ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์

ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์

1.

ลีลาการจัดรายการของเขา ใครๆ ที่ได้เห็นก็ต้องอมยิ้มในคำพูด ไม่แพ้รสชาติของอาหารที่มีคนยอมรับรสฝีมือว่าของจริง เขาเป็นหนึ่งในอาจารย์ที่หลายคนเอาบุคลิกไปล้อเลียนมากที่สุดคนหนึ่ง 
ไม่เว้นแม้กระทั่งคำพูดที่คล้ายเป็นเหมือนสโลแกนประจำตัวไปแล้วว่า “...มีอะไรก็ใส่ๆ ไปเถอะนะคุณผู้ชม เดี๋ยวมันก็อร่อยเองนั่นแหละ...”

 

นี่คือภาพบางส่วนของรายการอาหารที่อาจารย์ยิ่งศักดิ์ทำอยู่ในหลายช่องและหลายรายการ แต่ชีวิตของเขาไม่ได้มีอยู่เพียงมุมนี้เพราะตอนนี้สิ่งที่เขากำลังตั้งสมาธิมุ่งมั่นอยู่ในขณะนี้ก็คือ One Channel Asia ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที่เน้นเรื่องของอาหารและการท่องเที่ยว (Food and Travel) โดยเขาเป็นหุ้นส่วนสำคัญคนหนึ่งและดำรงตำแหน่ง Executive Sales Director ซึ่งนับเป็นงานใหม่ที่ท้าทายความสามารถเป็นอย่างยิ่ง

 

“ตอนแรกๆ ฉันก็เช่าช่องดาวเทียมต่างๆ เพื่อออกอากาศรายการทำกับข้าว เสร็จแล้วสิ่งที่ค้นพบก็คือการจัดผังไม่ดีรูปแบบรายการไม่ดี หมายถึงรูปแบบของช่อง ความชัดเจนแต่ละสถานีมันไม่มี แล้วบางครั้งก็เกิดอยากจะจัดผัง เปลี่ยนเวลา เราก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยมั่นคง แล้วก็ไม่มีใครรู้จักกลุ่มเป้าหมายของลูกค้าที่ชอบดูรายการทำกับข้าวเท่ากับเรา เพราะเราทำมาสิบปี เราก็เลยตัดสินใจเลือกที่จะเป็นเจ้าของช่องรายการทีวีสักหนึ่งช่อง แล้วฉันทำคนเดียวไม่ไหว ก็เลยมองหาเพื่อนๆ พอดีได้รู้จักคุณกันฐพัทธ์ กีรติพงศานต์ เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ เราก็คิดว่าในการทำธุรกิจนั้น เรามีเงินเราก็ทำกับใครก็ได้ แต่ความเป็นเพื่อนเราก็มีด้วยแล้วเขาก็เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เราชอบเขาตรงที่เขามีความรู้ทางด้านเทคนิค เขารู้จริง รู้ลึก เราก็เลยมั่นใจว่าถ้าเราลงทุนกับเขา ถึงแม้ว่าจะเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ไม่ได้สูงมาก แต่ฉันก็ภูมิใจว่าได้มีสถานีโทรทัศน์ที่เป็นของตัวเอง ฉันก็เลยตัดสินใจทำ นั่นจึงเป็นที่มาของ One Channel Asia”

 

ปัจจุบัน One Channel Asia เพิ่งจะเปิดตัวได้ไม่นานนัก แต่ก็เป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความชัดเจนของแนวทางช่อง โดยเฉพาะเรื่องของ Food and Travel นั้น อาจารย์ยิ่งศักดิ์บอกว่าเรื่องของอาหารนั้นต้องมีสัดส่วนที่มากอยู่แล้ว แต่เรื่องของการท่องเที่ยวนั้นก็ต้องเยอะไม่แพ้กัน เพราะถือเป็นอาวุธสำคัญที่จะช่วยฟื้นฟูการท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยได้ โดยตั้งใจไว้ว่าOne Channel Asia จะเป็นช่องที่เกี่ยวกับอาหารและการท่องเที่ยวที่ไม่ใช่เพียงของประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นของทั้งโลกและ
จะเป็นช่องของประเทศไทยเพียงช่องเดียวที่ทันสมัยที่สุด ทันเหตุการณ์โลกมากที่สุด

 

“จุดเด่นของเราก็คือเทคนิคการผลิตรายการ เพราะ One Channel Asia เป็นช่องที่มีความทันสมัยมาก ภาพที่ออกมาในสายตาคนดูนั้น เรามั่นใจว่ามีลีลาการออนแอร์ที่ดีมาก ภาษาของฉันเรียกว่า โดน”

2.

ภาพของอาจารย์ยิ่งศักดิ์ตามสื่อต่างๆ นั้นอาจจะดูแรง แต่พอเจอตัวจริงๆ เขากลับพูดจาแบบสุภาพแถมยังออกตัวว่า “ชีวิตฉันไม่มีอะไรหรอก จริงๆ นะ” ด้วยท่าทางและคำพูดที่ถ่อมตนแบบนี้ ไม่แปลกเลยว่าทำไมเขาจึงเป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป

 

“ภาพที่ทุกคนมองเราเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ เราเป็นภาพลักษณ์ขององค์กร เราเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับทุนวิจัยของตัวเอง เราทำมาร์เก็ตติ้งให้กับธุรกิจของตัวเองด้วยชีวิต อันนี้คือสิ่งที่เราเป็นมาทั้งหมด แต่ในความเป็นจริงเราก็เหมือนเป็น 2 คาแร็คเตอร์ จริงๆแล้วฉันเป็นคนเงียบ เป็นคนเฉยๆ ถ้าเกิดมีเวลาว่าง เราก็จะนั่งนิ่งๆ ไม่ปรารถนาสังคมที่มันวุ่นวายมาก ความเป็นคนดัง ความเป็นไฮโซที่ต้องออกงานในบางครั้ง ถามว่าเต็มใจไหม ก็เต็มใจไปนะ แต่ถามว่าเต็มใจทุกครั้งไหม ก็ไม่ทุกครั้ง

 

“ฉันกินข้าวฟรีทุกวัน มื้อละเป็นหมื่น ไม่ต้องเสียเงินเลย อาจารย์ยิ่งศักดิ์ออกงานสังคมจะมีข้าวกินทุกที่ ในโรงแรมหรูๆ แค่ไปยืนถ่ายรูป ยกแก้วให้คนเขาเห็นหน่อย อะไรที่ว่าแพงๆ เชฟที่ว่าดังที่สุดของโลก เขามาถึง ทำกับข้าวจานแรก เขาก็เรียกฉันไปกิน ก็อร่อยนะยอมรับ แต่ถามว่าให้อะไรกับตัวเองไหม มันให้เครดิตและหน้าที่สังคม แต่มนุษย์ต้องมี 2 ส่วนนะ จะให้หนักไปที่ส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้ วัยใกล้จะ 60 ปี ฉันรู้ตัวดีว่าฉันปรารถนาความเป็นตัวของตัวเองที่สุด”

3.

ใครๆ ก็รู้ดีว่าอาจารย์ยิ่งศักดิ์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารทั้งการลงมือทำและการถ่ายทอดความรู้ แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะมาถึงวันนี้ได้อย่างง่ายดาย ภาพความสำเร็จของคนคนหนึ่งอาจใหญ่โตเกินไป จนทำให้คนเรามองไม่เห็นเบื้องหลังขั้นบันไดของความยากเข็ญที่ต้องผ่านมา อาจารย์ยิ่งศักดิ์ก็คือมนุษย์อีกคนหนึ่งที่ฝ่ามรสุมแห่งความยากลำบากและมุ่งสู่แสงทางชีวิตของความสำเร็จได้ด้วยตัวเอง

 

“คุณแม่ของฉันเป็นชาวสวน จบ ป.4 พ่อมาจากเมืองจีน ตอนแต่งงานกัน แล้วก็มีฉันเกิดขึ้นมาได้ขวบกว่า ก็มีน้องสาวอีกหนึ่งคนและนี่คือสิ่งเดียวที่รู้สึกภูมิใจคือเตี่ยอ่านเขียนภาษาไทยไม่ได้ แต่บอกว่าถึงจะจนมีเสื้อผ้ามาจากเมืองจีนชุดเดียว แต่ส่งลูก 2คนจบปริญญาทั้งคู่ นี่คืความภูมิใจแต่เรามีความรู้สึกด้วยว่าสิ่งเดียวที่จะทำให้เราหลีกหนีจากความจนได้คือการศึกษา ฉันอาจเป็นคนที่มีทักษะเป็นช่างที่มีฝีมือแต่จบ ป.4 หรือไม่ได้เรียนหนังสือ แต่วันหนึ่งอาจไม่มีใครนับหน้าถือตาในสังคมเพราะว่าฉันไม่มีวุฒิทางการศึกษา

 

“ฉันคิดว่าได้แบบอย่างมาจากพ่อกับแม่ ความเชื่อบ้านเราเป็นแบบนี้จริงๆ แต่ละครอบครัวจะมีวัฒนธรรมของแต่ละครอบครัวที่ไม่เหมือนกัน แล้วหลายๆ วัฒนธรรมของครอบครัวก็กลายเป็นวัฒนธรรมของประเทศ อันนี้คือสิ่งที่ฉันคิด บ้านเรามีอัตลักษณ์ที่ชัดเจนคือความขยัน พ่อเราจะต้องเป็นคนที่ตื่นเช้าไปทำงาน กลับ 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม เสาร์อาทิตย์ก็ทำความสะอาดบ้าน ทำนั่นทำนี่แทบจะเป็นคนที่ไม่อยู่เฉย แม่นี่ยิ่งหนักเลย เช้าแม่จะตื่นขึ้นมาหุงข้าว ทำกับข้าว ซักผ้า รีดผ้า พอลูกไปโรงเรียนก็จะไปเอายางรองเท้าที่เป็นรองเท้าแตะที่อยู่ในห้องน้ำเอามาตัด ตั้ง 144 ข้าง ได้แค่ 10 สลึง สมัยก่อนก็กินก๋วยเตี๋ยวได้แล้วนะ แม่ก็ทำตัดจนมือด้าน แพ้ยาง มือไม้เยินหมด ฉันเห็นมาตลอด”

เขาเล่าต่อว่าชีวิตที่เคยลำบากมากที่สุดก็คือ ไข่ต้มหนึ่งลูกต้องแบ่งกันกินกับน้องสาว ยิ่งเลวร้ายไปกว่านั้นเมื่อต้องทำงานหนักโดยการตื่นแต่ตี 4 มาช่วยครอบครัวขายของทุกวัน ทำให้ตัวเขาเองเป็นลมระหว่างขึ้นรถเมล์ไปเรียน

 

“ตั้งแต่ 5 ขวบฉันก็ต้องซาวข้าว หุงข้าว ติดเตาถ่าน ฉันเป็นคนทำกับข้าวตั้งแต่ 5 ขวบ ซักผ้า ล้างจาน ถูบ้าน ล้างส้วม ก็เป็นคนทำ เพราะน้องสาวยังเด็ก ฉันรู้สึกว่าฉันรักน้อง ไม่อยากให้น้องสาวลำบาก ฉันต้องทำเอง ฉันภูมิใจตรงที่ว่าพอทำอะไรเสร็จแล้วแม่ก็ชมว่าเป็นเด็กดี ฉันว่าฉันเป็น Born to be ที่ชอบบริการคนตั้งแต่เด็ก นี่คือความรู้สึกว่าฉันมีความสุข วันนี้ไม่แปลกใจเลยว่าฉันทำกับข้าวจานหนึ่งแล้วมีคนบอกว่า น่ากินจังเลย อร่อย เกิดมาไม่เคยกิน ฉันจะภูมิใจมาก

 

“นี่เป็นจุดๆ หนึ่งที่เกิดขึ้นในตัวเองว่าฉันเป็นคนที่ชอบบริการคน เรารู้ตัวเราเอง แต่เราไม่รู้หรอกว่า เราจะมีอาชีพอะไร ถ้าเราเป็นเด็ก สมองเราไม่เปิดพอหรอกว่าเราจะเป็นอะไร ไม่มีทางรับรู้ได้เลย รู้แต่ว่าเราต้องไปเรียนหนังสือ โรงเรียนนีรนาถพิทยาเป็นโรงเรียนแห่งแรกที่ฉันเข้าศึกษาในระดับประถม จากนั้นไปต่อที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศจนจบ ป.7 และ มศ.3 ก่อนจะไปต่อระดับสูงที่วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จในสมัยนั้น

 

“ตอนนั้นฉันเป็นหนุ่มแล้ว ก็เริ่มสับสนในตัวเอง วุ่นวายมาก มันกลัวไปหมด ไม่รู้ว่าทำไมฉันไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเองเลย ตอนเป็นวัยรุ่นคือบอกไม่ถูกว่าทำไมเป็นแบบนี้ คือฉันหงอยๆ อย่างบอกไม่ถูก มันอาจจะเป็นจากสิ่งแวดล้อมในครอบครัว การทำงานแล้วก็อะไรหลายๆ อย่าง วัฒนธรรมที่คิดแหกคอกหน่อยก็ไม่ได้ ไว้ผมยาวหน่อยก็ไม่ได้ เจาะหูหน่อยไม่ได้ จำกัดทุกอย่าง

“ฉันมีความรู้สึกว่าชาติกำเนิดนั้นเลือกไม่ได้ แต่ฉันเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ในสังคมนี้ได้ และฉันก็รู้ว่าสิ่งที่จะทำให้ฉันอยู่ได้อย่างฉลาดแล้วเป็นทางลัด นั่นคือการศึกษาตัวเดียวเท่านั้นที่จะทำให้คนเป็นคน คุณก็เกิดมามีขา แขน มีสมอง มีพ่อมีแม่ เหมือนกันหมด นั่นคืออินพุท แต่กระบวนการที่จะทำให้คุณมีเอาท์พุทที่จะให้เป็นคนดีคนเก่งในสังคมได้ต้องมีกระบวนการที่ผ่านเข้ามาในชีวิต คำเดียวเลยก็คือการศึกษาเท่านั้น”

 

เมื่อเรียนจบ ก่อนที่เขาจะไปเป็นครูสอนเด็กในวิชาภาษาอังกฤษและภาษาไทยให้กับเด็กช่างก่อสร้างในสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่านักเรียนมีเรื่องกับคู่อริบ่อยครั้ง ทำให้คุณแม่ของอาจารย์ยิ่งศักดิ์เป็นห่วงในความไม่ปลอดภัยจึงขอร้องให้เขาออกมาทำงานที่อื่นและได้งานเป็นครูสอนนักเรียนอนุบาลอยู่พักหนึ่ง เมื่อพบว่าไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง เขาจึงออกมาทำงานอีกครั้งในโรงงานแป้งสำหรับทำอาหาร

 

“ไปอยู่โรงแป้ง ฉันลองทำขนมแบบลองผิดลองถูกจนกระทั่งทำเป็น และมีคนสอนสูตร ต้องเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ ต้องมีการจับเวลา มีตวงมาตราที่ชัดเจน คือสอนจนหมดทุกอย่าง ในที่สุดก็ทำขนมตามหลักวิทยาศาสตร์เป็น แล้วก็ออกไปเยี่ยมลูกค้า ไปเห็นการขนมเค้ก ก็ได้สูตร ไปเห็นการทำคุกี้ก็ได้สูตร ไปเห็นการทำขนมปังก็ได้สูตร การไปเยี่ยมลูกค้า 3 ปีก็ได้สูตรมาเยอะ

 

“ยิ่งศักดิ์เป็นคนที่ไม่ชอบก๊อปปี้สูตร ใครบอกเคล็ดลับนี่อร่อย ถามว่าฉันถ้าทำเป็นแล้วฉันจะต้องดังเท่าร้านนี้ไหม เป็นไปไม่ได้เพราะร้านเขาดังก่อน ยิ่งศักดิ์เป็นคนที่ชอบมองจุดเด่น คุณชอบเค้กที่มันนุ่มๆ ใช่ไหม คุณชอบกลิ่นเนยหอมๆ ใช่ไหม แล้วคุณก็ชอบที่มันไม่อ้วนใช่ไหม เราจะดึงจุดเด่นมา ฉันเอาสิ่งที่ดีที่สุดของแต่ละอย่างมารวมกัน แล้วมันจะเป็นจุดรวมของชีวิตเอกลักษณ์ เอกลักษณ์ และเอกลักษณ์ เป็นอัตลักษณ์”

 

พอทำงานที่โรงแป้งผลิตขนมได้สักพัก เขาก็รู้สึกว่าโรงงานมันไกลจากบ้านมาก เสียเวลาเดินทางต่อวันอยู่หลายชั่วโมง บวกกับความอิ่มตัว อาจารย์ยิ่งศักดิ์จึงรู้สึกว่าได้เวลาของตัวเองแล้ว จึงลาออกมาเปิดโรงเรียนสอนทำขนมขนาดเล็กๆ ที่มีเงินทุนเพียงสองหมื่นบาทในการขับเคลื่อนธุรกิจนี้

 

“ตอนนั้นเริ่มทำขนมขายเล็กๆ กับที่บ้าน แล้วฉันก็เอาขนมเข้าไปประกวดที่สมาคมสตรีไทย ฉันก็ได้ที่ 2 แต่แปลกนะ ส่วนใหญ่คนได้ที่ 2 จะดังกว่าคนได้ที่ 1 เสมอ เพราะว่าชีวิตต้องมีการอินพุท ที่ 1 จะภูมิใจมาก แต่ไม่อินพุท ฉันไม่ต้องการความเป็นที่ 1เลย เรารู้ว่าอยู่ในตำแหน่งไหนที่ 1 ถึง 3 เราต้องติดโผ แต่ฉันไม่ใช่ที่ 1 ยังไงชีวิตฉันก็ไม่ยอมรับความเป็นที่ 1 มันต้องเหมือนน้ำที่ต้องเติมตลอด ถ้าโลกใบนี้มันยังหมุนไปตลอด ทำไมฉันไม่หมุนตามโลก ถ้าหยุดอยู่กับที่ก็คือถอยหลัง”

 

ด้วยความที่เป็นโรงเรียนสอนทำอาหารที่เอาจริงเอาจัง ทำให้เริ่มมีการขยับขยายสาขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่สมาคม YWCA ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่มีการเปิดสอน แต่งบด้วยประมาณที่ต่ำ ทำให้การโปรโมทมีน้อย ทำได้เพียงแค่โฆษณาขนาดเล็กในหนังสือพิมพ์เท่านั้น

 

“มีอยู่วันหนึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเลยก็ว่าได้ เมื่อรายการทีวีเจาะใจเขามาเชิญฉันไปออกรายการ ปรากฏว่าวันที่ฉันออกเจาะใจเสร็จนะ อาทิตย์เดียว ฉันเก็บค่าเรียนได้ถึงสามล้านบาท ตอนนั้นคุณดำรง พุฒตาล แล้วก็คุณดู๋ สัญญา คุณากรสัมภาษณ์ ฉันตอบด้วยลีลาฉะฉานจนคนเขามองว่ามีคนแบบนี้บนโลกด้วยหรือ”

 

จากจุดเปลี่ยนในวันนั้นทำให้ในวันนี้แนวคิดการถ่ายทอดวิชาความรู้จึงเข้ามาเปิดสอนในสถาบัน กลายเป็นโรงเรียนที่มีมาตรฐานแห่งหนึ่งของประเทศไทยนั่นคือ โรงเรียนธุรกิจการอาหารไทยและนานาชาติ ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ กับ โรงเรียนศิลปศาสตร์การอาหาร ซึ่งอยู่ที่เชียงใหม่

 

“ฉันเปิดโรงเรียนด้วยศรัทธา แล้วฉันก็เก่งจนเป็นครูคนได้ ในความเป็นจริงมีคนเก่งมาก แต่สอนใครไม่ได้ ฉันเก่งจนฉันสอนคนได้ เซ็ตระบบการสอนได้ สร้างสถาบันการศึกษาได้ นั่นคือความรู้ที่ฉันมี เป็นโรงเรียนที่กระทรวงศึกษาธิการอนุมัติเปิดสอนเอกชนอาหารโรงเรียนเดียว

 

“จุดเด่นของที่นี่ชัดเจน คือเด็กที่ไม่ชอบสายสามัญ แล้วชอบวิชาการเรียนทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ ที่นี่เป็นที่เพาะถั่วงอก เพาะเมล็ดที่เรียกว่า Young Chef ได้ดีที่สุด พอจบแล้วเขาจะไปเรียนต่อก็ได้ หรือจะไปทำงานต่างประเทศก็สามารถขอ Work Permit ได้เลย ฉันเอาหลักสูตรที่สอนผู้ใหญ่มาใส่เด็ก เด็กพวกนี้จะแกะผลไม้และอาหารยุโรปเก่ง ดาราช่อง 3 ยังเรียนอยู่นี่เลยนะขอบอก แล้วจะมีการออกสาธิตจนมีความกล้าในตัวเอง จะทำอาหาร จะแนะผลิตภัณฑ์ จะทำอะไรก็น่ากินไปหมด”

4.

กลับมาพูดถึงการทำอาหารให้อร่อยกันบ้างว่าเคล็ดลับที่แท้จริงอยู่ตรงไหน บางคนบอกว่าอยู่ตรงที่สูตรและเครื่องปรุงที่เอามารวมกันเป็นส่วนผสมด้วยภาชนะและอุปกรณ์ทันสมัย ที่กล่าวมาทั้งหมดอาจเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ยังไม่ทั้งหมด เพราะเคล็ดลับที่แท้จริงในการทำอาหารของอาจารย์ยิ่งศักดิ์มีอะไรที่มากกว่านั้น

 

“ถ้าคุณได้กินเค้กฉันนะ แค่คำเดียวจะโงหัวไม่ขึ้นเลย ถ้าฉันตั้งใจทำขนมให้ใครคนใดคนหนึ่งนะ คนคนนั้นต้องเป็นทาสฉันไปตลอดชีวิต มีคนหลงฉันจนลมหายใจสุดท้ายก็มี รักฉันขนาดนั้น การทำขนมใครๆ ก็ทำได้ แต่คุณต้องทำด้วยใจ สูตรใครๆ ก็มีทุกคนทำตามสูตรก็ไม่ได้หมายความจะอร่อยเหมือนกันทุกคน พอฉันทำฉันเอาหัวใจของคนกินใส่ลงไป เพราะฉันทำกับข้าวถ้าคิดว่าทำกินเอง อันนี้ไม่ใช่ เพราะฉันทำเพื่อคนอื่น ฉันต้องรู้ว่าลูกชายชอบกินของแห้ง ฉันรู้ว่าลูกสาวชอบน้ำแกง อย่างเราอยู่เราต้องรู้ว่าคาแร็คเตอร์เขาว่าเป็นยังไง เขาจะควรกินอะไร”

 

สิ่งที่อาจารย์ยิ่งศักดิ์กำลังพูดถึงอยู่ก็คือหลักการดูแลสุขภาพการกินและวิถีชีวิตซึ่งเป็นศาสตร์ใหม่ที่เขาตั้งใจเรียนมาก เพราะอาหารการกินส่วนใหญ่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรงหรืออ่อนแอ ยิ่งปัจจุบันอาหารมีหลากหลายรูปแบบ มีการแปรรูปสารพัด จึงเป็นผลเสียต่อมนุษย์มากกว่าผลดี

 

“กฏการรับประทานอาหารในโลกนี้มีอยู่ไม่กี่อย่าง Chemical Free, Organic Food, No Preservative, Non GMOs ฉันยกตัวอย่างอาหารจานที่ควรรับประทานมากที่สุดคือ ไก่บ้านต้มน้ำปลา ไก่บ้านคือไก่ที่ไม่ได้ทำจีเอ็มโอ ไม่ได้ฉีดยา เป็นไก่ที่แข็งแรงมาก แล้วเอามาต้มเอาขมิ้นใส่ลงไป ขมิ้นเป็นตัวต้านสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ป้องกันมะเร็งได้ เมื่อเอาน้ำปลาใส่ลงไปน้ำปลาเกิดจากการหมักปลากับเกลือไม่มีสารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น ใส่น้ำตาลปี๊บลงไป น้ำตาลปี๊บมาจากการเอามะพร้าวไปกวนโดยไม่ได้มีเคมีใดๆ คุณลองมองเมนูเหล่านี้ คุณจะเห็นว่ามันเหมาะกับมนุษย์ชาติ

 

“เช้าตื่นมาก็ควรกินน้ำขวดใหญ่ ฉันพูดทั้งวันเลยนะ คอไม่แห้ง การดื่มน้ำตอนเช้าก็เหมือนเป็นการดีทอกซ์ตัวเอง มันจะเริ่มปวดท้อง แล้วก็ไปเข้าส้วม เพราะน้ำจะเข้าไปสู่ระบบลำไส้ใหญ่ มันจะเป็นตัวเดียวที่ทำให้ระบบลำไส้สะอาดอย่างรวดเร็ว เจ็ดโมงเป็นต้นไปคือเวลาของกระเพาะอาหาร คุณจะต้องทานอาหารให้เต็มที่ กลางวันคุณทานอาหารจานเดียวแบบเร่งด่วนตามใจ ตอนเย็นคุณจะกินอะไรก็ได้ แต่ต้องกินก่อน 5 โมงเย็น แต่สำหรับฉัน ฉันดื่มไวน์ทุกวันมาตั้ง 30 ปี ผิวฉันถึงได้ดี”

5.

หน้าที่การงานที่อาจารย์ยิ่งศักดิ์ได้ก่อร่างสร้างตัวเองขึ้นมาแล้วบริหารได้อย่างไม่มีบกพร่อง นั่นคือสิ่งที่อยู่ภายนอก แต่สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจคือเรื่องของรัก โดยเฉพาะความรักความห่วงใยที่มีต่อลูกๆ ที่มีอยู่ทั้ง 2 คน คนโตเป็นผู้หญิง จบปริญญาตรีคณะครุศาสตร์ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกำลังศึกษาต่อปริญญาโท ส่วนลูกชายก็จบวิศวกรรมศาสตร์ภาคอินเตอร์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ลูกทั้งสองคนต่างตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะต้องจบดอกเตอร์ก่อนอายุ 30 ปี เมื่อพูดถึงสิ่งเหล่านี้ ภาพความเป็นพ่อในตัวเขาก็ฉายออกมาราวกับเป็นคนละคนที่อยู่ในโทรทัศน์ สีหน้าที่จริงจัง เข้มขึง ในบทบาทของความเป็นพ่อแทรกเข้ามาทันที

 

“จำได้ว่าผมลงทุนเปิดโรงเรียนทำอาหาร พ่อก็ด่าใหญ่เลย แต่เราลืมไปว่าพ่อสอนลูกอยู่ 2 แบบ สอนแบบพ่อทั่วไปกับแบบตรงข้าม คือในแง่บวกและลบ พ่อฉันเก่งในการสอนแบบแง่ลบ คือทำให้กลัว ทุกวันนี้ฉันก็เอาหลักการแบบนี้มาสอนลูกเหมือนกัน

 

“เราดีใจตรงที่คิดว่าคิดได้ว่าการศึกษาเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาเป็นคนได้ ไม่ใช่ชาติกำเนิด ไม่ใช่เงินทอง คนเกิดเป็นพ่อคนเป็นแม่คนไม่ใช่มีความรับผิดชอบอย่างเดียวก็พอ คนหลายคนมีความสามารถที่จะมีลูกได้ แต่ไม่มีความสามารถพอที่จะเป็นต้นแบบเลยเพราะฉะนั้นต้องให้สังคมเป็นผู้ที่สอนและเลี้ยง ลองหลับตาดูว่าสังคมมีความหลากหลายแค่ไหน เด็กคนนั้นจะเลอะไปด้วยสีกี่สีแล้วลวดลายจะเป็นอย่างไร คุณคิดว่าคนอื่นจะสอนลูกคุณจริงใจกว่าตัวคุณเองไหม วันนี้ผมสอนลูกผมทุกคนสอนแต่มุมสว่างสอนแต่สิ่งทีดีแล้วให้ลูกไปแอบเรียนกับสังคม ในขณะที่ผมสอนมุมไม่ดีให้กับลูกผมเอาสิ่งที่มืดมาทำให้สว่าง แล้วสอนเขาด้วยเหตุและผล สอนด้วยหลักวิชาการให้เขารู้”

 

การสอนลูกของอาจารย์จะใช้วิธีการที่ไม่เหมือนคนอื่น อย่างการเวลาพักผ่อนกับครอบครัวที่บ้าน เขาจะให้ลูกเป็นคนทำกับข้าวโดยเป็นเมนูที่ไม่จำกัดว่าจะทำอะไร พอทำออกมา เขาจะให้กำลังใจว่าทำดีแล้ว แต่ในความเป็นจริงตัวเขาเองรู้ดีว่าอาหารจานเดียวอาจไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่แฝงเข้ามาจากโจทย์ที่ให้ไป

 

“เราเคยพูดกับลูกว่าถ้าวันหนึ่งป๊าตายไป แล้วมีคนถามว่าเป็นลูกใคร จะตอบว่าอย่างไร เขาตอบว่าเป็นลูกอาจารย์ยิ่งศักดิ์ ไหนลองให้คำจำกัดความสิว่าอาจารย์ยิ่งศักดิ์เป็นใคร ลูกสาวบอกว่าอาจารย์ยิ่งศักด์เป็นเชฟชื่อดัง แล้วก็สอนทำอาหาร ลูกชายบอกเป็นดาราทีวี ฉันบอกว่าไม่เชื่อ ลูกสองคนต้องทำกับข้าวคนละจาน เป็นจานที่แสดงว่าเป็นทายาทฉัน ลูกสองคนก็หันไปหันมาว่าจะทำอะไรดี

 

“พอทำมาเสร็จก็เกิดเถียงกันเรื่องอาหาร ฉันบอกว่าเห็นไหม พวกหนูเกิดมามีนามสกุลเดียวกับป๊า นามสกุลจงเลิศเจษฎาวงศ์ ทันทีที่ป๊าตาย เราเสียทั้งคู่เพราะอะไร เป็นพ่อเก่งชื่อดังสอนคนได้ทั้งประเทศทีวีไปทั่วโลก แต่สอนลูกตัวเองไม่ได้ ฉันแย่จัง ลูกก็เหมือนกัน มีพ่อทำไมไม่ซึมซับเอาจุดนี้ของพ่อมาทำมาหากิน ลูกเลิกไม่ได้ ลูกต้องเรียนแล้วลูกต้องเก่ง วันหนึ่งลูกไม่มีอะไรทำนามสกุลของลูกจะขายได้นะ

 

“จากนั้นเขาก็ไปเรียนทุกอาทิตย์จากเชฟชื่อดังจากโรงแรมดังๆ ที่ได้มาสอนเขาทุกอาทิตย์ ตอนนี้ลูกฉันสองคนทำกับข้าวเก่งมากๆ แล้วตอนนี้ลูกฉันไปออกเมนูในการทำอาหารไทยที่เทศกาลหนังเมืองคานส์มาเรียบร้อยแล้ว ฉันใช้ชีวิตเงียบๆ ไม่ให้ใครรู้แต่ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้เป็นตัวคนเดียว ฉันมีลูกซ้ายขวาและสตาฟฟ์อีก 30 คน เพราะฉะนั้นฉันมั่นใจว่ากองทัพของฉันเป็นกองทัพอาหารที่แข็งแกร่งมากในแผ่นดินไทย”

6. 

วันนี้เราอาจเห็นอาจารย์ยิ่งศักดิ์เป็นอะไรมากมาย เป็นเชฟสอนทำอาหาร เป็นนักแสดง เป็นคณะบดี เป็นบรรณาธิการหนังสือ เป็นพ่อที่ดีของลูก ฯลฯ แต่สิ่งที่แฝงอยู่ในตัวชนิดที่แกะไม่ออกเลยก็คือความเป็นครูผู้ถ่ายทอดวิชา การเป็นครูที่กตัญญูต่อผู้มีพระคุณทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจนทำให้มีวันนี้ได้

 

“สิ่งแรกที่ต้องตอบแทนเลยคือคุณแม่ ไม่มีแม่ไม่มีพ่อฉันคงจะไม่มีวันนี้ ผมเลี้ยงดูแม่ผมอย่างดี ตอนนี้แม่เป็นสารพัดโรค บ่นว่าอยากตาย แต่ผมก็ต้องดูแลแม่ให้ดีที่สุด คนต่อมาก็คือครูบาอาจารย์คนแรกที่จับมือผมเขียน ก. ไก่ ก็คือครูประภาศรี เหมือนปิ๋วซึ่งคาดว่าเสียชีวิตไปแล้ว ต่อมาคือคนที่สอนผมทำอาหารแล้วทำให้ผมมีชื่อเสียงอยู่ 3 คน คนที่หนึ่งคือครูสุมนา หิรัญบุศย์ คนต่อมาคือครูนิตยา คมธรรม เป็นอาจารย์ที่สอนทำกับข้าวจากราชภัฏบ้านสมเด็จ คนที่สามคือครูละมัย ผลโภค สอนผมทำอาหารแบบวิทยาศาสตร์จากโรงงานแป้ง 3 คนนี้ที่เป็นคนที่ผมต้องจดจำตลอดชีวิตว่าเป็นคนเก่ง นอกจากนั้นยังมีคนอื่นอีกมากที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่มีส่วนทั้งสิ้นที่ให้ผมเป็นแบบนี้ในวันนี้

 

บางทีอาหารก็คงเหมือนกับชีวิตที่มีหลายรสชาติ มีหลากแบบไม่ซ้ำกัน บางครั้งก็หวานมาก บางครั้งก็เผ็ดจนน้ำตาไหล ที่สำคัญการทำอาหารคงเหมือนเป็นตำราที่ไม่มีทางเรียนจบ แม้จะมีสูตรตายตัว แต่ก็ไม่ได้เป็นส่วนผสมที่ทำให้อาหารอร่อยเสมอไป มันเป็นเพียงบรรทัดฐานที่ทำให้ง่ายต่อการศึกษาเท่านั้น สูตรสำเร็จของชีวิตก็เช่นกัน มันคงไม่มีอะไรตายตัวจนเราไม่อาจคาดเดาได้เลย

ผู้สอนการทำอาหารที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี