อุณา ตัน
“จริงๆ แล้วสำหรับมุมมองนี้ ดิฉันมองว่ามันต้องเดินไปด้วยกัน อาจจะเริ่มจากผลิตภัณฑ์ที่ดี เพราะการที่เรามีผลิตภัณฑ์ที่ดีก็ทำให้เราเกิดจุดขาย เมื่อมีจุดขาย นักการตลาดก็ทำตลาดได้ หรือถ้าผลิตภัณฑ์ไม่ได้ดีมาก นักการตลาดก็ต้องใช้ความสามารถเพื่อที่จะทำการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์นั้นๆ ได้ แต่ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ ก็คือ ผู้บริโภคต้องมาก่อน ไม่ใช่ทั้งการตลาดหรือผลิตภัณฑ์ เพราะถ้าไม่มีผู้บริโภค แล้วจะมีนักการตลาดหรือสินค้าไปเพื่ออะไร”
ผมพยักหน้ารับกับคำพูดนี้ของผู้หญิงเก่งแห่งค่ายโนเกีย และได้พูดคุยกันต่อถึงเรื่องของการรองรับผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปว่าเป็นอย่างไรบ้างนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
“เมื่อสิบปีที่แล้ว โนเกียออกผลิตภัณฑ์มาแค่สองตัว แต่ในปัจจุบันมีถึงสี่สิบกว่ารุ่น เพราะฉะนั้นตลาดผู้บริโภคย่อมเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน เพราะผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น แต่การผลิตสินค้าของโนเกียจะยึดเอาความต้องการของผู้บริโภคเป็นส่วนกลางไม่ใช่แค่ผลิตสินค้าออกมาอย่างเดียว เราจะต้องเข้าถึงผู้บริโภครวมทั้งต้องเข้าใจด้วยว่าผู้บริโภคต้องการอะไร บางคนต้องการแค่โทรเข้า-ออก บางคนต้องการแฟชั่นโฟน หรือพวกชอบเทคโนโลยีมากๆ เราก็มี N-Series แม้กระทั่งนักธุรกิจเราก็มีโทรศัพท์ในรุ่น E-Series ที่รองรับระบบการทำงานของออฟฟิศ โนเกียเราก็มีให้ คือเราต้องเข้าถึงพวกเขา แล้วก็เอาโจทย์มาตีว่าเราจะเข้าหาเขาได้อย่างไร สื่อสารกับเขาได้อย่างไร เขาจะรู้สึกอย่างไร ว่าเราพูดภาษาเดียวกับเขาแล้วนะ เรากำลังบอกว่าโทรศัพท์ให้ประโยชน์แก่เขาได้จริงๆ ในชีวิตประจำวัน เหมือนอย่างปัจจุบันมีคนพูดกันว่าโทรศัพท์เป็นเหมือนปัจจัยที่ห้าของชีวิตประจำวัน ถ้าคุณลืมกระเป๋าตังค์ คุณยังยืมเงินคนอื่นได้ แต่ถ้าคุณลืมโทรศัพท์คุณคงยืมใครไม่ได้ ข้อมูลต่างๆ ของคุณก็อยู่ในโทรศัพท์หมดทั้งเบอร์โทรศัพท์และนัดหมาย ทำให้โทรศัพท์กลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิต อีกทั้งยังช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น และติดต่อสื่อสารได้มากขึ้นอีกด้วย”
ถึงวันนี้ใครๆ ก็คงทราบกันดีว่าวันนี้ โนเกียนั้นเป็นแบรนด์ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงที่สุดเพราะสามารถครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายได้
“คือที่เราเป็นเบอร์หนึ่งได้ เพราะว่าเราเข้าใจผู้บริโภค เรามีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ทุกๆ โจทย์ ที่สำคัญที่สุดก็คือ Easy to Use ง่ายต่อการใช้ ถ้าย้อนกลับมาก็เพราะผู้บริโภคนั่นล่ะเป็นคนบอกเรา เราก็ทำให้ผู้บริโภคใช้งานได้ง่ายขึ้น เมื่อใช้งานง่าย คนก็จะไม่รู้สึกว่าเทคโนโลยีมันยุ่งยาก ง่ายต่อการใช้ในชีวิตประจำวัน ตรงนี้ล่ะที่เป็นจุดที่ทำให้ผู้บริโภคชื่นชอบเรา และเรานำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภคเสมอๆ อีกทั้งเรายังให้บริการลูกค้าอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าโทรศัพท์คุณจะมีหลักพันหรือว่าหลักหมื่นก็ตาม”
นอกจากเธอจะทำให้เราเข้าใจเรื่องการตลาดของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างโนเกียแล้ว ประสบการทำงานของเธอในอดีตทั้งพนักงานบริการสายการบินเจแปนชาร์เตอร์และผู้จัดการฝ่ายขายของโรงแรมโนโวเทลก็มีส่วนช่วยให้เธอได้มาถึงวันนี้เช่นกัน
“ดิฉันทำงานเกี่ยวกับคนมาตลอด ลองมานั่งสังเกตตัวเองก็พบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำงานนั้นเกี่ยวข้องกับคน วันที่เราเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเราก็ต้องเจอกับคนเยอะแยะ เจอคนที่หลากหลาย แล้วก็คนที่มีความแตกต่าง ตอนที่ทำงานที่โรงแรมก็เจอคนที่หลากหลายเหมือนกัน
“คือถ้าพูดกันตรงๆ บอกได้เลยว่าการเรียนรู้มีสองทาง ทางหนึ่งคือการเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ ลักษณะการเรียนรู้อีกแบบหนึ่งก็คือวิชาการ ซึ่งดิฉันมองว่าทั้งสองอย่างมีความสำคัญเท่ากัน อย่างวิชาการเราก็อ่านหนังสือพิมพ์อัพเดตว่าตอนนี้มีอะไร เป็นอย่างไร เราก็เรียนรู้กันไป แต่สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ทุกวันเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม เพราะมันสามารถที่จะพัฒนาไปเป็นธุรกิจได้ อย่างถ้าเราลองสังเกตดู สมัยก่อนที่เรากินก๋วยเตี๋ยว ไม่ว่าน้ำตาลหรือพริกป่นจะถูกผูกใส่ถุงเล็กๆแยกเป็นถุงๆ ไป เดี๋ยวนี้มีคนทำการตลาดใหม่ ทำออกมาเป็นแพ็ค ดิฉันมองว่านี่คือการสร้างผลิตภัณฑ์ เป็นโปรดักส์เดเวล็อปเม้นท์ นี่คือสิ่งเล็กๆ ของการเรียนรู้ คนที่คิดเขาก็จะมองว่าจะมีสักกี่คนที่อยากจะตักน้ำตาล พริกป่นใส่ถุง สิ่งเหล่านี้คือช่องว่างทางการตลาด นี่คือสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากชีวิตประจำวัน หนังสือดิฉันเชื่อว่าทุกคนอ่าน แต่การเรียนรู้จากสิ่งรอบข้างต่างหากที่จะช่วยพัฒนาให้เราไปไกลกว่าคนอื่นได้ ดิฉันได้ประสบการณ์การเรียนรู้จากนาย เรียนรู้จากคนรอบข้าง เพื่อนร่วมงานดิฉันคิดว่าตรงนี้คือการเรียนรู้ที่ดีที่สุด แล้วมันไม่มีการหยุดนิ่ง มันไม่มีการเรียนจบ ชีวิตมันคือการเรียนรู้ไปตลอดเรื่อยๆ
“ดิฉันเป็นคนที่ชอบการเดินทางเพราะมองว่า เพราะว่าเป็นการไปที่ๆ เราไม่คุ้นเคย เมื่อเราไม่คุ้นเคยเราต้องปรับตัว เพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เวลาที่ไปไหนจะไม่คิดว่าต้องเป็นแบบนี้ แบบนั้น แต่จะคิดว่าเมื่อเราไปสถานที่ไหนแล้วเราต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานที่นั้นๆ ให้ได้ ถามว่าเกิดประโยชน์ไหม มีประโยชน์แน่นอน เพราะเราจะได้เห็นอะไรที่แตกต่างกันเยอะ การที่เราได้เห็นอะไรที่แตกต่างทำให้เราได้เห็นถึงมุมมองความหลากหลายของวัฒนธรรม ทั้งการกิน การบริโภคสินค้า วิธีการดำรงชีวิตต่างๆดิฉันว่าตรงนี้เป็นส่วนสำคัญทำให้เราได้มองเห็นภาพของชีวิตมากขึ้น อย่างครั้งหนึ่งไปอินเดีย ห้องน้ำของเขาจะมีเขียนว่า ‘ห้ามเหยียบบนโถ’ เพราะปกติแล้วคนชอบขึ้นไปเหยียบบนฝานั่งแล้วทำให้มันแตก สิ่งที่เขาแก้ปัญหานั้นมันง่ายมาก เขาก็ทำฝาที่สามารถให้คนเหยียบได้ มันเป็นการแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุด เมื่อเราไม่สามารถห้ามคนเหยียบได้ เราก็ทำรองรับเขาไปซะเลย หรือว่าอีกครั้งหนึ่งไปพม่า ก็งงๆ ว่าทำไมคนพม่าชอบกินอาหารมันๆ เหตุผลก็คือน้ำมันเป็นตัวที่ช่วยรักษาไม่ให้อาหารบูดเน่า นี่ล่ะคือคำตอบ คนเราต้องคิดอะไรง่ายๆ ทุกปัญหาจึงจะมีทางออก พอดิฉันดูแล้วก็ยิ้มออก บางครั้งเราอย่าให้เส้นผมบังภูเขา คำตอบมันอยู่ข้างหน้าอยู่แล้ว อย่าคิดอะไรที่มันยาก หาทางออกให้ง่าย แล้วก็สามารถที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้”
ถึงแม้จะมีคนมองว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ทั้งเก่ง และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่เธอกลับบอกว่าเธอไม่ได้มองจุดนั้นเลย
“คนทั่วๆ ไป อาจจะมองว่าดิฉันประสบความสำเร็จ แต่ดิฉันคิดว่าตัวเองก็เป็นคนทำงานคนหนึ่ง ทำตามหน้าที่ ทำในสิ่งที่ได้รับมอบหมาย ถามว่าคิดว่าประสบความสำเร็จไหม ก็บอกได้เลยว่าไม่ได้คิดถึงจุดนี้เลย มองแค่ว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุด ดิฉันไม่ได้คิดว่าประสบความสำเร็จที่สุด แต่มองว่าได้ทำในสิ่งที่มีความสุขที่สุด และได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักมากกว่า”
เธอวางเป้าหมายในอนาคตไว้ว่าอยากทำงานให้กับองค์กรที่ไม่หวังผลตอบแทน เพราะมองว่าทรัพยากรโลกมีจำนวนจำกัดและควรที่จะต้องแบ่งปันกัน
“ในระยะยาวดิฉันอยากทำงานให้กับองค์กรที่ไม่หวังผลตอบแทน ส่วนตอนนี้ก็คงจะเติบโตกับโนเกีย เพราะว่าเป็นแบรนด์ที่เรารักและมีความสุขกับการทำงาน อีกอย่าง โนเกียเองก็สนับสนุนการสร้างโรงเรียนให้กับถิ่นทุรกันดารมาตลอด เพราะเราคิดว่าต้องตอบแทนอะไรบางอย่างให้กับสังคมไทย แล้วก็มองว่าเราเป็นแบรนด์ที่เป็นนวัตกรรม เป็นแบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ เราต้องสร้างโอกาสให้กับมนุษย์ การศึกษาจึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การที่เด็กจะมีจินตนาการได้ สร้างสรรค์ได้ เด็กต้องมีการศึกษา หรืออย่างถ้าส่วนตัวที่ทำตลอด ก็ทำเพราะมีความสุขที่จะทำ อย่างเช่นง่ายๆ เลย เห็นกล่องเงินทำบุญ คุณใส่ไปเถอะ คือดิฉันมองว่าทรัพยากรบนโลกนี้มีจำกัด ต้องแบ่งปันกัน การที่ทำเหรียญหรืออะไรขึ้นมาสักอย่าง เพราะทรัพยากรมันมีเท่านี้นะ ดังนั้นแล้วเราต้องแบ่งปันให้กับคนอื่น หรืออย่างที่ง่ายที่สุด ดิฉันได้มีโอกาสไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จะบอกคุณผู้อ่านว่า ไม่ต้องนำเงินไปก็ได้ ซื้อไข่ไปสิ เพราะเด็กกินไข่ทุกวัน เด็กต้องการโปรตีน ซื้อไปไม่กี่บาทเอง แค่นี้ล่ะค่ะ เป็นสิ่งที่เราทำได้ง่ายๆ”
เธอยิ้มให้กับผมก่อนที่บทสัมภาษณ์จะจบลงด้วยความชื่นมื่น การเรียนรู้ชีวิตของผู้หญิงตัวเล็กหัวใจแกร่งอย่างเธอ คงเป็นแรงบันดาลใจให้กับคุณผู้อ่านที่จะเรียนรู้ถึงสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ไม่มากก็น้อย