คายักกระบี่

คายักกระบี่

ผมยกพายขึ้นพาดบนตัก เอนตัวลงราบกับเรือคายัก พาหนะที่พาเราโลดแล่นเหนือผืนทะเลมาทั้งวัน มันไหลไปมาตามแรงลมที่พัดลอดเข้ามาเป็นระยะ

 

ระหว่างผ่อนคลายกล้ามเนื้อท่อนแขนและเอวที่แลกไปกับการเดินทางไกลมาจากฝั่งอ่าวท่าเลน อำเภออ่าวลึก ของจังหวัดกระบี่ผมทบทวนถึงคำพูดของนักเดินทางหลายคน ที่มักวนเวียนตั้งคำถามว่าจุดหมายหรือปลายทางกันแน่ที่เป็นสารัตถะสำคัญของชีวิต

 

จะใกล้หรือไกลนั้นอีกเรื่อง

 

กลางฟ้าสีครามเข้มและผืนทะเลสีฟ้าสดเท่าที่จะเป็นได้ในฤดูร้อน ณ ที่ซึ่งมีเพียงเสียงพายจ่อมลงบนผิวน้ำ ผมคล้ายพบว่า…

 

บางนาทีบนหนทาง จุดหมายหรือปลายทางอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญ

 

เสียงหัวใจตนเองที่ดังอยู่บนเส้นทางต่างหาก อาจน่าใส่ใจมากกว่า

 

เราออกเดินทางกันตั้งแต่ต้นเช้า พร้อมๆ กับหมู่เรือประมงของพี่น้องอ่าวท่าเลน ที่บ่ายหัวเรือหัวโทงออกไปสู่ความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลนและนานาสัตว์น้ำใต้ผืนทะเล ต่างคนต่างจุดหมาย ทว่ากำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของผืนน้ำเดียวกัน

 

ตัดจากคลองน้ำกร่อยออกสู่ทะเลผืนกว้าง ต่างคนต่างรู้ว่ารอบด้านนั้นไม่ได้โอบล้อมเราเพียงความงดงามของหมู่เกาะหินปูนที่เรียงรายอยู่ในผืนทะเล ทว่ายังมีสายลม แสงแดด และเหล่าลูกคลื่นให้คนหลงใหลการเดินทางด้วยสองแรงแขนบ่ายหัวเรือเข้าสู้ ผมเองซึ่งไม่ได้มีทักษะการพายเรือคายักแต่อย่างไร ได้แต่ทำตามคำแนะนำของเพื่อนร่วมทาง

 

จัดสรรกำลัง ผ่อนหนักผ่อนเบา บางนาทีหันหัวเรือสู้ บางคราวต้องรู้จักไหลตาม

 

คล้ายการเดินทางของชีวิต

 

เรามาถึง “สุกนหิน” กองหินกลางทะเลที่แปลได้ตามคำภาษาของชาวเล ณ ตรงนี้เป็นจุดดำดูปะการังแสนสวยของพื้นที่เกาะห้องคนหลงรักสีสันใต้ทะเล คว้าสนอร์เกิล สละเรือลงไปดำผุดดำว่าย เปลี่ยนภาพทางตาจากผืนฟ้าสู่เบื้องล่าง

 

ผมพายวนรอบโขดเขาเล็กๆ แห่งนั้น ทดลองเข้าช่องแคบเพื่อพยายามเรียนรู้และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรือ ว่าไปก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักกับนักพายมือใหม่ คนคัดท้ายเรือที่นั่งอยู่ด้านหลังดูท่าจะต้องรับภาระหนักอยู่ไม่น้อย

 

เกาะห้องตระหง่านสูงชันและมากไปด้วยลวดลายบนผืนผา ยิ่งเมื่อยามโดนแดดอาบไล้ ริ้วสีของชั้นหินสลับส้มน้ำตาลก็กระจ่างชัดราวงานศิลปะ

 

เราเลาะเข้าออกใน “ห้อง” เล็กๆ กลิ่นอับทึบในความมืดของโพรงหินฉุนกึกเมื่อเราเข้าสู่ภายใน บางช่วงต้อนนอนราบลงกับลำเรือเพื่อให้ผ่านพ้นหินงอกหินย้อยที่ทอดตัวลงมาต่ำเรี่ยผิวน้ำ และเมื่อปลายแสงตรงปากห้องสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เราผ่านพ้นออกมา ผมก็รู้ได้ว่าชีวิตอิสระอาจไม่มีอยู่จริง

 

เราต่างอยู่ในกรอบขังได้ทุกเวลา จากกรอบกรงหนึ่งไปสู่อีกกรอบหนึ่งซึ่งกว้างกว่า ทว่าไม่อาจหลุดพ้นไปจากขอบเขตดินแดนใดๆเลยสักนาทีหนึ่ง

 

ผ่านพ้นเกาะห้องและแวะจัดการมื้อเที่ยงกันที่หาดเล็กๆ อันเป็นที่ทำการของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี แดดบ่ายไม่ราแรง ต่างคนต่างจ้วงพายตามจังหวะและเรี่ยวแรงเพื่อผ่านเข้าไปสู่ลากูนหรือทะเลใน

 

เมื่อเข้าไปสู่ทะเลใน แผ่นผาที่โอบล้อมผืนทะเลสีมรกต มีหินงอกหินย้อยประดับให้ผาดูสวยแปลกตา พืชล้มลุก ไม้พุ่มแคระ และไม้ยืนต้นบางชนิดขึ้นกระจายอยู่ทั่วหน้าผา นับเป็นป่าเขาหินปูนที่แต่งแต้มสีเขียวสดลดทอนความแกร่งกร้าวของผาหินสีเทาอย่างเพลินตา

 

เมื่อเข้ามาอยู่บริเวณทะเลในแห่งเกาะห้องของกระบี่ ก็ราวโลกตรงนี้หยุดนิ่งอยู่กับผืนน้ำและความเงียบสงัด นานๆ ทีจะมีเสียงนกทะเลหรือลิงแสมสักตัวร้องดัง สักพักก็เงียบลง เหลือเพียงความงามของผืนน้ำสีฟ้าเข้ม และภาพของใครสักคนที่ดำผุดดำว่าย พาตัวเองไปเป็นหนึ่งเดียวกับทะเล

 

เป็นเสมือนการหลีกหนีสู่อิสระชั่วคราว ก่อนจะกลับสู่ภาพจริงข้างนอก กลับสู่พันธนาการอย่างแช่มชื่น

 

บ่ายจัดคล้อยสู่ยามใกล้เย็น เราผ่านพาเรือคายักสีสดกันอีกยาวนาน เรี่ยวแรงเกือบทั้งหมดถูกส่งผ่านไปยังพายและผืนน้ำ พาดวงตาและร่างกายข้ามผ่านลูกคลื่นหลายระลอก ที่มีเพียงการหันหน้าเข้าหามันเท่านั้น ที่จะทำให้การเดินทางต่อยอดออกไปสู่จุดหมายได้

 

เมื่อมาถึงแหลมจมูกควาย เราต่างเสยหัวขึ้นไปบนปลายแหลมที่ยื่นล้ำเข้ามาในทะเล ที่นี่คล้ายเกาะไข่ในหมู่เกาะตะรุเตาตรงที่มีสะพานหินธรรมชาติ แต่อาจจะต่างกันตรงที่เป็นโค้งหินที่ไม่มีน้ำลอดผ่าน นักภูมิศาสตร์เรียกว่า “ซุ้มหินทะเล” หาดทรายที่เรียงรายด้วยหินก้อนใหญ่สีอมม่วงกระจายตัวทำให้หาดของแหลมแห่งนี้ยิ่งมีมิติ ดูไม่โล่งตา

 

ทางภูเขาเล็กๆ พาให้หลายคนรวมทั้งผมไต่ขึ้นไปสู่จุดชมวิวด้านบนเมื่อยามเย็นใกล้มาเยือน และเมื่อขึ้นไปถึงสันด้านบนของซุ้มหินทะเลที่มีความกว้างของพื้นที่ราว 10 คนยืน เบื้องหน้าก็คืออาทิตย์อ่อนแสงที่เปลี่ยนภาพป่าเกาะใหญ่น้อยของเมืองกระบี่ให้กลายเป็นภาพทางตาอันงดงาม

 

เราอยู่บนนั้นกันจนเย็นย่ำ ดวงอาทิตย์กลมโตค่อยๆ หย่อนตัวลงระหว่างช่องของเกาะสองแห่ง มองไปราวโปสการ์ดแผ่นใหญ่ของใครสักคน มีฉากหน้าเป็นสีสันของหินโผล่เมื่อน้ำลด และทั้งหมดก็กำลังหลอมกลืนเป็นสีแดงส้มเมื่อตะวันใกล้หล่นตรงเส้นของฟ้า

 

โมงยามเช่นนั้น หลายคนมากไปด้วยการตีความต่อธรรมชาติ เพื่อนช่างภาพจ่อมตัวเองอยู่แต่ในวิวไฟน์เดอร์ หลายคนเลือกมองมันด้วยตาเปล่า และมีบ้างบางคนที่ใช้มันเป็นฉากผ่านเพื่อที่จะส่งต่อบางความรู้สึกไปสู่ใครสักคน

 

ในนาทีเดียวกัน มีเรื่องราวหลากหลายทับซ้อนกันอยู่ ราวกับว่าเส้นทางสายเดียวกันนั้นมากมายด้วยความหมาย “ระหว่างทาง”และเปี่ยมความรื่นรมย์ไม่น้อยไปกว่าปลายทาง

 

ขณะความมืดใกล้มาเยือน ผมและเพื่อนๆ พาเรือคายักกลับสู่บ้านอ่าวท่าเลนที่วับแวมแสงไฟ เงยหน้ามองบนแผ่นฟ้า ดาวศุกร์พราวเด่นในแผ่นฟ้าสีบลู

 

ว่ากันว่าดาวศุกร์คือดาวประจำที่คนเรือใช้กำหนดหรือเลือกทิศทางในผืนทะเลมายาวนาน มันถูกสั่งสอนตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาก่อนเทคโนโลยีใดๆ

 

เป็นการส่งต่อให้มองหาจุดหมายปลายทางรอบด้านอันอาจกำหนดทิศทางได้ยากเย็น

 

ทว่าก็ไม่เคยหลงลืมที่จะบอกกันว่า เรื่องราวและความหมายระหว่างทางอันเป็นปัจจุบันตรงหน้าต่างหาก ที่ใครสักคนก็ไม่อาจละทิ้งมันไปได้ หากอยากจะไปให้ถึงฝั่งฝัน

 

How to Go?

สนใจมาพายเรือเล่นที่ป่าเกาะทะเลกระบี่หรืออ่าวท่าเลน ที่นี่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองกระบี่ 35 กิโลเมตร ใช้เส้นทางเดียวกับไปป่าท่าปอมคลองสองน้ำ แล้วแยกเข้าไปตามป้ายบอกทางที่บอกไว้ชัดเจน อ่าวท่าเลนเป็นแหล่งพายคายักอันดับต้นๆ ของกระบี่ติดต่อพายคายักได้ที่ ซีคายัค กระบี่ ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมือง โทร (075)630-270 หรือ seakayak-krabi.com ที่นี่มีที่พักเปี่ยมสไตล์ เก๋ไก๋น่ารัก ชมวิวยามเช้าของอ่าวท่าเลนได้อย่างเพลินตา เอกเขนกรีสอร์ต โทรศัพท์ (075)623-448-9หรือ www.akanakresort.com

ผืนน้ำสีมรกตนิ่งเรียบราวกับโลกตรงนี้ไร้กาลเวลา