ทูน หิรัญทรัพย์

ทูน หิรัญทรัพย์

บทบาทใหม่...ในมาดนักธุรกิจ
ปัจจุบันคุณทูนกำลังทุ่มเทให้กับโปรเจ็คท์สำคัญ โดยเขาดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ Airport Vision (APV)ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่นำเอาเรื่องราวทั้งสาระและความบันเทิงเข้ามารวมกัน ถือเป็นการช่วยส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ประเทศไทยอีกช่องทางหนึ่งด้วย

 “ความจริงการเป็นผู้อำนวยการสถานีมันไม่ยาก เพราะสิ่งที่เราก็คือเผยแพร่รายการให้ผู้โดยสาร รายการที่ผลิตจึงค่อนข้างเป็นรายการที่มีสาระ ไม่ได้เน้นเรื่องบันเทิง กีฬา หรือรายการใดรายการหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่โจทย์ที่หนักที่สุดของเราก็คือประชาสัมพันธ์ เพราะ 30% เป็นการประชาสัมพันธ์สนามบิน อีก 25% เป็นโครงการหลวง

“บางคนอาจจะสับสนกับช่องของสุวรรณภูมิ แต่ไม่ใช่ครับ ของผมชื่อ Airport Vision อักษรย่อก็คือ APV แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ส่งสัญญาณขึ้นดาวเทียม คงจะเป็นต้นปีหน้า ตอนนี้เราทำให้คนที่ก่อนจะขึ้นเครื่องได้ชม ที่ปัจจุบันเหมือนโดนบังคับให้ไปนั่งรอโดยเราจะไปสัมภาษณ์ร้านค้ากว่า 200 ร้านที่อยู่ในท่าอากาศยาน ซึ่งนั่นก็คือการโฆษณาอย่างหนึ่ง

“ผมเองไม่ได้มองว่าสนามบินคือที่ที่คนเดินทางมาแล้วก็กลับ แต่มันเป็นห้างสรรพสินค้าย่อยๆ ซึ่งบังเอิญสามารถให้บริการการบินได้ แต่ด้วยระยะเวลาที่ดูรายการ 30 นาที มันนานเกินไป เราก็ต้องดูว่าจะต้องทำอย่างไรเขาจึงจะรู้สึกว่าไม่โดนบังคับ เราจึงทำรายการให้เหลือรายการละ 3-5 นาทีก็พอ แล้วก็เปลี่ยนไปอีกรายหนึ่ง แค่นี้ก็สนุกแล้ว

“ความจริงคนที่เข้ามาที่สนามบินมีคนหลายกลุ่ม เช่น แบ็กแพ็คเกอร์ เศรษฐี เราก็ต้องทำให้เขาประทับใจทั้งขามาและขากลับเราจึงคิดว่าจะทำเกมขึ้นมาเพื่อดึงดูดผู้ที่มาใช้บริการ มีการจับรางวัลเหมือนที่ ดูไบ สิงคโปร์ หรือที่ญี่ปุ่นเขาทำกัน อาจจะมีกระทรวงการท่องเที่ยวฯ มาร่วมกับเรา เพราะมันคือการเชิดหน้าชูตาของประเทศ

“กิจกรรมเหล่านี้ก็คือการเปิดโอกาสให้ผู้โดยสารที่เข้าออกในสนามบินได้มีสิทธิ์ชิงรางวัล เพราะคนที่บินบ่อย ซื้อของบ่อยโอกาสที่จะได้ของรางวัลก็มีมาก อย่างที่ผมบอกว่าถ้าคิดว่าสนามบินเป็นห้าง เขาก็จะมีโปรโมชั่น จับรางวัลผู้ที่โชคดีสะสมคะแนนต้องถามว่าเราทำรึยัง ถ้าเราทำมันจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสนามบินไทย”

ผมชื่อ โรเบิร์ต เซสพีเดส 

เมื่อพูดถึงชื่อของ โรเบิร์ต เซสพีเดส บางคนอาจยังไม่คุ้นสักเท่าไหร่ แต่นี่คือชื่อจริงของคุณทูน คุณพ่อของคุณทูนเป็นชาวฟิลิปปินส์ คุณแม่เป็นคนไทย คุณทูนใช้ชีวิตในประเทศไทยตั้งแต่เด็ก แต่เนื่องจากคุณพ่อเป็นวิศวกร จึงทำให้ต้องย้ายตามคุณพ่อไปในหลายประเทศแถบแอฟริกา ก่อนจะตัดสินใจย้ายไปศึกษาที่ประเทศออสเตรเลีย และที่นี่เองที่เขาได้ประสบการณ์ชีวิตอย่างคุ้มค่า

“บังเอิญชีวิตของผมไม่ได้อำนวยให้ลำบาก แต่ผมอยากลำบาก ก็เลยไปหลอกเด็กฝรั่งว่าไม่เคยเห็นฟาร์ม ไม่รู้ว่าแกะเป็นแบบไหน เพราะอยากไปอยู่กับพวกเขา ก็เลยแกล้งไม่รู้ สุดท้ายก็ได้ไปอยู่บ้านฝรั่ง 2 ปี

“ช่วงนั้นผมเรียนเทควันโดด้วย แล้วตอนนั้น บรูซ ลี ก็ดังมากๆ ผมเป็นคนเอเชีย หัวดำ เขาก็เลยนับถือผม แล้วให้ผมไปสอนเทควันโดที่ YMCA มีการลงหนังสือพิมพ์ทุกวันศุกร์เพื่อจะได้มีคนมาเรียนในวันเสาร์อาทิตย์ ปรากฏว่ามีคนมาเรียนเกือบทุกวัน ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก จนผมไม่มีเวลาเรียน ทำให้ต้องหยุดเรียนไปหนึ่งปี

“จนวันหนึ่งมีลูกศิษย์เทควันโดถามว่าผมทำงานอะไร ผมก็บอกว่าก่อสร้าง พอดีเขาก็ทำเกี่ยวกับทางด้านนี้ ผมก็เลยบอกว่าอยากลองทำดู ก็ได้ไปทำอยู่หลายชั่วโมงต่อวัน เพราะตึกมันติดๆ กัน เขาจะเอาบันไดออกก่อน กำแพงก็ต้องเอาออกทีละก้อน แล้วทุบให้มันหล่นมาข้างใน หนาวมาก ตึกสูง 5 ชั้น  แต่ผมก็ทำงานสนุกมาก ผมชอบนะ เพราะอยากรู้ว่ารสชาติของชีวิตมันเป็นอย่างไร

“ต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่มากๆ ที่ให้สิ่งเหล่านี้มา คุณพ่อให้โอกาสการศึกษา ให้ผมอยู่ในสังคมเปิด ผมเติบโตในช่วงสงครามเวียดนาม อิทธิพลที่คิดว่าดีที่สุดก็คือการเปิดใจ คิดนอกกรอบ การสร้างสรรค์ และ International Relationship ผมเชื่อว่าคนเราสามารถอยู่ร่วมกันได้แม้จะคนละเชื้อชาติ

“ส่วนคุณแม่ก็ให้ในเรื่องของการมีสัมมาคารวะ ให้เกียรติผู้อื่น โดยเฉพาะผู้สูงอายุ คุณแม่เคยบอกผมว่าการพูดตรงๆ ในสังคมบางทีก็ไม่ดี ต้องพูดอ้อมๆ บ้าง เพราะฉะนั้นคุณแม่ก็จะให้ในเรื่องของวัฒนธรรมจารีตที่ถูกต้อง รายละเอียดเรื่องมารยาทเล็กๆน้อยๆ”

ฉากแรกของวงการบันเทิง

หลังจากเรียนจบ คุณทูนก็กลับมาประเทศไทย โดยตัดสินใจกลับมาเปิดบริษัทโฆษณาของตัวเองแต่เมื่อทำงานได้ในระยะหนึ่งชีวิตของเขาก็มาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เพราะได้พบกับคุณเปี๊ยก โปสเตอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดนิยมในสมัยนั้น คุณเปี๊ยกเห็นแววเด็กหนุ่มในบุคลิกที่แปลกตาไปจากพระเอกในยุคเดิม จึงติดต่อทาบทามให้มาเป็นพระเอกภาพยนตร์

แล้วสายตาของผู้กำกับชื่อดังก็ไม่ทำให้ผู้ชมผิดหวัง เพราะเขาได้สร้างให้ ทูน หิรัญทรัพย์ กลายเป็นเป็นพระเอกที่ประสบความสำเร็จจากการแสดงภาพยนตร์เรื่อง “แก้ว” กับคู่กับดารานางแบบชื่อดังในยุคนั้นอย่าง ลินดา ค้าธัญเจริญ

“ผมแจ้งเกิดกับคุณลินดา ค้าธัญเจริญ แล้วก็มาดังเรื่อง ไข่ลูกเขย กับคุณเนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ แต่ถ้าเป็นคู่พระคู่นางที่เข้ากันที่สุดก็คือคุณจารุณี สุขสวัสดิ์ โดยในช่วงแรกๆ ที่แสดงหนัง ผมยังทำงานในบริษัทอยู่เลย ยังไม่คิดว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเพราะทำงานประจำวันธรรมดา แล้วก็มาเล่นหนังเสาร์-อาทิตย์ แต่พอหลังจากนั้นก็ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง ผมก็เลยให้หุ้นส่วนดูแลบริษัทแทน

“สมัยก่อนแสดงหนังได้เงินบ้างไม่ได้เงินบ้าง บางทีทีมงานเขาเอาไปซื้อบ้านซื้อรถก่อนการถ่ายทำก็มี อย่างในกรุงเทพเขาไม่จ่ายค่าตัวเรายังไม่เป็นไร แต่ถ้าเอาไปปล่อยต่างประเทศเนี่ยตายเลย

“อย่างมีอยู่ครั้งหนึ่งทีมงานไปต่างประเทศ แต่โดนตัดงบการเงินกะทันหัน เราก็ลงจากโรงแรมไม่ได้ เพราะไม่มีเงินจ่ายเขา ตอนนั้นทุกคนก็เลยอยู่ในโรงแรมด้วยกันหมด ไม่กล้าออกไปไหนเพราะไม่มีเงิน กินข้าวก็ต้องเอาเงินรวมๆ กันแล้วลงขันกันไปซื้อขนาดผู้กำกับยังต้องถอดแหวนเพชรแลกที่โรงแรมไว้เพื่อขอออกไปถ่ายหนัง สมัยนั้นการถูกเบี้ยวค่าตัวถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ค่อยมีการฟ้องร้อง เพราะดารากลัวเสียชื่อเสียง

“ยี่สิบปีที่ผ่านมาเนี่ยผมเห็นตัวอย่างที่ดีก็คือคุณ ส.อาสนะจินดา ตอนนั้นลูกท่านเสียชีวิต ทั้งที่ต้องไปงานศพ แต่ยังต้องมาถ่ายทำ ต้องมาทำหน้าที่อยู่ โดยบอกภรรยาไปว่าลูกไปแล้ว ตัวเองไปช้าหน่อยก็ได้ แต่หนังต้องถ่าย แล้วหันมาบอกผมว่า เขาจ้างมาทำอะไรเราก็ทำอย่างนั้น แล้วก็จริงจังกับงานมาก ทะเลาะกับฝน ตกมาทำไมวะ คนไปกางร่มเชิญเข้ามาข้างในก็ไม่เข้า ยืนปากคาบบุหรี่เปียกห้อยแล้วปรากฏว่าฝนก็หยุดจริงๆ เพราะฝนกลัว

“ยิ่งผมอยู่ในวงการ ก็ยิ่งเห็นช่องว่างของระดับชื่อเสียง เพราะผมเจอตั้งแต่เจ้าของ นักแสดง ผู้กำกับ ทีมงาน นักแสดงประกอบซึ่งมันมีช่องว่างเยอะ แต่ผมก็ปฏิบัติตัวเหมือนเดิม เพราะถือว่าตัวเองมาจากโนเนม ผมมาเพราะความสนุก ผมก็ทำตัวให้ร่าเริง

“ผมไม่อยากเป็นวีไอพี กินข้าวก็กินด้วยกันในกองถ่าย ผมมีข้าวที่จัดไว้ แต่ก็ไม่กิน มากินกับน้องๆ บางคนมาขอ มายืมอะไรผมก็ให้ ต้องขอบคุณแม่ที่สอนมาแบบนี้ แม่ยังบอกเลยว่าผมเป็นพระเวสสันดร ชอบให้ แต่ผมไม่ได้คิดถึงชื่อเสียงอะไรพวกนั้นนะครับ ผมไม่ใช่คนทะเยอทะยาน คิดแต่ว่าทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวพ่อแม่เท่านั้นเอง”

หิรัญทรัพย์ เพื่อสังคม

ด้วยความที่เป็นคนที่ชอบให้มาตั้งแต่อดีตนี่เอง พอมาถึงในปัจจุบันที่ปัญหาสังคมเพิ่มมากขึ้น คุณทูนจึงเล็งเห็นแนวทางการช่วยเหลือสังคม แม้จะเป็นส่วนเล็กๆ ที่จะสามารถยื่นมือเข้าช่วยผู้คนเหล่านั้นได้ แต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรค โดยได้จัดตั้ง“ชมรมหิรัญทรัพย์เพื่อสังคม”  ขึ้นมาอย่างเป็นทางการ โดยเน้นไปที่การปลูกฝังเด็กและเยาวชนให้มีคุณภาพ ห่างไกลจากปัญหาสังคมให้ได้มากที่สุด

“ชมรมนี้เริ่มต้นจากการที่ผมมีลูกสาว 3 คน เรารักเขามาก ทำให้เราเกิดความเป็นห่วงลูกๆ พอเป็นห่วงลูกแล้วก็เลยคิดว่าไม่ใช่ลูกเราคนเดียวที่อยู่สภาวะแวดล้อมแบบนี้ เราก็เลยเป็นห่วงลูกๆ คนอื่นด้วย พอผมเริ่มทำ พ่อแม่คนอื่นก็จะได้ทำด้วย แล้วเวลาไปอบรมมันต้องหาแกนนำ อย่างอบรม 300 คน ผมขอแค่ 30 คนเข้าใจ รู้เรื่อง และไปสานต่อก็พอแล้ว อย่างน้อยๆ เขาก็สามารถไปคุยได้ว่าได้มาอบรม รู้เรื่อง ได้มาเรียน ไม่ต้องเสียเงิน ได้รู้ว่า Mind Map ของชีวิตตัวเองเป็นยังไง พิมพ์เขียวของชีวิตมันเริ่มมาตั้งแต่อยู่ในท้องแล้ว แล้วมาเริ่มจริงจังอีกทีคือตอนที่พ่อแม่สอน

“บางคนบอกว่าเขาไม่ประสบความสำเร็จ เพราะพ่อแม่คอยบอกว่าเราจน หรือพ่อแม่แยกทางกัน มันคงจะเปลี่ยนไม่ได้เพราะมันมาอย่างนี้ แต่ถ้าจะเปลี่ยนได้ อยากจะเอาอะไรที่ไม่ดีออกไป เราก็ต้องทับสิ่งที่ดีๆ ลงไปเรื่อยๆ นั่นคือจิตวิทยา ผมเองก็ไม่ได้เรียนมา แต่ผมคุยกับหมอ คุยกับผู้เชี่ยวชาญว่าถ้าจะแก้จะต้องเริ่มยังไง เพราะฉะนั้นการที่ในสังคมบอกว่าทำเพื่อเยาวชน เพื่อสังคม มันต้องไม่ใช่แค่ทำครั้งเดียวแต่มันต้องทำไปตลอดชีวิต มันต้องใช้เวลา เพราะมีหลายองค์ประกอบรวมกัน

“ผมไม่ได้เรียนหลักสูตรเรื่องการเป็นพลเมืองดี แต่ครอบครัวให้ตรงนั้นมาว่าเราต้องเป็นคนดี มีคุณธรรม เป็นผู้นำช่วยเหลือสังคมครอบครัวสอนผมมาแบบนี้ แต่ไม่ได้บอกวิธีการ แล้วพอผมเป็นเด็กไทยคนนึงที่มีโอกาสเห็นโลกภายนอก เห็นด้านธรรมชาติเทคโนโลยี การศึกษา อะไรที่สามารถนำมาให้เยาวชนได้ก็จะทำ

“ผมเองก็เคยเป็นวัยรุ่นที่เกเร เพราะวัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องท้าทาย ทดลอง ผมทดลองและขีดเส้นให้ตัวเองเอาไว้ว่าแค่นี้พอ แต่ความหมายของการเป็นพลเมืองดีก็คือการเป็นผู้นำของชุมชนและสังคม คือไปในทางที่ส่วนรวมรับได้ ไม่ใช่ส่วนน้อยรับได้

“ทุกยุคทุกสมัยเราต้องมีสังคมของเราเอง นึกถึงสมัยที่เราอยู่ในวัยเด็ก คนที่มีอิทธิพลกับเรานอกเหนือจากครูบาอาจารย์ก็คือเพื่อน พ่อแม่มีบทบาทน้อย เพราะเรากลับไปอยู่บ้านก็แค่ไม่กี่ชั่วโมง แม้กระทั่งเสาร์อาทิตย์ก็ยังมาอยู่กับเพื่อน เพื่อนก็เลยมีอิทธิพลมาก ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากยุคนี้ เพียงแต่ยุคนี้เทคโนโลยีและการเติบโตของสังคมมันเข้ามามีส่วน

“ผมเจอปัญหาเรื่องสุขภาพมาเยอะ ผมจึงนำมาสอนได้ พอคุณใช้ศักยภาพที่คุณมีมาเป็นต้นทุน คุณจะรู้เลยว่ามีอยู่แค่ 3 อย่างคือ MES มาจาก Mental, Emotion, Spirit สามส่วนนี่จะเท่ากับตัว P ก็คือ Physical เพราะฉะนั้นก็ต้องใช้ให้เกิดสมดุลชีวิต ถึงจะพอดี

“อย่างผมนั่งรถมา คนบ่นรถติดอย่างนั้นอย่างนี้ แท็กซี่เห็นผมยังยิ้มอารมณ์ดีได้ เขาก็ถามว่าไม่หงุดหงิดเหรอ ผมก็บอกว่าจะไปคิดมากทำไม นี่กี่โมงแล้ว ทุ่มนึง ยังไงมันก็ติดไม่ถึงเที่ยงคืนหรอก เขาหัวเราะใหญ่ เขาถามผมว่า คิดได้ยังไงน่ะพี่ ผมขอเอาไปใช้บ้างนะครับ 

“ชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอน คุณก็ทำใจ แล้วก็ขอบคุณทุกอย่างที่สวรรค์ให้เรามา ดีใจได้แต่ไม่ต้องถึงกับไปฉลอง แค่ให้รู้ว่าดีใจแล้วกลับบ้านไปนอน จบ แค่นี้ก็พอ”

Know Him

• ทูน หิรัญทรัพย์ จบการศึกษาที่ Ballarat Institution of Advance Education Victoria ประเทศออสเตรเลีย ด้านกราฟิกดีไซน์

• ในระหว่างที่เรียนอยู่ประเทศออสเตรเลียเขาส่งเสียตัวเองเรียน และทำงานหลายประเภท หนึ่งในนั้นก็คือเป็นอาจารย์สอนเทควันโดซึ่งได้ถึงขั้นระดับสายดำ

• นอกจากผลงานด้านการแสดงแล้ว เขายังมีผลงานเพลงออกมา 2 ชุด คือ ผู้ชายเฉิ่มเฉิ่ม และ ทูน 100 เปอร์เซ็นต์

ถ้าพูดถึงพระเอกหนังขวัญใจที่คนไทยทุกคนต้องนึกถึง