Hydrotherapy

Hydrotherapy

วารีบำบัดเป็นศาสตร์ที่สืบทอดมายาวนานตั้งแต่ยุคสมัยกรีกและโรมัน จากนั้นก็ได้เริ่มแพร่ไปสู่ยุโรปภาคตะวันออก กลายเป็น
อบไอน้ำแบบรัสเซีย (Russian Bath) และการอบซาวน่าแบบฟินแลนด์ (Finnish Bath) และเมื่อได้มีผู้คนรู้จักมากขึ้นก็มีการพัฒนาเพื่อใช้ในการบำบัดโรค โดย วินเซนต์ เพรียนสนิตช และ เซบัสเตียน คไนป์ ชาวเยอรมัน โดยเป็นการใช้น้ำเพื่อบรรเทาอาการปวดต่างๆ ของร่างกายในบางจุด ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายและรักษาสุขภาพ โดยจะใช้ความร้อนและเย็นของน้ำเป็นตัวช่วยในการบำบัด

 

วารีบำบัดจะเข้าไปสร้างสมดุลของร่างกายโดยอาศัยความร้อนและความเย็นของน้ำที่มากระทบผิว โดยสมองส่วนไฮโปทาลามัสจะคอยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้คงอยู่ที่ 37 องศาเซลเซียสตลอดเวลา ยกเว้นตอนที่เราป่วยเป็นไข้ ดังนั้นเมื่อร่างกายเราถูกความเย็น ก็จะเกิดกระบวนการรักษาอุณหภูมิในร่างกายให้ไปอยู่ที่ 37 องศาเซลเซียสด้วยการหดเส้นผิวกายเพื่อรักษาความร้อนไว้ รวมทั้งเพิ่มการทำงานของอวัยวะภายในเพื่อสร้างความร้อนเพิ่มขึ้น และจะก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้อกระตุก อวัยวะภายในต่างๆ เช่น หัวใจ ปอด ต่อมฮอร์โมนต่างๆ ก็จะทำงานผลิตความร้อนออกมาเพื่อรักษาอุณหภูมิในร่างกาย

 

ในระยะแรกที่ร่างกายถูกความเย็นเข้า เส้นเลือดผิวกายจะหดตัว ผิวหนังซีด รู้สึกขนลุก หนาว สะท้านไปทั่วกาย และชีพจรจะเต้นเร็ว แต่เมื่อผ่านเวลาไปสักพัก จะทำให้เกิดปฏิกิริยาตรงกันข้าม เส้นเลือดจะขยายตัว ผิวหนังแดง หยุดอาการสะท้าน รู้สึกอุ่นและร่างกายผ่อนคลายสบายตัว

 

และเช่นเดียวกัน หากเราเข้าไปอยู่ในที่ร้อน ไฮโปทาลามัสที่คอยทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ความหิว ความกระหาย ความเหนื่อยล้า ความโกรธ รวมทั้งจังหวะรอบวัน ก็จะสั่งให้เส้นเลือดขยายตัว เพื่อให้เกิดการระบายความร้อนออก โดยยังจะสั่งให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น หัวใจ ปอด ตับ กล้ามเนื้อ รวมถึงต่อมฮอร์โมนให้ทำงานน้อยลง เพื่อลดระดับความร้อนของร่างกายลง และนั่นเองทำให้เราสามารถใช้ความร้อน หรือความเย็นของน้ำที่กระทบผิวกายไปออกคำสั่งให้อวัยวะต่างๆ ปรับการทำงานให้สมดุลมากขึ้นได้

 

ครั้งแรกๆ ที่เราถูกความร้อนนั้น ร่างกายจะสั่งให้เส้นเลือดขยายตัว ผิวจะเริ่มแดง ชีพจรจะเต้นช้าลง เหงื่อจะค่อยๆ ไหลออกมาประสาทจะรู้สึกตื่นตัวเต็มที่ กล้ามเนื้อพร้อมทำงาน แต่หากร่างกายถูกความร้อนไปนานๆ ก็จะทำให้เส้นเลือดที่ขยายตัวจะขยายต่อไปจนเกิดอาการเลือดคั่ง ชีพจรเต้นเร็ว เหงื่อหยุด เกิดความกระวนกระวาย ประสาทเริ่มล้า ซึมเศร้า อ่อนล้า ง่วงนอน

 

และด้วยเหตุนี้เอง เราสามารถนำวารีบำบัดไปใช้ง่ายๆ กับชีวิตประจำวัน นั่นคือหากเราต้องการอาบน้ำให้ได้ความสดชื่น ก็ให้อาบน้ำเย็นแทนน้ำร้อน เพราะจะทำให้ร่างกายรู้สึกสบายตัว แต่หากต้องการอาบน้ำเพื่อเข้านอน ก็แนะนำให้อาบน้ำอุ่น เพราะจะให้นอนหลับได้ง่าย ใครที่ตื่นมาเช้าๆ แล้วชอบอาบน้ำอุ่น ก็มีสิทธิ์ที่ร่างกายจะตื่นตัวไม่เต็มที่และทำให้เกิดอาการง่วงหงาวหาวนอนได้

 

นอกจากนี้แล้ว เรายังสามารถนำวารีบำบัดไปใช้กับการอบซาวน่า หรืออบสมุนไพรได้อีกด้วย เพราะเป็นการอบให้ร่างกายรู้สึกร้อน โดยการปฏิบัติที่ถูกหลักวารีบำบัดก็คือ ต้องใช้การอบร้อนสลับเย็น หรือง่ายๆ ก็คือ อบซาวน่า 3 นาที จากนั้นก็ไปลงในบ่อน้ำเย็น หรือหากไม่มีก็ไปรดฝักบัวเย็นๆ สัก 2 นาที ทำสลับกันสัก 3 รอบ การทำแบบนี้จะช่วยให้ร่างกายได้ปรับสมดุลของอวัยวะภายในใหม่ ช่วยให้หัวใจ ปอด ตับ ไต ต่อมฮอร์โมนรวมถึงภูมิต้านทานทำงานได้เป็นปกติ

 

และหากใครที่เข้าใจว่าการอบซาวน่าช่วยทำให้ร่างกายผอมลง ก็คงต้องปรับความเข้าใจเสียใหม่ เพราะวิธีการอบร้อนสลับเย็นนั้นมีผลช่วยทำให้เกิดการลดความอ้วนทางอ้อม เพราะร่างกายจะไปปรับการทำงานของฮอร์โมนชนิดเสริมสร้าง (Anabolic Hormone) และฮอร์โมนชนิดสลาย (Catabolic Hormone) ให้ทำงานให้สมดุลกัน และไม่ควรที่จะอบซาวน่าต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ เพราะจะทำให้ร่างกายเกิดอาการหน้ามืด เป็นลม เพราะหัวใจขาดเลือดได้

 

ใครที่กำลังหาวิธีบำบัดร่างกายจากโรคต่างๆ เช่น ปวดข้อ ข้ออักเสบ ปวดเข่า ปวดกล้ามเนื้อ ริดสีดวงทวาร ปวดบวม ฯลฯ ลองนำวิธีนี้ไปใช้ดู อาจจะทำให้อาการที่เป็นอยู่บรรเทาลงบ้างไม่มากก็น้อย

คุณประโยชน์ของน้ำ