บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์
แรกเริ่มเดิมทีเราตั้งใจไว้ว่าจะมาทำความรู้จักกับเขาในฐานะกรรมการบริหารบริษัทโตโยต้ามหานครเพียงอย่างเดียว แต่ในวันนี้เราคงต้องบอกว่างานของเขาทุกชิ้นคืองานหลักจนแทบจะแยกจากกันไม่ออก
“ตอนนี้มันเป็นหลักทั้งสามอย่างครับ ทั้งงานที่โตโยต้า ที่ตอนนี้ก็ดูในส่วนของภาพรวมบริษัท เรื่องทรัพยาการบุคคล เรื่องประชาสัมพันธ์ ออกเยี่ยมตามโชว์รูมต่างๆ ตามมาด้วยงานร้องเพลงที่ตอนนี้หนักมากๆ เพราะเพิ่งจะออกอัลบั้มใหม่ มีคอนเสิร์ตทุกวัน แล้วก็งานอ่านสปอต จากเมื่อก่อนที่เป็นงานอดิเรกมากๆ แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นงานประจำ บางวันที่ยุ่งมากๆ ก็อาจจะต้องอ่านถึงวันละ 4 ตัวเลยครับ”
บุรินทร์เรียนจบปริญญาโททางด้านธุรกิจจาก Boston University ก่อนหน้านั้นเขาเรียนอยู่ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ แต่เนื่องจากความเหงาของเมืองใหญ่และโรควัวบ้า ทำให้เขาย้ายมาเรียนที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้ในอเมริกา
“ชีวิตผมขาดเนื้อวัวไม่ได้เลยครับ แล้วตอนนั้นในยุโรป โรควัวบ้ากำลังระบาดมาก เข้าไปในแม็คโดนัลด์ก็ต้องกินแต่แมคฟิช ก็เลยพอดีกับที่ช่วงนั้นผมได้ไปเยี่ยมพี่ชายที่เรียนอยู่ที่อังกฤษ แล้วพบว่าที่นี่เงียบสงบ น่าอยู่ คนไทยก็อยู่ไม่น้อย ก็เลยย้ายไปอยู่ที่นั่น”
และนั่นก็นำไปสู่ทางแยกใหม่ของชีวิตที่เขาไม่รู้มาก่อน เมื่อเขาได้พบกับกลุ่มคนไทยที่ไปเรียนดนตรีที่ Berklee College of Music ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี ก้อ ณัฐพล ศรีจอมขวัญ คนที่ชักชวนเขาเข้าสู่วงการเพลง
“ผมว่าชีวิตเราคาดเดาไม่ได้เลย เวลามีโอกาสเข้ามามันเปลี่ยนเราได้ทันที จากอัลบั้มแรก จนถึงอัลบั้มนี้ (The Lift) ก็เจ็ดปีแล้วล่ะครับ มันมากกว่าที่จะเป็นงานอดิเรกไปแล้ว”
จากจุดนี้ เขากลายเป็นคนมีชื่อเสียง มีคนรู้จักมากมาย นำมาซึ่งข้อดีต่างๆ มีทั้งที่พอจะนึกออกอย่าง การที่กรูฟไรเดอร์คล้ายๆจะเป็นการประชาสัมพันธ์ให้โตโยต้าไปในตัว การทำยอดขายได้มากขึ้นเพราะลูกค้าอยากมาพบเขา หรือข้อดีที่นึกไม่ถึงก็คือ มีแฟนเพลงมาสมัครเป็นพนักงานขายรถยนต์ ที่น่าสนใจก็คือ คนเหล่านี้เป็นนักขายที่ทำยอดได้ดีในเวลากลางวัน และเป็นแฟนเพลงตัวจริงของกรูฟไรเดอร์ในเวลากลางคืน
เราถามเขาไปว่า แล้วอย่างนี้จะไม่เสียการบังคับบัญชาต่อลูกน้องหรือ
“ผมไม่เคยคิดว่าผมเป็นเจ้านาย เขาเป็นลูกน้องเลย เพราะเราทำงานเหมือนพี่น้องครับ ผมเชื่อในหลักการว่าถ้าทุกคนแฮปปี้ งานก็จะออกมาดีครับ อีกอย่าง คนจะเชื่อถือเรามันคงไม่ใช่การวางอำนาจ แต่อยู่ที่ผลงานมากกว่า”
อย่างไรก็ตาม ถึงเขาจะรักงานเพลงแค่ไหน แต่วันนั้นเขาก็บอกกับเราว่า แผนที่วางไว้ว่าวันหนึ่งจะวางมือจากการเป็นศิลปินเพื่อมาทำงานธรุกิจเต็มตัว วันนึงคงจะต้องถูกดึงออกมาใช้ และเขาหมายถึงในอนาคตอันใกล้
“เวลาในวงการคงเหลืออีกไม่นานครับ เพราะเรื่องของธุรกิจเป็นเรื่องที่ผมตั้งเป้าหมายไว้มานานแล้ว”
ถ้า James Brown คือนักร้องในดวงใจของบุรินทร์ในภาคศิลปิน แล้วใครกันคือคนที่เป็นเสมือนไอดอลในภาคที่เหลืออย่างเรื่องธุรกิจและการอ่านสป็อต
“ถ้าเรื่องของธุรกิจ ผมชอบโดนัล ทรัมป์ (อ่านรายละเอียดชีวิตและผลงานของโดนัล ทรัมป์ได้ใน MiX เล่ม 14) เพราะผมคิดว่าเขาเป็นนักโฆษณา นักการตลาดได้เก่งมาก รู้จักสร้างให้ตัวเองเป็นแบรนด์ ผมว่าคนอเมริกันเขาเก่งนะ เพราะเขาสอนให้คนทำการตลาด ทำแพ็คเกจจิ้ง โฆษณา คือเขาสามารถเอาของราคาหนึ่งบาท มาเพิ่มมูลค่าให้มันเป็นห้าร้อย เป็นพันนึง แล้วทำให้ผู้บริโภคซื้อได้
“ส่วนถ้าเป็นในสายการใช้เสียง การพากษ์ ผมชอบดูสารดีพวกสัตว์ป่า พวกอารยธรรมโบราณ ก็เลยชอบ เดวิด แอทเทนเบอเรอ(David Attenborough) เขาจะเป็นคนพากษ์สารคดีที่ทำให้เรารู้สึกรักสัตว์ รู้สึกอยากจะช่วยเหลือธรรมชาติ”
จากที่เคยชอบขับรถเร็ว ชอบเล่นโกคาร์ท บุรินทร์วันนี้ในวัยย่าง 32 ปี ดูนิ่ง สงบและมีความสุขอยู่กับครอบครัวของเขา คุณสิชลบุญวิสุทธิ์ ภรรยาและน้องบุรพา ลูกชายวัยใกล้ขวบ พร้อมตำแหน่งหน้าที่การงานที่ใครหลายคนต้องอิจฉา แต่เขากลับบอกกับ
เราว่าจุดหมายของเขาคืออยากมีชีวิตที่มีความสุข หน้าที่การงานที่สมบูรณ์แบบ แล้วทั้งหมดที่เขามีมันไม่ใช่อย่างนั้นหรือ เราสงสัย
“มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นครับ”
จับตาดูจังหวะชีวิตของผู้ชายคนนี้ให้ดี เพราะเขาเพิ่งเริ่มออกสตาร์ทเท่านั้น