“นมวัว”
แต่ในความเป็นจริง ประโยชน์ของนมวัวหรือผลิตภัณฑ์จากนมวัวไม่ได้มีคุณค่ามากเท่ากับคำโฆษณา โดยก่อนหน้านี้เมื่อสักหลายปีก่อน หมอเองก็เคยเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับนมวัวลงในเว็บไซต์แห่งหนึ่ง ชื่อเรื่องว่า “จริงหรือที่ว่า รักใครให้ดื่มนม?” และเพื่อให้ชาว MiX ได้รู้จักโทษที่มีมากกว่าประโยชน์ของนมวัว หมอจะเล่ารายละเอียดของนมวัวอีกครั้งหนึ่ง
สิ่งแรกที่ต้องทราบก็คือ นมวัวหรือผลิตภัณฑ์จากนมวัว เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำขึ้นมาจากสัตว์ ทำให้มีไขมันอิ่มตัวเป็นส่วนประกอบในปริมาณมาก ซึ่งเจ้าไขมันอิ่มตัวเหล่านี้เป็นสาเหตุของโรคไขมัน คอลเลสเตอรอลในเลือดสูง และยังส่งผลให้เกิดอาการเส้นเลือดหัวใจอุดตันอีกด้วย ครั้งหนึ่งเราอุตสาห์หนีจากน้ำมันหมูอันเป็นต้นเหตุของสารพัดโรคที่เกี่ยวกับไขมัน หลอดเลือด มาได้ แต่แล้ววันนี้เรากลับจะเลือกดื่มนมวัวอีกหรือ?
นมวัวไม่ใช่เพียงแค่มีไขมันอิ่มตัวเป็นส่วนประกอบสูงเท่านั้น ครั้งหนึ่งหมอเคยได้ฟังผู้มีประสบการณ์อย่าง ศ.น.พ.สุขสวัสดิ์ เพ็ญสุวรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อ ท่านเล่าว่าเคยทำงานวิจัยชิ้นหนึ่งในอาสาสมัครที่เป็นพลทหาร โดยให้พวกเขาดื่มนมวัวแล้วส่องกล้องเพื่อดู เยื่อบุลำไส้ของอาสาสมัครเหล่านี้
ปรากฏว่าผลที่ออกมาเป็นที่น่าตกใจอย่างยิ่ง เพราะอาสาสมัครเหล่านี้ 100 % มีเยื่อบุลำไส้บวมกันหมด ผลที่ออกมานั้นแสดงถึงภาวะภูมิแพ้ของคนไทยต่อการดื่มนมวัว เพียงทว่าบางคนแสดงอาการด้วยภาวะท้องเสีย และก็มีบางคนถ่ายปกติ ทั้งๆ ที่เยื่อบุลำไส้บวม
นอกจากนี้ยังมีงานของ น.พ.เอส. ซี. ทรูเลิฟ ในวารสาร British Medical Journal เมื่อปี ค.ศ. 1961 และงานของ ดี.โจเชฟ ซักคา ในวารสาร Annual of allergy เมื่อ พ.ค.1971 ระบุไว้อย่างชัดเจนถึงความสัมพันธ์ของการดื่มนมวัวกับการเกิดอาการลำไส้อักเสบจากภาวะภูมิแพ้
กลไกที่ทำให้เกิดการแพ้นมวัวเป็นไปได้หลายประการ เช่นแพ้แลกโตสในนม ซึ่งคนเอเชียร้อยละ 80 ไม่มีน้ำย่อยโปรตีนชนิดนี้ และเมื่อไรก็ตามที่เกิดอาการแพ้ก็จะทำให้มีอาการท้องเสีย แต่ก็จะหายได้เอง เพราะร่างกายพยายามสร้างเอนไซม์ออกมาเพื่อบรรเทาอาการ
แต่ถ้าไม่ใช่แพ้แลกโตส แต่เป็นการแพ้เคซีนในนม ซึ่งแม้นักวิชาการบางท่านจะกล่าวว่า เคซีนเป็นโปรตีนธรรมดาที่ร่างกายสามารถย่อยให้กลายเป็นกรดอะมิโนได้ แต่ในความเป็นจริง โปรตีนเคซีนที่เข้าสู่ร่างกาย ใช่ว่าจะย่อยและถูกดูดซึมไปใช้ได้หมด อาจมีบางส่วนที่ตกค้างอยู่ ซึ่งเมื่อโปรตีนที่ไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้ไปจับกับน้ำดีก็จะเกิดเป็นสารประกอบเชิงซ้อนชนิดหนึ่ง ซึ่งถูกแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ย่อยสลาย ทำให้เกิดการบูดเน่า แถมสารตัวนี้ยังเป็น immune complex ที่กระตุ้นปฏิกิริยาภูมิแพ้เฉพาะถิ่นขึ้นที่เยื่อบุลำไส้ของเราอีกด้วย
สำหรับในรายที่มีอาการท้องผูก เพราะนิสัยของคนที่กินเนื้อสัตว์ นมเนย มักจะไม่ค่อยกินอาหารเส้นใย อุจจาระที่แข็งจะครูดผ่านเยื่อบุลำไส้ทำให้สารประกอบโปรตีนเหล่านี้หลุดเข้าสู่ร่างกาย ก่อให้เกิดภูมิแพ้ตามมาอีก
อาการแพ้นมวัวเฉพาะที่ในทางเดินอาหารของบางคนอาจมีอาการท้องผูกสลับท้องเสีย ส่วนภูมิแพ้ที่เกิดจากการดูดซึมสารภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายก็แสดงอาการด้วยการคัดจมูก เป็นหวัดตลอดปี หอบหืด หรือ ผื่นแพ้ผิวหนัง เกิดขึ้นได้ง่ายทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วยังจะฝาก “นมวัว” ไว้เป็นคำตอบสุดท้ายของชีวิตอีกหรือครับ?
Label This!
มีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Public Health ระบุไว้ว่า การติดฉลากว่าผู้บริโภคต้องออกกำลังกายเท่าไร จึงจะสามารถขจัดแคลอรี่จากอาหารขยะได้หมด เป็นวิธีการที่น่าสนใจที่สุด
คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ได้ติดป้ายเตือนด้านนอกร้านค้าไว้ 3 แบบ เพื่อทดลองว่าป้ายแบบไหนทำให้วัยรุ่นขยาดน้ำอัดลมสุดๆ ป้ายแรกเตือนว่า “น้ำอัดลม 1 กระป๋องให้พลังงาน 250 กิโลแคลอรี่” ป้ายที่สองเตือนว่า “น้ำอัดลม 1 กระป๋องให้พลังงาน 10% ของที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน” และป้ายสุดท้ายเตือนว่า “ต้องวิ่งอย่างน้อย 50 นาที เพื่อกำจัดแคลอรี่จากน้ำอัดลม 1 กระป๋องที่ดื่มเข้าไป”
แน่นอนครับ ป้ายที่ 3 ที่ได้ผลสูงที่สุด เพราะทำให้ยอดขายลดลง เพราะคนไม่กลัวแคลอรี่ แต่กลัวการออกกำลังกายจริงๆ