ไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร
ม่านหมอกปกคลุมภูเขาเขียวขจียามอรุณรุ่ง ตัดกับทะเลสาบสีมรกต ลำน้ำลดเลี้ยวเป็นงูเลื้อย แลเห็นมิติลี้ลับประดุจหนึ่งแดนอวตารอันอ่อนช้อยบริสุทธิ์ของมวลธรรมชาติ ภายในรีสอร์ทถูกโอบล้อมด้วยภูผา ที่นี่เคยเป็นเหมืองพลอยขนาดใหญ่อุดมด้วยพลอยไพลินสีน้ำเงิน นิล บุษราคัมแหล่งอารยธรรมโบราณ ดั่งปรากฏหลักฐานการขุดพบไม้ตะเคียนทองกว่า 100 ต้นและเรือขุดโบราณฝังอยู่ใต้ดินนับพันปีสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่า จึงมีการอนุรักษ์ให้เป็นอุทยานการเรียนรู้ในปัจจุบัน นั่นคือรางวัลชีวิตอันหาที่เปรียบมิได้ของหนุ่มลูกทุ่งนุ่งกางเกงยีนส์ สำเนียงเสียงดังฟังชัด ผลลัพธ์คือความสุข สนุกกับการทำงานด้วยสมองและสองแขนของชายผู้นี้ที่เจียระไนธรรมชาติดุจอัญมณีเม็ดงามแห่งทิศตะวันตก สิ่งที่น่าสนใจคือตัวตนของคนสู้ชีวิตมีทรัพย์สินเยอะก็สู้ร่ำรวยเพื่อนฝูงไม่ได้ เหมือนดั่งที่เขาบอกเป็นนัยว่า “พรรคของผมใหญ่ที่สุด คือ พรรคพวก”
เจียระไนชีวิต
“บรรพบุรุษของผมเป็นคนจีนทั่วไปที่โล้สำเภามาจากเมืองจีนแผ่นดินใหญ่ มาตั้งถิ่นฐานที่เมืองกาญจนบุรี ทำไร่ยาสูบ ปลูกแตงกวา คุณพ่อเป็นครูอยู่ที่เมืองจีนกับคุณแม่ เมื่อทางโน้นลำบากจึงติดต่อกับญาติเก่าๆ ก็ตามกันมาที่ท่าอ้อ อำเภอเมือง ส่วนน้าชายมาเรือสำเภาคนละลำกับคุณพ่อ ท่านไปขึ้นที่ฝั่งประเทศกัมพูชา
“ครอบครัวผมทำไร่ยาสูบต่อสู้ดิ้นรนมาตลอดอยู่กับไร่กับนา ตอนเล็กๆ ผมทำงานมาเยอะ ทั้งเลี้ยงหมู ตักไอศกรีม ขายโรตี เมื่อผมโตขึ้นมาก็ไปเรียนที่โรงเรียนวัดไชยชุมพลชนะสงคราม และโรงเรียนวิสุทธิรังสีมัธยมศึกษาตอนต้น จากนั้นผมก็ออกมาทำการค้า มาเป็นลูกจ้างเมื่อตอนอายุ 10 กว่าขวบ แบกน้ำแข็งขาย หลังจากนั้นมาขับรถส่งน้ำแข็ง ต่อมาพ่อผมก็ทำเต้าหู้ขาย ตอนนั้นแม่ก็ไม่ค่อยสบาย ผมได้เงินเดือนเดือนละ 360 บาท ซื้อข้าวสารถังหนึ่งให้พ่อกับแม่ ได้เบี้ยเลี้ยงมาก็จะให้แม่วันละ 5 บาท
“เวลาคนเราดวงตก มันจะตกสุดๆ ผมออกจากการขับรถขนน้ำแข็ง ก็มาออกรถเล็กๆ จากประเทศญี่ปุ่น ทำการค้าผลไม้เร่ เพราะผมชอบทำการค้า แต่บังเอิญแม่มาเสียปี พ.ศ.2512 ผมก็หมดกำลังใจจึงไม่ได้ไปไหน มาตัดไม้ลวกในป่าไปขายบ้าง ทำให้รู้จักต้นตะคึก พันธุ์ไม้ยืนต้นที่นำมาปรุงอาหารรับประทานและเก็บไปขาย แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด รถยนต์ถูกยึดเหลือแต่มอเตอร์ไซค์คันเดียว เพื่อนก็ชวนไปเป็นลูกจ้างที่เหมืองแร่ในป่า ก็เป็นไข้มาลาเรียสารพัด แล้วยามที่เราลำบากนะ ขนาดผมจอดมอเตอร์ไซค์อย่างระมัดระวัง ยังถูกขโมยเลย
“หลังจากนั้นพี่ชายก็ให้รถสองแถวมาคันหนึ่งเอาไว้มาทำมาหากิน แต่ก็ไปไม่รอดอีก สุดท้ายน้าชายคนโตมาชวนให้ไปทำพลอยที่เขมร จึงไปเริ่มต้นทำพลอยที่นั่น ใช้ภาษาจีนกับภาษาเขมร ผมทำงานหนักตลอด อยู่ที่ไหนเราก็ทำงาน จนน้าชายเขารักและเอ็นดูเรา ผมอยู่ที่นั่นตั้งแต่ปี พ.ศ.2515 จนถึงปี พ.ศ.2518 เปลี่ยนการปกครองมาเป็นเขมรแดง เมื่อเขมรแตก จึงต้องกลับมาเมืองไทย น้าชายให้เงินติดตัวมานิดหน่อย ตอนหลังท่านไปทำธุรกิจอยู่ประเทศออสเตรียและแคนาดา สุดท้ายผมกลับมาอยู่เมืองกาญจนบุรีอีกครั้ง ผมก็ต้องมาขับรถไถต่อและซื้อรถสองแถวไว้อีกสายหนึ่ง
“หลังจากนั้นไม่นานก็มีพรรคพวกมาชวนไปทำพลอยอยู่ที่ประเทศศรีลังกา ถ้าเราอยู่วงการพลอยเล็กๆ เราก็จะไม่โต ผมจึงเลือกเส้นทางเดินที่เราเดินได้ จึงไปทำธุรกิจค้าพลอยอยู่ที่นั่น เพราะบ้านเรามันหากินลำบาก คนรวยมันแย่งกินหมด วงการค้าพลอยที่ประเทศศรีลังกา เป็นพลอยที่เรียกว่าซื้อมาแล้วเสี่ยงโชค จากพลอยขาวๆ ผมสามารถเผาออกมาเป็นสีเขียวได้ เราต้องไปศึกษาหาความรู้ด้วยความอดทน ผมเริ่มจากพลอยที่เขาทิ้งแล้ว นำมาเผาเป็นสีได้ พลอยนั้นจะมีอยู่หลายชนิด เช่นพลอยไอโอตู้พลอยดำๆ นำมาเผาให้เป็นสีน้ำเงิน หรือไอเกียวเดอร์เป็นพลอยหมากๆ น้ำนมเหลือง น้ำนมขาว เผาแล้วออกมาเป็นสีน้ำเงิน ที่ผมซื้อเขาเรียกว่าอูลั่น เป็นพลอยขาวๆ มีจุดเล็กๆ นำมาเผาจะออกมาเป็นสีน้ำเงินหมด เราต้องดูเป็น นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อบลูแซฟไฟร์ที่นี่ ผมอยู่ที่นั่นมาเกือบ 10 ปี จากชีวิตที่ไม่ค่อยมีอะไรเป็นหลักแหล่ง จนกระทั่งมาถึงวันนี้ได้เพราะเรามีเครดิต
“เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วที่เมืองมาซีลอน ประเทศศรีลังกา พวกเราเป็นคนไทยที่ซื้อรถเครื่องขับเป็นคนแรก เราก็จะขี่รถเครื่องซื้อพลอยไปเรื่อยๆ พอกลับมาจากศรีลังกา พรรคพวกก็ชวนมาทำเหมืองดีบุก กำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง ท้ายที่สุดก็เลิกกันไป เหลือคนงานไว้ส่วนหนึ่ง มาทดลองทำพลอยที่นี่ ปัญหาการทำธุรกิจค้าพลอยของเราก็คือ วันนี้แขกเรียกเม็ดหนึ่งราคาหนึ่งพัน พรุ่งนี้เรียกราคาพันห้า มะรืนเรียกอีกราคาหนึ่ง แขกเขาไม่รู้ว่าเราขายเท่าไร เขานึกว่ากำไรดี มันก็ค้าขายยาก
“เราคิดว่าพลอยเราดี จึงนำเอาทรัพยากรในบ้านเราออกมาหากิน ทีแรกที่ทำคนเขาไม่เชื่อว่าเราจะทำได้ ทำไปคิดไป สุดท้ายจึงเป็นธุรกิจได้ เพราะบ่อพลอยที่นี่มันแปลกกว่าที่อื่น ที่อื่นบ่อเขาจะไม่ลึก ที่นี่มันจะลึกกว่า เมื่อขุดลงไปแล้วมันเป็นแหล่งน้ำ มันขุดยากต้องสูบน้ำขึ้นมา ต้องเปิดหน้าดินลึกๆ คนจะลงไปไม่ได้เพราะมันลึกถึง 18 เมตรโดยใช้มือขุดเหมือนกับคนไปหาปลา จับไปหาไป ทีนี้เราขุดไปแล้วบ่อมันทลายลงมาข้างๆ ตลิ่ง จากนั้นเราก็ไปหาแหล่งใหม่”
ชนะวิกฤต...พิชิตความพ่าย
“ผมโดนวิกฤตเศรษฐกิจเล่นงานมามาก คนเราไม่ใช่มีทุนเยอะ เมื่อเจอปัญหาเข้ามาก็ทำท่าจะล้มเลิกเหมือนคนไม่มีเงินเยอะ แต่ทำงานใหญ่มันลำบากขนาดไหน คนมีเงินน้อยทำงานเล็กมันก็ง่าย แต่ของผม เงินน้อยแต่ทำงานใหญ่ คุณอยากทำเหมืองใหญ่ๆ
คนงาน 300-400 คน อยากมีรถแบ็คโฮหลายคัน ลงทุนเป็น 100 ล้าน คุณทำได้ง่ายไหม ในพื้นที่หลายพันไร่ มันไม่ง่าย
“ฉะนั้นเราจะเจอวิกฤติอะไรก็แล้วแต่ เราใช้วิกฤติให้เป็นโอกาสให้มากที่สุด อย่างในยามที่เศรษฐกิจตกต่ำ เราต้องกล้า เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ มีคนมาขายที่ให้ เรายังไม่เอาสตางค์ ให้เอาที่ไปก่อนเลย ถ้าเราไม่กล้า เมื่อเศรษฐกิจดีแล้วเขาจะขายให้เราเหรอ เราทิ้งไม่ได้ เราคิดว่าตรงนี้มันไปได้ แต่ก่อนผมไม่มีที่ดิน ผมลงทุนด้วยเงินสามแสนบาท ผมเช่าที่ผู้ใหญ่เมิน เดือนละ1,000-2,000 บาทมาตั้งโรงงาน แล้วก็เอาแร่ไกลๆ มา แล้วให้เขากินเปอร์เซ็นต์ สมมุติว่าเราได้เงินมา 100 ให้เขาไป 15บาท เหมืองของผมเรียกว่าเหมืองหาบ เมื่อก่อนจะหาบขึ้นมาแล้วเอาน้ำล้างใส่ตะแกรง ของเราใช้สิบล้อหาบแล้วใช้น้ำแรงดันสูงฉีด แล้วใช้ความถ่วงที่เรียกว่าจิ๊ก เหมืองพลอยเราดัดแปลงมาจากการทำเหมืองดีบุก กว่าจะมาเป็นวันนี้ได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
“ชีวิตผมลำบากมาเยอะ ผมจึงไม่กลัวลำบาก เราสู้ชีวิตแล้วมันจะไม่ตาย ถ้าไม่สู้ชีวิตมันจะตาย แต่สิ่งสำคัญเราต้องมีสัจจะ ผมซื้อที่ของคุณราคาเท่านี้ เมื่อราคาต่ำลงเราก็ให้แค่นี้ บางครั้งเรามีอุปสรรคเรื่องเงิน บอกเขาว่าอีก 3 เดือนจะให้ เมื่อเราไม่มี เราก็ต้องบากหน้าไปหาเขาเพื่อให้เขาช่วยเหลือเราหน่อย เดือนนี้เรามีแค่นี้นะ ขัดข้องจริงๆ ผมเชื่อว่าเขาไม่ฆ่าเราตายหรอก ถ้าเรารู้จักพูดคุยให้เขาเข้าใจ เพราะเราไม่เคยหนีหนี้ เรามีทรัพย์สินพอสมควร เริ่มต้นจากเงินเพียงแค่สามแสนบาท ก็ทำมาเรื่อย ดีบ้างไม่ดีบ้าง
“ผมมาอยู่ที่นี่ได้สักสองปี พรรคพวกเขาก็ให้ผมมาเป็นผู้ใหญ่บ้าน จากนั้นมาเป็นกำนันและนายกสมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้านคนแรกของกาญจนบุรี เมื่อผมมาอยู่ตรงนี้ เขาเห็นผมทำงาน เขาเลยจับผมไปเป็นผู้ใหญ่บ้าน จับเป็นกำนัน โดยไม่มีการเลือกตั้งเป็นความเห็นชอบของคนในหมู่บ้าน หมู่ 5 ที่อำเภอบ่อพลอย ผมได้ช่วยลูกบ้านอย่างมหาศาล ผมบอกกับชาวบ้านว่า หากมีที่ดินอย่าขายนะ เพราะต่อไปที่ดินจะขึ้นราคาแน่ เขาก็ไม่ขาย แต่ถ้าลูกบ้านติดหนี้เขาดอกเบี้ย 100 ละ 3-5 บาท ตอนนั้นบริษัทผมมีสตางค์ ผมก็ให้ชาวบ้านที่เดือดร้อน มายืมผมโดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ย จากไร่ละไม่กี่พันบาท ตอนหลังที่ดินขึ้นราคา พวกเขาขายไร่ละแปดหมื่นบาท เขาก็ขายแล้วก็ได้กำไรไป ผมก็ไม่ได้คิดดอกเบี้ยอะไร ขอให้เขาเอาเงินที่เขายืมผมไปเอาคืนมาแค่นั้นก็จบเราทดแทนเขาที่เขาคิดว่าเราทำงานได้ จึงเชิญมาเป็นผู้ใหญ่บ้าน และต่อมาก็เป็นกำนัน เพราะลูกบ้านนั้นๆ ต่อมาผมจึงมาเป็นผู้แทนและสามารถสร้างชื่อเสียงขึ้นมาได้”
เส้นสายลายแร่
“คำว่าอิทธิพลมันแบ่งได้หลายส่วน ถ้าเป็นกำนันสมัยเก่า มันก็ต้องมีความจำเป็นที่จะต้องอยู่กับสิ่งที่คุยแล้วให้เขาเชื่อเรา หรือแม้กระทั่งการใช้อำนาจในบางเรื่องที่จำเป็น เพราะมีคนเกเรเยอะ แต่มาถึงรุ่นผม มันเริ่มเปลี่ยนไป เพราะผมมาเป็นพ่อค้าไปแล้วฉะนั้นตรงนี้มันก็จะหายไปหมด เราไม่ได้คิดตรงนั้น เราคิดเพียงว่าจะมุ่งมั่นทำอย่างไรให้หมู่บ้านนี้ ที่เราอยู่ตรงนี้เจริญ
“ผมมักจะบอกกับพรรคพวกเพื่อนฝูงที่เป็นกำนันรุ่นเก่าๆ ผมฝากบอกกับเขาว่า คุณกลับไปบ้านคุณไปเจอคนมาหาคุณ แล้วคุณไปเปิดท้ายรถให้เขา ดูว่าคุณมีปืนยี่ห้อโน้นยี่ห้อนี้ดี มันก็ไม่งาม ทางที่ดีคุณก็ขับรถดีๆ ไปแล้วโชว์ว่ารถยี่ห้อนี้ดี รุ่นใหม่นะ แสดงว่าคุณเป็นพ่อค้าแล้ว เราสอนเขาว่าเมื่อเรามีเงิน เราพัฒนาจากชีวิตที่ไม่ใช่นักเลง แล้วเราถึงมีปัญญาทำธุรกิจให้ดีๆ เราถึงจะมีรถสวยๆ ขับ ไม่ใช่นำอาวุธปืนนานาชนิดขึ้นมาอวด
“ผมช่วยให้ชาวบ้านเขาทำมาหากินเกือบ 100 เหมือง ไม่มีการขัดแย้งถึงกับฆ่ากันตายเลย ในช่วง 20 ปีที่ผมอยู่ที่นี่จากสมบัติมหาศาล แต่ละที่ๆ ขุดลงไป ส่วนที่อื่นไม่ต้องพูดถึง เพราะเราคิดไม่เหมือนเขาคิด สมมุติว่าโต๊ะนี้ ผมซื้อที่ดินได้ 500 ไร่ แล้วเหลืออีก 10 กว่าไร่เราซื้อไม่ได้ เพราะเราให้ราคา 20,000 บาท เขาจะเอา 25,000 บาท เมื่อให้ 25,000 จะเอา 30,000บาท เราก็คิดว่ามันจะเสียราคาในการไปซื้อต่อที่อื่นอีก เมื่อเวลาผ่านไป คนอื่นซื้อไปแล้ว ผมจึงประชุมหุ้นส่วน หุ้นส่วนผมเขาก็จะถามผมว่า ที่ดิน 10 กว่าไร่ซื้อไปหรือยัง ผมก็บอกว่าคนอื่นซื้อไปแล้วในราคา 30,000 กว่าบาท หุ้นส่วนบางคนของผมบอกว่า อย่างนั้นปิดทางเข้าเลยไม่ต้องให้เขาเข้า-ออก เขาใช้ระบบเก่าแบบนักเลง ถ้าคุณใช้ระบบนี้ไม่ได้ ให้คิดว่าเขามีแค่ 10 กว่าไร่ มันทำให้เขารวย แล้วเรามี 500 ไร่เรารวยกว่าเขาแค่ไหน เราอย่าไปห่วงเขารวย แต่ถ้าคุณใช้ระบบนี้ เดี๋ยวผู้หลักผู้ใหญ่มาขอคุณก็ต้องให้เขา เป็นบุญคุณกันอีก ผมให้ก่อนเลย
“วันรุ่งขึ้นผู้กำกับเมืองมาบอกว่าที่ตรงนั้นขอทางออกหน่อยนะ ผมก็บอกว่าให้ไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว (หัวเราะ) เพราะเขามีแค่ 10ไร่ประเดี๋ยวเดียวเขาก็ทำเสร็จ จบแล้วผมรู้เลยว่าสายแร่ไปทางไหน เสร็จจากนั้นจะนำที่ไปทำอะไรต่อ อยากทำนาก็ทำไปเลยผมจะซื้อเท่าไรก็ได้ สุดท้ายเขาก็มาขายให้เราอีก 15 ไร่
“เมื่อก่อนเครื่องไม้เครื่องมือข้าวของของผมก็ถูกงัดถูกขโมยไปเรื่อย เงินผมก็ถูกเพื่อนยืมแล้วไม่คืน เสียหายไปเยอะ ถ้าผม
ไปสนใจตรงนี้มากเกินไป สมองผมก็ทำอะไรไปข้างหน้าไม่ได้ เมื่อมันผิดไปแล้วก็อย่าให้ผิดต่อไปข้างหน้ามากนัก วันนี้เราอาสา
ก้มหน้าก้มตาทำงานไป เหมือนกับเพื่อนยืมสตางค์เราไป แล้วเราไปทวง สุดท้ายก็เสียเพื่อน เสียเพื่อนไม่ว่าไปถึงบ้านเขาเราไปเห็นลูกเขาลำบากอีก เรายังควักสตางค์ให้อีก (หัวเราะ)
“ฉะนั้นอะไรที่มันผ่านก็ผ่านไป แต่เราต้องมุ่งไปข้างหน้า อะไรมันเจียดได้ก็เจียดให้เขาไป เจียดไม่ได้เราต้องคุยกัน แนวคิดอย่างนี้เราต้องเห็นมาเยอะ ทำใจได้ ชีวิตผมจากคนขับรถสองแถว จนกระทั่งมาทำธุรกิจ ผมเคยทำธุรกิจได้กำไรวันละล้านบาทผมก็ยังเคยได้มาแล้ว ตอนอยู่ที่เมืองมาซีลอน ขาดทุนวันละล้านบาทผมก็เคย จะมาคิดอะไรมาก ต้องทำใจให้เป็น ถ้าคนเรากล้าได้กล้าเสีย ผมบอกได้เลยว่า ถ้าเราคิดเป็น ชีวิตเราก็จะมีความสุข ถ้ากล้าได้กล้าเสีย คิดไม่เป็น เสียแล้วมานั่งงง เวลาได้แล้วมานั่งหัวเราะ
“ผมถามว่ามีอะไรที่ได้ตลอด เวลาที่เราเสียรู้หรือเพื่อนยืมเงินเราไปแล้วเขาไม่คืนเรา เราต้องคิดว่าเรารู้จักคนนี้ เราถึงไปเจอคนนั้น แล้วเราได้ประโยชน์จากคนโน้น มันก็จะมาชนกัน มันมีความดี เราถึงให้เขายืมเงิน มีความคิดเชิงบวกมันก็จะมีความสุข หากคิดทางลบว่าเพื่อนคนนี้ใช้ไม่ได้ ต้องตามทวง ต้องไปแจ้งความเอาเรื่อง มันก็จะบอกว่า เมื่อก่อนเรามันจนแต่เดี๋ยวนี้เรารวยแล้วไม่มาช่วย คบเป็นเพื่อนกันมา มันเอาเรื่องเลย มันก็จะเสียไหม เครดิตอะไรก็เสียหมด เรื่องชะตาฟ้าลิขิตผมเองก็ไม่ได้ลบหลู่และผมก็ไม่งมงายเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผมก็ยกมือไหว้ ไม่เชื่อ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าผมไม่ได้เป็นคนอย่างนี้ แล้วผมจะเก็บไม้ตะเคียนทองได้อย่างนี้เหรอ ตั้งเป็นร้อยๆ ต้น ผมเดินสายกลางได้
“มีคนถามผมว่า ‘กำนันไปตัดต้นตะเคียนนำมาเลื่อย แล้วไปนอนบนนั้นไม่กลัวเหรอ’ ผมก็บอกเขาว่า จะไปกลัวอะไร เพราะผมเอาจิตเป็นที่ตั้ง ผมไม่เกเรใคร ไม่คดโกงใคร ผมทำมาหากิน ก่อนนอนกราบหมอน 3 ครั้งก็หลับสบาย ที่ผมพูดไม่จำเป็นจะต้องเชื่อผม ก่อนหน้านั้นมีการขุดหน้าดินลึกลงไปถึง 10 เมตร ไปเจอเรือโบราณยาว 10 กว่าเมตร มีคนเคยขโมยหม้อดินโบราณที่มากับเรือไป อีก 7 วันต่อมาต้องนำมาคืน เพราะเขาปวดหัว
“มีเรื่องลึกลับเกิดขึ้นเยอะ อย่างตอนที่ผมไปค้าพลอยที่เมืองมาซีลอน ผมมีเครดิต ไม่มีสตางค์เลยในตอนนั้น แต่ผมทำธุรกิจที่นั่นแล้วผมมีชื่อเสียง เอาพลอยขาย 100 ล้าน ผมยังเอามาได้ ผมต้องคัดพลอยที่คิดว่ากำไร ถึงแม้ว่าผมจะกลับมาทำกินที่เมืองไทย ผมก็ไม่มีรอยด่าง ท้ายที่สุดจนแขกที่ทำธุรกิจร่วมกับผมเขาเชื่อถือผม โดยไม่ต้องใช้เงินมหาศาล มีเพียงกระดาษใบเดียวเวลาไปเมืองมาซีลอน ผมจะเขียนชื่อบนกระดาษแล้วฉีก เมื่อนำเอาไปให้คนอื่นไปหาเขาแล้ว เอากระดาษมาต่อรวมเป็นชื่อผม ดูแล้วว่าใช่เลยลายเซ็นผม นั่นคือธุรกิจขายพลอยที่ประเทศศรีลังกา เขาเชื่อใจผม ใช้ใบนั้นขึ้นเงินได้เลย เพื่อนผมเยอะมากเพราะผมไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย”
ขุมทรัพย์แห่งปัญญา
“ที่ผมไม่ไปทำธุรกิจค้าขายเพชร ผมคิดว่าไม่มีใครทำอะไรได้ดั่งใจเราคิดได้ทั้งหมด เหมือนคนอยากทำสนามกอล์ฟ แต่ดันไปทำสนามฟุตบอล บางทีมันก็ไม่เกิด ไปไม่รอด เรื่องนี้ฟ้าก็ลิขิตเหมือนกัน บางคนไปไม่ได้ แต่บางคนทำแล้วรุ่ง ผมเริ่มต้นจากไม่มีที่ดิน แต่เจ้าของที่ดินที่ผมเช่านั้นเป็นผู้ใหญ่บ้าน แล้วแม่เขาอายุมาก ตอนทำเหมืองพลอยใหม่ๆ เราต้องขุดหินขุดดินดังโครมๆ คนบ้านนอกเขาเคยอยู่อย่างเงียบสงบ พอดึกเขาก็มาบอกว่า ยายหลับไม่ลง เสียงมันดัง ผมไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร เวลาผ่านไปราว 6 เดือน เครื่องขุดเกิดเสีย ยายมาหาผมอีก แล้วบอกว่าวันนี้มันเป็นอะไร ทำไมถึงเงียบจัง (หัวเราะ)
“ยายเขาเกิดความคุ้นชิน ผมเช่าที่เขา ผมถือว่าเขามีพระคุณกับผมมาก ผมให้ค่าเช่าเขาเดือนละพันบาท จนกระทั่งคุณยายเสียชีวิต ท่านให้ผมเช่าอยู่ถึง 10 ปี ที่สร้างอย่างนี้ได้ เราต้องตั้งใจ เราวางแผน ผมคิดว่าถ้ามีน้ำ มันก็มีโอกาส ผมถามว่ามนุษย์ในโลกนี้มีใครไม่ชอบน้ำบ้าง น้ำแก้ปัญหาได้หลายๆ อย่าง ผมดูว่าพื้นที่นี้มันดี ผมจึงเริ่มต้นซื้อที่ดินไปเรื่อยๆ ซื้อตอนนั้นมันยังไม่แพง ผมกลัวว่าในอนาคตที่ดินจะขึ้นราคา ผมจึงหยุดการทำเหมืองพลอย แล้วหันมาซื้อที่ดิน ผมซื้อจนหมดเงิน ได้ที่ดีๆ มาไม่กี่พันไร่ ถือว่าเยอะมาก บางอย่างใช้เงินสด บางอย่างวางเงินมัดจำไว้
“ทีนี้เพื่อนผมที่ประเทศศรีลังกาเยอะที่ทำพลอยอยู่จังหวัดจันทบุรี เขาก็มาดูที่กันแล้วเขาอยากทำ ผมซื้อไว้ 200 ไร่สมมุติซื้อไร่ละแสนห้า ผมขายเขาสามแสน แล้วมาหุ้นกัน ของผมเป็นโรงงานเลย ของคนอื่นเขา กว่าจะสร้างโรงงานต้องใช้เวลา 4-5 เดือนแต่ของผมมาปั๊บเขาได้เงินเลย แล้วเราก็ได้เงินไปให้ค่าที่ดินผมได้มีกำไรด้วย ถ้าเป็นคนอื่นจะหวง เราก็ได้เพื่อนบ้านด้วย เราทำอย่างนี้เราจึงมีที่ทำสนามกอล์ฟได้
“ระหว่างที่ผมทำเหมืองพลอยไป ผมก็คิดไป เวลาผู้ใหญ่มาหา ผมก็ถามว่าแนวความคิดอย่างนี้จะทำเป็นสวนเกษตรหรือจะทำอะไรดี ผมไม่อยากให้ที่มันว่างเปล่าหรือมากินหัวคิดต่อ ท่านอดีตรัฐมนตรีหลายท่านมาที่นี่ ก็บอกให้ผมทำสนามกอล์ฟ เราจึงมุ่งมั่นเพราะอย่างน้อยๆ เราทำขึ้นมาให้มันมีคุณค่าและคนเขาจะได้ไม่ต่อว่าว่าทำเหมืองพลอยได้เงินแล้วก็ทิ้ง เราทำให้มันเกิดประโยชน์สูงสุดขึ้นมา ขุดแร่ใต้ดินขึ้นมา ได้ดินได้พลอย ที่ดินก็ไม่เสีย คนด่าตามหลังก็ไม่มี
สมรภูมิการเมือง
“ชีวิตผมไม่เคยคิดว่าผมจะมาเป็นผู้ใหญ่บ้าน และมาเป็นกำนัน ตำบลบ่อพลอยปี พ.ศ.2534 จู่ๆ ผมก็มาเป็นผู้แทนราษฎร เมื่อเราสอบตกปี พ.ศ.2539 ก็ไม่มีใครมาสนใจเราเลย
“ตอนนั้นคิดจะเลิกเล่นการเมือง แต่กำนันเซี๊ยะ คุณประชา โพธิพิพิธ มาชวนเพื่อมาลงเขตเล็ก ผมได้เป็นเลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และได้ตามท่านรัฐมนตรีไปเป็นเลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผมไม่เคยคิดแสวงหาตำแหน่ง ผมลงไปเป็นผู้แทน เมื่อได้รับการเลือกตั้ง เพื่อเข้ามาช่วยชาวบ้าน บางคนทำไมถึงทำหลายอาชีพ บางคนทำอาชีพเดียว มันก็เหมือนกับการเมืองที่ต้องไปอยู่หลายพรรค ผมคิดว่ามันเป็นจังหวะของใครของมัน
“ผมไม่ได้ไปซีเรียสกับการเมือง เพราะผมไม่ได้เป็นนักการเมืองอาชีพ ผมคิดอยู่ตลอดเวลาเมื่อมีโอกาสที่ผมได้สร้างมา ทั้งความเป็นพรรคเป็นพวก และผมมีผลงานอยู่พอสมควรอย่างเช่น การขอมหาวิทยาลัยรามคำแหงมาตั้งที่ตำบลบ่อพลอย ก็เป็นฝีมือผม การพัฒนาที่ตรงนี้เพื่อทำเหมืองให้คนมีงานทำก็เป็นฝีมือที่พวกเราร่วมกันคิด แต่จังหวะมันทำได้ ไม่ไปเป็นศัตรูกับใครผมก็ยังอยากจะกลับไปรับใช้พี่น้องประชาชนอีก ในยุคนี้ถ้ามีโอกาสผมเชื่อมั่นว่าคนทุกคนทำการค้า ถ้ามีอะไรเป็นเกราะกำบังไว้ได้ ปัญหามันจะแก้ง่าย ทำอะไรถ้าทำเองมันก็จะมันกว่าให้คนอื่นทำแทน เราไม่ต้องอาศัยคนอื่นมาปกป้องเรา เราปกป้องตัวเราเอง เราไม่ได้ไปรังแกใคร เพราะผมคิดไม่เหมือนคนอื่น ผมมีความตั้งใจว่า เราเป็นนักการเมืองอย่างน้อยๆ ก็ต้องทำประโยชน์ให้กับบ้านกับเมือง ถ้าเราไปได้ ถ้าไปไม่ได้ก็อย่าไปเลย
“ถ้าคุณมาเป็นนักการเมือง คุณต้องเชื่อหัวหน้าพรรค มันก็ใช่ ถ้าเป็นเรื่องใหญ่คุณก็ต้องเชื่อ แต่ถ้าเป็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ขัดใจกันเอง เอาเราไปเป็นเครื่องมือ ก็อย่าไปเชื่อเขา ยืมปืนไปประหารเขาเพื่ออยากดัง อย่าไปทำ หากคุณเป็นนักการเมือง คุณต้องเร่งหาเพื่อน แล้วคุณยังไม่รู้เลยว่าคุณจะได้กลับมาอีกสมัยหรือเปล่า อย่ามาทะเลาะกับเพื่อนว่าคุณอยู่พรรคโน้น คุณอยู่พรรคนี้แล้ววันหนึ่งคุณไปภาคเหนือหรือไปภาคใต้ก็ไม่ได้กินข้าว ผมก็บอกว่าระวังนะ เมื่อสอบตกสุนัขยังไม่กล้าเข้าบ้านเลย ซึ่งมันใช้ได้กับปัจจุบันนี้ ผมไม่เข้าข้างใคร ทุกวันนี้ผมสามารถยกหูโทรศัพท์หาผู้นำทางการเมืองใครก็ได้ เหมือนปัญหาทุกวันนี้ ถ้าทั้งสองฝ่ายจับมือ สามัคคีกัน เราก็ไม่ต้องมาปวดหัว บ้านเมืองมันถึงจะไปได้ ราคาข้าว ราคามัน ราคาพืชไร่อื่นๆ จะได้ขึ้นราคา”
นกไม่มีขน....เหมือนคนไม่มีเพื่อน
“เมื่อเราทำการเมืองแล้ว เราต้องดูว่าแม่บ้านของเราเขาชอบหรือไม่ชอบ ถ้าเขาไม่ชอบเขาก็ต้องอยู่เฉยๆ คุมงานบริหารไป ดูหลังบ้าน ดูแลลูกๆ และกิจการให้ดี อย่าให้เงินมันรั่วไหล ตอนที่ผมทำเหมืองใหม่ๆ แม่บ้านเขาอยู่กรุงเทพฯ ทำจิวเวลรี่ ตอนหลังเกิดเบื่อๆ จึงกลับมาอยู่ที่นี่ ทำรีสอร์ต สนามกอล์ฟ เป็นหลักใหญ่ ส่วนธุรกิจที่เหลือก็มีโรงงานทำทราย ส่วนการจัดสรรที่ดินนั้นต้องรอให้เศรษฐกิจดีก่อนค่อยหันกลับมาทำใหม่ ฉะนั้นหัวใจสำคัญของการบริหาร หลังจากประสบความสำเร็จแล้ว เราต้องทำใจให้เป็น เพราะเราทำเต็มที่แล้ว โชคมาช่วยเรา เรามีเพื่อนฝูง ชีวิตเราทำบุญมาดี เราทำดีเราคิดดี เราก็มีโอกาสคนแรก
“ตอนนี้ผมอยากวางมือจากธุรกิจ ผ่องถ่ายแล้วให้ลูกๆ เข้ามาช่วยสานงานต่อ ไม่ใช่ว่าผมจะทิ้งตรงนี้ไปเลย ผมยังประคองเขาอยู่เพราะมันจุกจิก หลังจากการวางมือผมจะไปค้าพลอยที่ประเทศศรีลังกา ประเภทซื้อมาขายไปให้มันได้มีการซื้อขายและได้ท่องเที่ยวไปด้วย เพราะเรามีเพื่อนฝูงที่นั่นเยอะ และเขาเชื่อมือผม เขาอยากจะซื้อพลอยจากผม แต่ผมไม่มีพลอยให้เขา มีแต่สิ่งที่ไม่ถูกใจ ผมก็ขายให้เพื่อนไม่ได้ พลอยที่ผมขาย ผมการันตีให้เพื่อนได้ว่าถ้ายูซื้อพลอยไปแล้ว ยูไม่มีความสุขภายใน 3 เดือนยูเอามาคืนได้นะ เราทำงานเราก็อยากให้เพื่อนได้ใช้ของดี เราก็ได้เงินจากเพื่อนใช้เรื่อยๆ
“สิ่งที่เราให้ เราให้ด้วยใจ ถ้าไปฝืนให้มันไม่มีความสุข ใครจะมีเพื่อนมากเท่ากับผม ผมมีเพื่อนเป็นนักการเมืองเยอะแยะ มีเพื่อนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผมไปเหนือ ลงภาคใต้ ที่ไหนโทรศัพท์กริ๊งเดียว จะมีเพื่อนมากินข้าวมาเฮฮา มารับไปดูแล ถ้าเราไม่ให้เขา แล้วเขาจะให้เราเหรอ ผมไปไหนผมจึงได้รับเกียรติเสมอๆ
“คนเราเกิดมาต้องมีเพื่อน การตอบแทนสังคมนอกจากเรื่องให้การศึกษา นำเอาวิทยาเขต มหาวิทยาลัยรามคำแหงมาไว้ที่ตำบลบ่อพลอย คนสามารถขี่จักรยานไปเรียนได้ ตอนนี้มีถึงระดับปริญญาโทแล้ว อีกเรื่องวันนี้ ผมทำธุรกิจอย่างนี้ออกมา ผมให้ประโยชน์กับคนที่ผมได้ด้วย ทั้งทหารกองพลที่ 9 หรือคนในพื้นที่ ครูบาอาจารย์มาเล่นกอล์ฟ เราคิดค่าเล่นเพียงนิดหน่อย เพื่อให้เขาได้เข้ามาออกกำลังกาย ให้มีการพบปะสังสรรค์ พูดคุยกัน ไม่ได้คิดเป็นธุรกิจการค้าเท่าไร คิดว่าพวกเราอยู่ได้ แล้วพวกเขาออกกำลังกายได้ง่ายๆ เขาอยู่ได้ เราก็อยู่ได้ แล้วเขาจะพูดถึงเราไปในทางที่ดี เราได้ฟังจากใครก็ได้ที่ชมเรา เราก็มีความสุขแล้ว เพราะเราไม่เอาเปรียบกัน
“การกตัญญูรู้คุณคนจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่ให้กำเนิดเรามา หากญาณของคุณแม่ยังอยู่สามารถรับรู้ได้ ท่านคงหัวเราะเพราะเมื่อก่อนเคยมีหมอดูพูดกับคุณแม่และเป็นจริงได้ เพราะตอนผมยังเด็ก ผมเกเรมาก และมีหมอดูคนหนึ่งมาทำนายทายทักผมกับแม่ว่า ลูกคนนี้ในอนาคตต่อไปข้างหน้าจะได้เป็นเจ้าคน นายคน แม่ผมบอกกับหมอดูว่า ‘มันจะเป็นไปได้อย่างไร เรียนก็ไม่ได้เรียน ทำงานก๊อกๆ แก๊กๆ ไปเรื่อย’ ใครจะไปนึกว่า คนที่เคยขับรถสองแถวจะมาเป็นผู้แทนราษฎรได้ ฉะนั้นถ้าแม่ผมยังอยู่ทุกวันนี้ ท่านก็คงจะนั่งหัวเราะชอบใจ ผมคงจะพูดกับแม่ว่าขอบคุณจริงๆ ที่แม่ให้ผมมาเกิดและผมได้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับคนโดยรวมและประเทศชาติ สมกับที่เป็นลูกของคุณแม่ ส่วนคุณพ่อผมตอนนี้อายุ 80 กว่าปี พวกเราพี่ๆ น้องๆ ก็ช่วยกันดูแลท่านอย่างดี อะไรก็แล้วแต่ เรามีปัญญาทำอะไร เพื่อคุณพ่อพวกเรามีความสุข จะต้องทำ ทำให้ดีที่สุดเพราะพ่อกับแม่มีเพียงคนเดียว เวลาเราคิดร้ายคิดไม่ดี แล้วหวนคิดถึง เอ๊ะ ลูกเราก็ดี ภรรยาเราก็ดี พ่อกับแม่ก็สอนเรามาดี เราคิดอย่างนั้นไม่ได้ ลืมเสียเถอะ ไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์ดีกว่า ถ้าเราคิดไม่ดีไป คนอื่นไม่รู้ แต่เรารู้เมื่อทำไปก็จะมีแต่ความทุกข์ เพราะฉะนั้นอย่าไปสร้างอะไรที่มันเป็นเวรเป็นกรรมเลย
“ผมอยู่ที่นี่ ทุกคนจะให้ฉายาผมว่าเป็นเจ้าพ่อเหมืองพลอย เป็นการยอมรับในการทำธุรกิจนี้ ไม่ใช่นักเลงหัวไม้ การทำพลอยของพวกเรา ถือว่าเราทำพลอยเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ เหมืองของเราทำก่อนเขา ทุกคนจะห่วงว่าต้องเจ๊งก่อนคนอื่น ผมบอกว่าไม่ต้องมาห่วง