จริยดี ธรรมวิทย์ สเป็นเซอร์

จริยดี ธรรมวิทย์ สเป็นเซอร์

“นิสัยส่วนตัวเป็นคนที่ชอบเดินทางมาตั้งแต่เด็กและชอบทำอะไรที่ท้าทายความสามารถ ด้วยความที่เราเป็นลูกสาวของบ้านก็จะค่อนข้างเดินทางยาก เวลาจะออกไปไหนทีก็ต้องขอเงินคุณพ่อคุณแม่ เลยมีความคิดว่าอยากจะหาเงินใช้เองจะได้ไม่ต้องคอยขอ และจะได้เป็นเหตุผลในการต่อรองเพื่ออนุญาตไปเที่ยวได้ พอโตขึ้นมาหน่อยพ่อก็เริ่มให้อิสระ อยากไปไหนก็ได้ไป ตอนนั้นรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อย มีโอกาสได้ทำตามความฝันให้เป็นจริง จนเมื่อได้เจอกับสามี (เจย์ สเป็นเซอร์) ซึ่งก็เป็นคนชอบเดินทางเหมือนกัน ทำให้เรารู้สึกว่านี่คือสิ่งที่วิเศษที่สุด

“เปิ้ลกับเจย์ผ่านการเดินทางร่วมกันมาไม่ต่ำกว่า 6 ปี ไปมาหลายจังหวัด หลายประเทศ ถ้าให้พูดถึงสถานที่สุดประทับใจ ถ้าเป็นในประเทศเอาใกล้ๆ ก็น่าจะเป็นหัวหิน เพราะขับรถแป๊บเดียวก็ถึง อาหารอร่อย มีโรงแรมเก๋ๆ หลายโรงแรม มีสนามกอล์ฟสวยๆ ได้มาตรฐานอยู่มากมาย ถ้าเป็นต่างประเทศก็น่าจะเป็นประเทศอังกฤษ ไปทุกปีค่ะ เพราะครอบครัวของเจย์อยู่ที่นั่น เปิ้ลชอบบ้านต่างจังหวัดของเจย์มาก เป็นบ้านเก่าอายุ 700 ปีในเมืองกลอสเตอร์เชอร์ (Gloucestershire) มณฑลหนึ่งในอังกฤษ ไปทุกครั้งเหมือนได้พักผ่อนจริงๆ ส่วนผู้คนที่ประทับใจก็ต้องยกให้คนชาติลาว เพราะเขายิ้มแย้ม สุภาพ และต้อนรับดีมาก ทุกครั้งที่ออกไปท่องเที่ยวสิ่งที่ขาดไม่ได้ยามเดินทางก็คือ กล้องถ่ายรูป เพื่อเอาไว้บันทึกเรื่องราวการเดินทางต่างๆ”

เมื่อลองย้อนกลับไปมองการทำงานที่ผ่านมา จะเห็น ‘เปิ้ล-จริยดี’ ในแบบที่เป็นเธอ คือ นอกจากจะกล้าคิด กล้าลงมือทำแล้ว ยังได้ทำในสิ่งที่ตนเองรัก และชอบช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งสิ่งเล็กๆ เหล่านี้ก็ทำให้เธอมีความสุขอยู่เสมอ 

“สำหรับเส้นทางการทำงานของเปิ้ล แรกเริ่มเดิมทีได้รับโอกาสจาก TCDC (Thailand Creative & Design Center) ให้มาทำหน้าที่ Business Matching ซึ่งสิ่งที่ได้รับมอบหมายคือ เราต้องจับให้ดีไซน์เนอร์กับผู้ประกอบการมาเจอกันเพื่อต่อยอดทางธุรกิจ เปิ้ลภูมิใจกับโปรเจ็กต์นี้มาก เพราะได้ช่วยผู้ประกอบการที่เชียงใหม่และอีสาน ซึ่งก็คือ คุณยาย คุณป้า คุณลุง ฯลฯ ที่มีอาชีพทอผ้าขาย โดยปกติแล้วทอผ้าผืนหนึ่งใช้เวลาวันครึ่ง แต่กลับขายได้เพียงผืนละ 150 บาท เปิ้ลจึงบอกว่าถ้าปรับทอลายผ้าใหม่โดยใส่ดีไซน์เพิ่มเข้าไปหน่อย รับรองต้องขายได้ผืนละ 2,000 - 3,000 บาทแน่นอน แล้วทุกๆ คนก็เชื่อเปิ้ลและทีม ซึ่งโปรเจ็กต์นี้ประสบความสำเร็จมาก และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทางผู้ใหญ่ก็ชอบ 

“แต่แล้วเปิ้ลก็ต้องออกจากงาน เพราะคุณพ่อก็อยากให้มาช่วยกิจการที่บ้าน กลายเป็นว่าได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทำงานที่ TCDC เพียงแค่ 5 ปี หลังจากนั้นจึงเรียนต่อระดับปริญญาโท ซึ่งตอนที่เรียนปริญญาโทนั้นเป็นคนละเรื่องกับประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง เพราะเปิ้ลเรียน Product Design ทำ Thesis เกี่ยวกับ Innovative Product เป็นเครื่องช่วยคนสูงอายุว่ายน้ำ เพื่อการออกกำลังกาย จำได้ว่าเป็นโปรเจ็กต์ที่สนุกมาก Advisor ยังบอกให้เรียนต่อปริญญาเอก แต่คุณพ่อบอกว่าพอแล้ว ให้กลับมาช่วยที่บ้านได้แล้ว

“จากการที่เรียน Product Design คลุกคลีกับวงการศิลปะ และทำ Business  Matching ที่ TCDC ซึ่ีงเกี่ยวข้องกับผ้ามา ทำให้เปิ้ลเปิดแบรนด์กางเกงเลผ้าไหมโดยชื่อว่า ‘จารีพัชชา’ส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ชอบอะไรที่เป็นไทยอยู่แล้ว ชอบอนุรักษ์ และก็ชอบใส่กางเกงเลด้วย ประกอบกับหุ้นส่วนของเปิ้ลซึ่งเก่งเรื่องผ้ามากเป็นคนชวนให้มาทำกางเกงเลที่เป็นผ้าไหมร่วมกัน ถือเป็นโอกาสดีที่ได้ต่อยอดความคิดจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาด้วย

“ส่วนตัวเปิ้ลเองก็จะคอยดูแลในเรื่อง Styling และการตลาด มีการแบ่งหน้าที่กันลงตัวชัดเจน ทำให้งานเราสนุกและมีความสุขเมื่อได้ผลิตชิ้นงานออกมา ซึ่งเพื่อนคนนี้รู้จักกัน ตอนที่ทำโปรเจ็กต์ให้ TCDC เราทั้งสองคนจะเป็นมีนิสัยคล้ายๆ กัน ออกแนวลุยๆ ชอบช่วยเหลือคนอื่น เพราะเวลาที่เราทำให้คนอื่นแล้วมันเกิดเป็นความสุข พูดแล้วฟังเหมือนประกวดนางงามยังไงไม่รู้นะคะ (หัวเราะ) 

“จารีพัชชา นี้ก็เกิดขึ้นจากความมีใจรักในผ้าไหมอย่างแท้จริง มีใจอนุรักษ์ความเป็น  ไทย และยังต้องเป็นคนที่มีความรู้เรื่องผ้าไหมอย่างดี ยิ่งผ้าเก่าก็ยิ่งมีราคาสูง ถ้าคนไม่มีใจรักหรือมุ่งมั่น เปิ้ลว่าคงไปไม่รอด ของทุกชิ้นที่ทำออกมาไม่ได้ทำในเชิงปริมาณ แต่เน้นที่คุณภาพล้วนๆ ดังนั้นคนที่จะซื้อควรซื้อไปใส่จริงๆ ไม่ใช่ว่าเห็นเพื่อนเปิดร้านแล้วก็ช่วยอุดหนุน แล้วไปพับเก็บไว้ในตู้ที่บ้าน เราจะเสียใจมาก อยากเห็นคนใส่มีความสุข รู้สึกประทับใจ รู้สึกชอบ   ในตัวผลงานจริงๆ

“แต่ในแง่ของธุรกิจก็ต้องใช้เวลาดูผลตอบรับ หรือความนิยม เต็มที่เราให้เวลา 3 ปี หากเกินช่วงเวลานี้ไปแล้วยอดขายยังไม่มีการพัฒนาก็ต้องถึงวาระปิดตัว (หัวเราะ) เปิ้ลว่าอะไรก็ตามที่ทำแล้วมีความสุขก็รีบทำเถอะค่ะ อย่าคิดเยอะจนทำอะไรไม่ได้ หรือไม่ได้ทำ เพราะมันไม่มีประโยชน์ มีแต่จะมานั่งเสียดายทีหลัง อย่างไรก็ตามต้องเดินทางสายกลางด้วยนะคะ ถ้าให้ดีก็ต้องไม่เป็นหนี้เป็นสิน ไม่ทำให้คนรอบข้างเครียด การที่เราจะทำให้ชีวิตมีความสุขนั้นทำได้ง่าย แต่ขณะเดียวกันต้องฝันให้ไกล และต้องพยายามไปให้ถึง ถ้าไม่ไหวก็ต้องยอมรับความจริง วางแผนชีวิตเอาเท่าที่คิดว่าสามารถทำได้และทำให้เต็มที่ เมื่อนั้นความสุขก็จะอยู่กับเรา”  

สาวใบหน้าลูกครึ่งสวยครบสูตรตามแบบฉบับผู้หญิงเก่ง