พชร ปัญญายงค์

พชร ปัญญายงค์

แบงค์ พชร ปัญญายงค์ จบการศึกษาจากคณะวิศวะ SIIT (ย่อมาจาก Sirindhorn International Institute of technology) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์การเงิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการของบริษัทโตโยต้าบางกอก จำกัด

 

เขาเป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการ เมื่อกลายมาเป็นผู้วิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจของรายการเรื่องเล่าเช้านี้ทางช่อง 3 แม้ปัจจุบันเขาจะพักจากการทำรายการไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีรายการอื่นๆ อีกไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น รายการตลาดทุนททบ. 5 ส่วนรายการทางMoney Channel UBC ช่อง 80 ก็คือรายการ Morning Opening-Closing Bell รายการ Trading Hour รายการManaging Asia Managing Thailand และอื่นๆ อีกมาก

 

อยากให้คุณช่วยบอกว่าในแต่ละวันทำงาน คุณทำอะไรบ้าง

ตอนที่ผมทำ เรื่องเล่าเช้านี้ ก็นอนเที่ยงคืน ตื่นตี 4 แต่ตอนนี้ผมตื่นประมาณ 6 โมงครึ่ง ส่วนใหญ่ผมมีรายการสดจนถึงบ่ายโมงหลังจากนั้นสัปดาห์ละครั้งก็มีออกไปทำเทปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ช่วงบ่ายๆ ผมจะอยู่ที่โชว์รูมโตโยต้า หลังจากหนึ่งทุ่มโดยประมาณผมก็จะไปเล่นเวท ไปตีกอล์ฟ ไปเตะฟุตบอลกับเพื่อนๆ บ้าง ก็จะมีหลายกลุ่มที่เล่นกันอยู่เป็นประจำ ประมาณ 3 ทุ่มก็จะนัดเจอกลุ่มเพื่อนๆ สักที่หนึ่ง แล้วก็ไปสังสรรค์เฮฮากันเกือบทุกคืน ทำอย่างนี้เป็นเรื่องปกติจันทร์ถึงอาทิตย์

 

คุณเริ่มต้นเรียนรู้เรื่องการเงินตั้งแต่เมื่อไหร่

ผมชอบมาตั้งแต่เด็กๆ มันซึมซับมาเรื่อยๆ คุณพ่อก็จบเศรษฐศาสตร์มาด้วย ก็คุยกันแต่เรื่องพวกนี้ในวงกินข้าว แล้วเราเองก็ชอบด้วย มันเหมือนกับเรารู้มากกว่าคนอื่น เราก็เริ่มศึกษาให้รู้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยได้มาใช้ในชีวิตจริง ความจริงผมอยากเรียนเศรษฐศาสตร์มาตั้งแต่ปริญญาตรีแล้ว แต่ก็เลือกระหว่างวิศวะกับเศรษฐศาสตร์ คือเราทำได้ทั้งคู่ก็เลยเรียนวิศวะ ก่อนที่จะมาต่อโทเศรษฐศาสตร์ แต่ถ้าเรียนเศรษฐศาสตร์ก่อน แล้วเราจะเรียนต่อโทวิศวะไม่ได้ ก็เลยเป็นเป็ดดีกว่าไก่ ซึ่งก็ได้ใช้อยู่ 1 ปี คือได้ทำด้านภาคการผลิต แต่ก็ไม่ได้เสียดายนะครับ ถือเป็นการปลูกฐานในเรื่องของการคำนวณ การที่มีลอจิกมากขึ้น เพราะมันค่อนข้างตรงกันข้ามกับนักเศรษฐศาสตร์นะ วิศวกรคิดอะไรที่มันลอจิกมาก 1+1 เป็น 2 อะไรประมาณนั้น แต่นักเศรษฐศาสตร์จะมองอะไรที่มันนอกกรอบออกไป ซื้อ 3 ขาย 5 อาจจะกำไร 2 คือมีผลตอบแทนที่เป็นทั้งรูปธรรมและนามธรรมมากกว่า

 

ในแต่ละครั้งที่ทำงานเตรียมข้อมูลยังไงบ้าง

ผมเป็นคนเสพข่าวจริงๆ ครับ พอขึ้นรถก็จะฟังวิทยุ FM 90.5 FM 96.5 FM 100.5 FM 101 วนอยู่แค่นี้ ในช่วงที่เป็นเวลาทำงานก็จะฟังอยู่ตลอดเวลา ไปนั่งโต๊ะตรงไหนก็แล้วแต่ จะนั่งดูทีวีอย่าง CNBC ก็ดูเป็นประจำ อินเตอร์เน็ตก็จะเสิร์ชเป็นประจำหนังสือพิมพ์นี่ก็จะอ่านทุกฉบับ ยกเว้นหน้าบันเทิง ไม่เคยเปิดไปดูเลยครับ เพราะมันไม่ค่อยเกี่ยวกับงานเราสักเท่าไหร่

 

โดยพื้นฐานสไตล์การทำงานของผมอาจได้รับอิทธิพลจากการนำเสนอข้อมูลมั้งครับ ผมเรียนโรงเรียนอินเตอร์ฯ ตั้งแต่เด็ก มันก็จะมีงานที่ต้องพรีเซนต์บ่อยมาก ผมอาจจะได้จากจุดนั้น จนมาอยู่มหาวิทยาลัยเรียนปริญญาตรี เรียนวิศวะก็เป็นคนที่พรีเซนต์ตลอด จนมาถึงปริญญาโท เศรษฐศาสตร์บ้าง บริหารบ้าง ก็พรีเซนต์ตลอด มันฝึกมาเรื่อยๆ จากการศึกษามากกว่า การศึกษาในสไตล์อเมริกันที่จะต้องมีการนำเสนอบ่อย แล้วเผอิญพี่น้องผมเป็นแบบนี้หมดนะ น้องชายคนกลาง หรือคนเล็กก็เป็นแบบนี้ 

 

จำเป็นแค่ไหนที่คนทั่วไปต้องรู้เรื่องเศรษฐกิจ

ช่วงนี้ยิ่งจำเป็นมากครับ เพราะเป็นช่วงที่มีวิกฤตเศรษฐกิจ โดยเฉลี่ยแล้วชีวิตคนเราจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ประมาณ 5 ครั้ง ครั้งที่หนึ่งเด็กเกินไป ไม่เป็นไรพ่อแม่ดูแล พอครั้งที่สองเริ่มโต รู้จักแล้ว แต่ยังบริหารไม่ได้ เงินไม่พอ ครั้งที่สามสี่ ถ้าใครจับจังหวะถูกเนี่ย สามารถหาผลตอบแทนจากวิกฤตคือหาโอกาสจากวิกฤตได้เสมอ ไม่ว่าจะผ่านตลาดหุ้น หรือการลงทุนโดยเฉพาะ ซึ่งครั้งที่ห้าไม่ต้องพูดถึงเพราะแก่เกินแกงแล้ว ซึ่งในครั้งที่สามที่สี่เนี่ย ถ้าคุณรู้จักการบริหารเรื่องการเงิน คุณจะรอดได้อย่างสบายในวิกฤตทุกครั้งได้ จากที่เราเปิด Money Channel มาเกือบ 5 ปี ผมก็อยู่มาตั้งแต่เริ่มต้นมา เริ่มที่จะมีฐานคนดูมากขึ้นในระดับล้านคน เข้ามาดูรายการเข้ามาดูเว็บไซต์ของเรา ซึ่งถือว่าค่อยเติบโตขึ้นมาแต่ยังเปอร์เซ็นต์ที่น้อยอาจยังไม่ถึง 10 % ก็ตาม แต่ก็เริ่มที่จะมีการพัฒนาใส่ใจมากขึ้น ก็เริ่มเป็นสัญญาณที่ดีครับ 

 

จริงหรือเปล่าคนที่อยู่ในแวดวงการเงินแบบคุณจะได้เปรียบกว่าคนอื่น

อาจจะใช่ครับ เพราะเราใกล้ชิดกับข้อมูลมากกว่า คือเราเป็นคนกลุ่มแรกที่จะได้รับข้อมูลจากภาครัฐ ตลาดหลักทรัพย์ จากภาครัฐบาลหรือเอกชนก็แล้วแต่ เราอาจได้เปรียบในเรื่องของข้อมูล ส่วนเรื่องของการตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับการศึกษาแล้วว่าจะเอาข้อมูลไปใช้ได้มากน้อยขนาดไหน คนที่อยู่ในแวดวงเดียวกับผม แต่ทำกำไรได้ไม่เท่าผมก็มี หรือทำกำไรได้มากกว่าผมก็มีอย่างการดูบอล ผมก็ดูเป็นชีวิตจิตใจเหมือนกัน ดูว่าทีมนี้มีองค์ประกอบอะไรบ้าง ผู้จัดการทีม โค้ช ผู้บริหารเป็นยังไง แล้วก็ผู้เล่นในทุกตำแหน่งเป็นยังไง เราก็จะคาดการณ์ได้ว่าผลที่ออกมามันจะเป็นยังไง

 

แล้วตอนนี้เราควรจะลงทุนกับอะไรดี

วิกฤติทุกครั้งมันจะมีการย่อตัวของหุ้น แต่อย่าลืมครับผลตอบแทนของหุ้นมีโอกาสสูง แต่ความเสี่ยงก็สูงเช่นกัน ในขณะที่หุ้นตกลงต่ำอาจเป็นโอกาสดีที่เข้าไปช้อนซื้อ เพราะมันจะกลับมาเป็นวัฏจักรขาขึ้น หุ้นจะมาก่อนเศรษฐกิจจริง 6-8 เดือน ถ้าเราไปลงทุนในหุ้นก่อนที่เศรษฐกิจมันจะมาแล้วมันถึงขาขึ้นจริงๆ ผลตอบแทนกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ได้เห็นแน่ แต่ต้องเป็นหุ้นพื้นฐานนะครับไม่ใช่หุ้นปั่น คือบริษัทเขาจะเจ๊งอยู่แล้วแต่ก็ยังเข้าไปเล่นกัน นี่ถือว่าไม่ใช่การลงทุนแล้ว แต่มันเป็นการเล่น เราเล่นกับอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่การเอาจริงมันก็เป็นสิ่งไม่ดี สิ่งที่ควรทำคือต้องเอาจริงครับ ไม่ใช่การเล่น ศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน คือคุณจะเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวหรือจะซื้อหุ้นของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ในประเทศ คุณก็ต้องมีการศึกษาว่าร้านก๋วยเตี๋ยวจะขายได้ไหม หรือบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ช่วงนี้ราคาถูกก็จริงแต่น้ำมันจะขายได้ไหม ถ้าขายได้ โอกาสของหุ้นก็มีโอกาสขึ้น

 

โดยส่วนตัวแล้วคุณลงทุนในตัวไหนบ้าง

เอาเป็นกลุ่มดีกว่า หลักๆ เลยนะ กลุ่มแรกจะเป็นอนุพันธ์ อันนี้ความเสี่ยงจะสูงหน่อย คือดัชนีขาลงจะสร้างผลตอบแทนได้ คือหุ้นตก ก็ขายล่วงหน้า ถ้าตกหนึ่งจุดได้หนึ่งพันบาท แต่ถ้าหุ้นขึ้นคุณก็จะซื้อล่วงหน้า หุ้นขึ้นหนึ่งจุดจะได้หนึ่งพันบาท อันนี้คืออนุพันธ์ครับ ไม่ยากลองศึกษาดู แต่ถ้าเป็นหุ้นรายกลุ่มอุตสาหกรรมแล้ว ก็จะมีในส่วนของธนาคารไทยพาณิชย์ที่ได้ลงทุนอยู่ 
ถ้าสงสัยอะไรตอนนี้ผมมีเปิดรับสายตอน 9-11 โมง โทรเข้ามาถามผมทาง Money Channel True Vision ช่อง 80 ได้เลยผมจะวิเคราะห์ให้ทุกวัน เพราะปัจจัยเปลี่ยนแปลงทุกวัน

 

ในสายตาคุณภาพรวมของเศรษฐกิจไทยตอนนี้เป็นยังไง

คือจุดต่ำสุดผมว่าเลยไปแล้ว ควรจะมองว่าถ้ามันพลิกขึ้นมาเป็นขาขึ้นเมื่อไหร่คุณจะทำยังไง คุณเริ่มลงทุนกับอะไร คุณจะบริหารเงินยังไง เพราะฉะนั้นช่วงนี้จึงต้องศึกษาให้เร็วที่สุด และให้เยอะที่สุด 

 

ในเศรษฐกิจแบบนี้ ในส่วนของธุรกิจที่คุณร่วมดูแลมีปัญหามากน้อยแค่ไหน

ผมถือว่าเป็นความโชคดีของการผันตัวของญี่ปุ่นนะ เราได้รับอานิสงค์ของจุดนั้น เราเป็นดีลเลอร์ขายรถโตโยต้า เขาผันตัวเร็วกว่าจีเอ็มหรือไครซเลอร์ เขาผันตัวเองมากว่า 7 ปีแล้วนะ มาขายรถเครื่องยนต์ขนาดเล็กแล้วประหยัดพลังงาน ในขณะที่รถอเมริกันหรือยุโรปนั้นยังขายเครื่องใหญ่ กินน้ำมันเยอะ ทำให้เขาต้องประสบภาวะล้มละลาย แต่ของเราไม่ต้อง เพราะเราผันตัวมาก่อนหน้านี้ แม้เศรษฐกิจโดยรวมตกไม่ว่าจะเป็นของโลกหรือของประเทศไทย ยอดขายตกลงไปบ้าง แต่มีการเติบโตอยู่ในอัตราที่น้อยลงเท่านั้นเอง 

 

คุณคิดบ้างรึไม่ว่าอีก 5 ปี หรือ 10 ปี คุณควรจะทำอะไร

ผมไม่ค่อยมีการวางธงไว้สักเท่าไหร่ แต่จะมีลางๆ ไว้ว่า เราจะครองอุตสาหกรรมยานยนต์ไว้ให้ได้ ทำ Money Channel เป็นที่รู้จักของคนหมู่มากให้ได้ ก็พยายามทำอยู่ทุกวัน ต่อให้อายุ 40 ปี หรืออายุ 50 ปีไปแล้ว ผมก็ยังไม่หยุดที่จะทำ อาจจะไปอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้ผมก็ผมก็เริ่มถอยแล้วจะมาอยู่เบื้องหลังมากขึ้น แต่ก็พยายามผลักดันให้สิ่งที่เราร่วมสร้างกันมาให้เกิดให้ได้ แล้วก็พยายามทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานครับ

ในช่วงเวลาแบบนี้ หลายคนบอกว่าเศรษฐกิจซบเซา