, ท่าเรือ, น้ำมันเชื้อเพลิง และขายปลีก ผู้คนใต้บังคับบัญชาในบริษัทของเขารวมแล้วมีมากกว่า 260,000 คน ในจำนวนพนักงานทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติ ทั้ง อังกฤษ, อเมริกา และแคนาดา มีลูกจ้างชาวจีนเป็นส่วนน้อย เขาเคยให้สัมภาษณ์หลักการบริหารบุคคลของเขาว่า “Build on Respect” ใช้หลักให้เกียรติต่อเพื่อนร่วมงาน ทำให้เพื่อนร่วมงานสบายใจและมีโอกาสแสดงศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่
ปี 1980 หลี่เจียเฉิงตั้งมูลนิธิส่วนตัวเพื่อทำกิจกุศลต่อสาธารณะ เขาหวังว่าเมื่อเขาตายจากไปแล้ว มูลนิธิจะยังสามารถทำงานได้ และต้องทำได้มากกว่าตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ด้วย เขาเริ่มแบ่งผลประโยชน์ที่หาได้ออกเป็น 3 ส่วน 2 ส่วนแรกเตรียมไว้ให้ลูกหลาน ส่วนที่ 3 โอนเข้ามูลนิธิ ถือเป็นผู้รับมรดกเสมือนลูกหลานเช่นกัน
และอีกเช่นกันที่นิตยสาร TIME ฉบับเดือนพฤษภาคม ปี 2007 ได้ยกย่องให้หลี่เจียเฉิงเป็นบุคคลผู้มีอิทธิพลต่อความคิดในการทำการกุศลเคียงคู่กับชื่อของบิลเกต ...