รสสุคนธ์ กองเกตุ
“รู้สึกดีอยู่แล้วที่คนบอกว่าเราคือแอคติ้งโค้ชเบอร์หนึ่ง ถ้าให้เดาก็คงมาจากนักเรียนของเราเวลาออกไปทำงานในวงการ แล้วเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน บางคนเคยเล่นมาระดับหนึ่ง พอมาเรียนกลับไปได้รับฟีดแบ็คที่ดีจากผู้จัด ตัวเด็กเองก็รู้สึกดีขึ้นกับตัวเองมันก็เลยเกิดการบอกต่อในหมู่นักแสดงด้วยกันว่าไปเรียนที่นี่กับครูคนนี้มา มันน่าจะเป็นแบบนั้นนะคะ”
ไม่เพียงสถานะของการเป็นผู้สอนเท่านั้น การเป็นผู้เรียนก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเธออยู่เสมอ
“ถ้ารักอะไรแล้วมันจะมี Passion คำว่า Passion คือมันอยู่กับเราโดยที่ไม่ต้องพยายามไปบังคับ เราเองก็ต้องเรียนเพิ่มทุกปี ปีนี้ไม่ได้ไปเรียนต่างประเทศ ก็เรียนที่เมืองไทย อาจารย์จากต่างประเทศมาเปิดคอร์สสอน เรียนรวมกับเด็กๆ เลย คือทุกอย่างเราสามารถเรียนเพิ่มได้อีก ไม่มีคำว่าพอ ศาสตร์ที่เกี่ยวกับมนุษย์อย่างการแสดง เราไม่มีทางรู้ว่าจะสิ้นสุดที่ไหน มันเป็นอะไรที่สนุกแล้วเรารักมัน ตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆ ที่ได้รู้อยู่เสมอ
“ความยากในการสอนมันขึ้นอยู่ว่าคนสอนมีพื้นฐานของการเข้าใจมนุษย์มากน้อยแค่ไหน ถ้าเกิดเป็นคนที่ไม่เข้าใจมนุษย์หรือไม่เข้าใจแม้กระทั่งตัวเอง ไม่เคยวิเคราะห์ไตร่ตรอง ไม่เคยเข้าใจความคิดของตัวเองแล้วล่ะก็ คนพวกนี้จะเป็นผู้สอนได้ยาก เพราะเขายังไม่สามารถชำแหละตัวเองออกมาได้เลย
“ครูบางคนพยายามสอนว่าแค่ให้รีแลกซ์ มันง่ายมากเลยที่จะบอกให้คนคนหนึ่งเป็นอย่างนั้น ถ้าพูดแค่นี้แล้วเป็นครูได้ก็คงไม่ใช่คุณต้องเป็นคนทำให้เขารีแลกซ์ มันเกิดขึ้นจากการที่เราทำบ่อยๆ รู้จักสังเกตคน ชวนคุยเรื่องที่เขาสนใจ หาจุดร่วมที่เหมือนกันหรือปล่อยมุขพูดเรื่องตลกให้รู้สึกว่าเราก็มีบางอย่างเกิดขึ้นกับชีวิตแบบที่คิดไม่ถึง หรือใช้เทคนิคพาเขาจินตนาการ ผ่อนลมหายใจ นึกถึงวันที่มีความสุขที่สุด ให้กล้ามเนื้อข้างในคลายตัวก่อน
“ความยากของคนเป็นครูคือการหาวิธีนำเขาไปสู่ปลายเหตุ ทุกคนรู้ปลายเหตุหมด แต่ไม่รู้จะเดินไปยังไง หน้าที่ของครูคือการให้ตัวเลือกกับเขาว่าจะเลือกเดินไปยังไง”
ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่การเป็นครูสอนการแสดง เธอสร้างนักแสดงมากฝีมือให้โลดแล่นทั้งจอเงินจอแก้วมากมาย แต่ทำไมไม่คิดหันมาจับบทบาทการเป็นนักแสดงอย่างจริงจังดูบ้าง นั่นคือคำถามที่เราสงสัย
“ส่วนตัวเราจะเป็นคนชอบละครเวที ถ้าให้เล่นก็จะทำเอง เล่นเอง งานเบื้องหน้ามีปัจจัยมากมาย เราถึงบอกนักเรียนว่า ‘คำว่าโชคไม่มีอยู่จริงในโลก คำว่าโชคคือความพร้อมกับโอกาสมาเจอกัน เลยพุ่งเป็นพลุแตก ถ้าคุณพร้อมสุดๆ แต่โอกาสไม่เข้ามาเคาะประตูมันก็ไม่ได้ บางคนโอกาสมาแล้วแต่กลับไม่พร้อมก็ชวด
“ในเมื่อเรารักมันแล้ว ไม่ต้องรอให้โชคเข้ามาหาหรอก หน้าที่ของคุณก็คือต้องทำตัวให้พร้อมแล้ววิ่งออกไปหาโชค ไม่ต้องแคร์ว่าจะไปอยู่บนจอทีวีหรือภาพยนตร์ ทำในสิ่งที่คุณรักออกมาดีจริงๆ ก็พอ
“ตั้งแต่เงาะสอนมาไม่เคยท้อนะ มีแต่เหนื่อย เราพูดเสมอว่าถ้ารักที่จะทำอะไรแล้ว จงทำสิ่งนั้นอย่างพอดี อย่าให้มากเกิน เพราะเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่ามากเกิน ก็จะทำให้เหนื่อย สุดท้ายก็เบื่อที่จะทำ จนพาลให้คิดว่าเราไม่รักมัน ทั้งที่เรารักมัน แต่เราแค่เหนื่อย เราเคยสอนตั้งแต่เก้าโมงเช้ายันสามทุ่ม ไม่มีหยุด ข้าวก็กินมันระหว่างสอนนี่แหละ แรกๆ ก็สนุก ซักพักก็รู้สึกเบื่อ ไม่อยากสอนเลยกลับมาดูตัวเองว่าจริงๆ เราไม่ได้เบื่อที่จะสอน แต่เราเบื่อที่จะทำงานทุกวันต่างหาก
“ปีหน้าคิดไว้ว่าจะทำละครเวทีอย่างจริงจัง แล้วปีถัดไปจะทำให้ The Drama Academy เป็นโรงเรียนการแสดงที่ครบจงจรถ้าให้มองแบบทะเยอทะยาน ก็อยากให้เมืองไทยเป็นฐานของการแสดงที่ว่าด้วยเรื่องของจิตวิญาณ คล้ายเวลาพูดถึงดนตรีป๊อปคัลเจอร์ก็ต้องนึกถึงเกาหลี
“อยากให้นักแสดงไทยเป็นนักแสดงที่เล่นได้ดี มีชีวิตที่ดี เป็นแบบอย่างที่ดี เราเลยต้องเป็น Life Coach ด้วยเพื่อให้เค้าโตไปทั้ง 2 มิติไปพร้อมๆ กันทั้งชีวิตและการทำงาน เราอยากให้โรงเรียนนี้เป็นสถาบันที่ดูแลนักแสดงทั้งมิติด้านจิตใจและพัฒนางานการแสดง
“ถามว่าการแสดงให้อะไรกับเรา มันให้เราจริงกับตัวเองมากขึ้น ที่ผ่านมาเราอาจโกหกตัวเอง แต่การแสดงมันทำให้เรากลับมาถามตัวเราเองว่า เราต้องการอะไร อะไรคือความสุขของเรา การแสดงไม่ใช่การสวมหน้ากาก แต่เป็นการถอดหน้ากากที่เราสวมอยู่ทุกวันออกไปต่างหาก มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราหันกลับมาเจอตัวเอง ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองค่ะ”