อาทิตยา ดิถีเพ็ญ

อาทิตยา ดิถีเพ็ญ

ในอดีตบทบาทของเธอคือนางเอกสาวที่ได้รับความนิยมมากคนหนึ่งของวงการ ก่อนที่จะหันหลังจากงานแสดงมาเป็นผู้บริหารในเวลาต่อมา

“ช่วงเป็นนักแสดงก็เป็นช่วงที่มิ้นท์กำลังเรียนแล้วทำงานคู่กันไปด้วย จริงๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้ามาวงการขนาดนั้น แต่พอทำไปแล้วมันก็ยาว จนพอเรียนจบก็อยากทำอะไรที่ได้เรียนมา ก็เริ่มทำเกี่ยวกับแบรนด์กระเป๋า Longchamp ตัวมิ้นท์เองก็เป็น Brand Manager ทำให้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ เราก็ชอบอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสเข้ามาก็เลยทำของตัวเอง ก็คิดว่ามีประสบการณ์พอสมควรและใกล้เคียงกับที่เราเรียนด้วย”

จากประสบการณ์ที่ทำแบรนด์กระเป๋า ต่อมาเธอก็ขยับมาช่วยธุรกิจของสามีซึ่งเกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์และความสวยความงาม งานส่วนใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบคือการติดต่อเจรจากับบริษัทเจ้าของสินค้าในต่างประเทศ โดยเป็นผู้รับนโยบายมาแล้วดูว่าจะทำตลาดและเพิ่มยอดขายในเมืองไทยอย่างไรได้บ้าง ผลิตภัณฑ์ตัวล่าสุดที่เธอนำเข้ามาก็สามารถสร้างปรากฏการณ์ด้วยยอดขายมากที่สุดในบรรดาประเทศแถบเอเชีย ทำให้ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจที่มีต่อเธอเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

“แต่ละแบรนด์ที่เรานำเข้ามาต่างมีจุดแข็งของตัวเอง เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคอยู่แล้ว 
เมื่อนำเข้ามาทำมันก็ต้องใช้เวลาอยู่ดี ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็ไม่ได้มีสินค้าเพียงตัวเดียว แต่มีผลิตภัณฑ์หลายตัว ดังนั้นก็ต้องทำให้สินค้าทุกชิ้นติดตลาดพร้อมๆ กัน 

“แต่ละแบรนด์ที่เรานำเข้ามาต่างมีจุดแข็งของตัวเอง เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคอยู่แล้ว เมื่อนำเข้ามาทำมันก็ต้องใช้เวลาอยู่ดี ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็ไม่ได้มีสินค้าเพียงตัวเดียว แต่มีผลิตภัณฑ์หลายตัว ดังนั้นก็ต้องทำให้สินค้าทุกชิ้นติดตลาดพร้อมๆ กัน 

 

“ช่วงแรกอาจจะยากซักหน่อย ยอดขายอาจจะยังไม่มาก แต่เมื่อเริ่มมีเรื่องการตลาดเข้ามา ยอดขายก็โตขึ้นเรื่อยๆ อย่างล่าสุดก็ได้นำเข้าผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ชื่อว่า Essence ที่มีฐานลูกค้าในยุโรปค่อนข้างกว้าง ด้วยราคาที่ใครก็สามารถซื้อได้ ก็เลยตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ตัวนี้เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย แต่กว่าจะได้มาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ เพราะต้องใช้เวลาติดต่อพูดคุยกันถึง 5 ปี กว่าเขาจะเลือกเราเป็นตัวแทนประเทศไทย เขาก็ต้องมั่นใจในศักยภาพของบริษัทเราว่ามีความสามารถที่จะทำได้

“เราเหมือนเป็นน้องใหม่มาแรง เจ้าตลาดของธุรกิจนี้ก็มีอยู่แล้ว ซึ่งพวกเขาก็จับตามองอยู่เหมือนกัน เราก็ทำส่วนของเราให้ดีที่สุด แบบไม่มีความกดดัน เพราะไม่ได้เป็นเบอร์หนึ่ง อาจจะเป็นเบอร์ล่างแต่เราก็สนุกกับการวิ่งขึ้นข้างบน ก็เลยไม่มีอะไรต้องกลัว”

ความมุ่งมั่นที่เป็นเหมือนแรงผลักดันให้เธอนำผลิตภัณฑ์ที่ตัวเองเป็นคนนำเข้ามา ให้ขึ้นไปยืนอยู่ระดับแถวหน้าให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าตัวเธอคนเดียวนั้นไม่สามารถจะทำให้เกิดความสำเร็จได้ ทีมงานทุกคนในที่นี้ต่างเป็นเรี่ยวแรงที่สำคัญ และอีกความท้าทายหนึ่งในบทบาทระดับสูงของเธอก็คือ การเรียนรู้รายละเอียดทุกอย่างภายในองค์กร

“ทุกส่วนในบริษัทเราต้องดูให้เป็นและต้องรู้ให้หมด ทำเป็นให้หมด ไม่ว่างานนั้นจะเล็กน้อยแค่ไหน บางคนอาจจะคิดว่าคนเป็นเจ้าของไม่ต้องลงมาทำอะไรขนาดนี้ก็ได้ แต่สำหรับเราจะคิดเสมอว่าจะทำอะไรซักอย่าง เราต้องรู้จักมันให้ดีก่อน เพราะถ้ามีคนถามแล้วเราไม่รู้ เราจะดูเป็นเจ้าของที่โง่มาก คือไม่รู้อะไรเลย เราจะถามคนที่รู้ทุกอย่างที่เราไม่รู้ ซึ่งเอาเข้าจริงมันไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่ถ้าไม่กล้าถาม เราก็จะเป็นคนโง่อยู่ต่อไป ฉะนั้นเลยคิดว่าก็โง่เสียตั้งแต่ตอนนี้ แล้วไปฉลาดในอนาคตดีกว่า”

ผู้บริหารสาวบอกเล่าถึงมุมมองของเธอพร้อมกับบอกถึงเป้าหมายในอนาคตว่ากำลังลุยตลาดในประเทศแถบอินโดจีน ซึ่งก็ได้เดินหน้าไปแล้วบางส่วน

 

“บริษัทแม่ในต่างประเทศเขาก็เห็นศักยภาพของเรา เลยให้เราเป็นตัวแทนของประเทศในแถบอินโดจีนมีพม่า ลาว กัมพูชา ยกเว้นเวียดนาม แต่ละประเทศก็จะมีรายละเอียดไม่เหมือนกัน ก็ต้องเข้าไปดูตลาดในประเทศเขาก่อน เข้าไปสำรวจห้างทุกห้างที่มี เข้าไปพูดคุยเพื่อจะได้เข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภค และวัฒนธรรม โชคดีที่บริษัทแม่เขามีคอนเน็กชั่นในประเทศนั้นๆ หมดแล้ว พาร์ทเนอร์ก็จะให้ข้อมูลกับเราในส่วนหนึ่ง”

ตลอดระยะเวลา 4 ปีกับบทบาทที่เธอรับผิดชอบ ธุรกิจนั้นเติบโตอย่างต่อเนื่อง และดูท่าว่าในเวลาไม่นานจะขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในตลาดได้อย่างแน่นอน
 
ธุรกิจความสวยความงามในบ้านเราถือว่าเติบโตขึ้นมา