ถกลเกียรติ วีรวรรณ
คุณบอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็กแซ็กท์ จำกัด และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเนริโอจำกัด สร้างชื่อจากการกำกับละครโทรทัศน์ที่แจ้งเกิดนักแสดงในวงการบันเทิงมากมาย มาตั้งแต่ปี 2533 เขามีโอกาสทำละครเวทีเรื่องแรกในปี 2540 เรื่อง ‘วิมานเมือง’ ซึ่งไม่เกินไปถ้าจะพูดว่าเขาได้กลายเป็นผู้จุดกระแสละครเวทีให้ใครหลายคนสนใจมากขึ้นกว่าแต่ก่อนที่จำกัดอยู่เฉพาะกลุ่ม ในแต่ละปีถัดจากนั้นเขาผลิตผลงานออกสู่สายตาผู้ชมหลายต่อหลายเรื่อง เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้นับเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว
ปรากฏการณ์ละครเวทีที่มีจำนวนรอบมากที่สุดถึง 100 รอบ อย่าง “สี่แผ่นดิน” เป็นหลักฐานอันแข็งแกร่งพอที่จะพูดได้ว่าเขาคือผู้สร้างชีวิตให้วงการละครเวทีไทยมีสีสันที่ชัดเจนขึ้นอย่างแท้จริง
วันนี้ละครเพลงเรื่องยิ่งใหญ่ที่เขาเป็นผู้กำกับอย่าง “มิสไซง่อน” กำลังจะเปิดการแสดง (ปลายเดือนกันยายน2555) นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เรามาพูดคุยกับผู้ชายคนนี้ที่เมืองไทยรัชดาลัยเธียเตอร์ ในช่วงสายๆ ของวันที่เขากำลังง่วนอยู่กับการซ้อมใหญ่
ตั้งแต่เด็กๆ ทุกครั้งเมื่อมีโอกาส เขาจะใช้เวลาไป กับการชมภาพยนตร์ แต่สิ่งหนึ่งที่ซึมลึกไปกว่านั้นก็คือ การเฝ้าสังเกตอากัปกิริยาของตัวละคร ความสัมพันธ์ของเสียงดนตรีและบทพูด นั่นจึงทำให้คุณบอยเป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียดอยู่เสมอ
“ตอนเด็กๆ ผมชอบสังเกต Timing ของหนัง ผมจะใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เวลาดูหนังก็จะคิดว่าถ้าอารมณ์ประมาณนี้ เพลงจะเป็นยังไง เมื่อถึงอีกจุดหนึ่ง เสียงเพลงจะต้องเป็นยังไงถึงจะต่ออารมณ์ไปที่บทพูดถัดไปได้ ซึ่งผมเองก็พอจะรู้เรื่องดนตรีอยู่นิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เล่นเก่งอะไร พอเล่นเปียโนได้บ้าง จริงๆ ชีวิตนี้ผมเล่นอีเลคโทนอยู่สามครั้งเองนะ ส่วนเปียโนมีอยู่ที่บ้านก็พอได้จับได้เล่นบ้าง แต่ก็พอรู้บีท รู้จังหวะ เรื่องคอร์ดอะไรอยู่บ้างทำให้พอที่จะสื่อสารกับ Music Director ได้
“ผมดูทุกอย่างทุกขั้นตอนเวลาทำงานก็จริง แต่ผมไม่ใช่เพอร์เฟคชั่นนิสต์แน่ๆ เพราะเสน่ห์ของชีวิตมันคือความไม่เพอร์เฟค ซึ่งในการทำงาน ความเป๊ะของความลงตัวในแต่ละรอบมากกว่าที่คือสิ่งที่ผมต้องการจะเน้น แต่ไม่ใช่ทุกรอบออกมาเป๊ะเหมือนกันหมด มันก็ไม่ใช่ มันต้องมีความต่างที่ลงตัวของมันเอง”
“ผมเป็นคนเชื่อมั่นในความสด ปล่อยทุกอย่างไปตามที่มันเป็น แต่ก็คุมให้มันไม่หลุด ไม่ใช่ไปตามจี้คนที่ทำงานด้วยตลอดเวลา เราก็ให้เวลาเขาในการทำงาน แล้วมาเก็บรายละเอียดให้ได้คุณภาพมากกว่า แต่ผมก็โชคดีตรงที่ได้ทำงานกับคนเก่งเยอะมาก ถ้าผมทำเองหมดทุกอย่าง แล้วผมจะมีคนเก่งไว้ทำไมใช่ไหม ผมก็เปิดให้แต่ละคนโชว์ของกันมาก่อนเลย แล้วผมจะมองจากภาพรวม ตรงไหนยังไม่โอเค ยังไม่ลิงค์กับส่วนอื่น ก็เข้าไปดูทีละจุดมากกว่า”
นอกจากจะสร้างละครเวทีแล้ว คุณบอยยังสร้างค่านิยมใหม่ๆ ให้กับคนไทยว่าเรื่องของละครเวทีนั้นไม่ใช่ศิลปะการแสดงเพื่อคนเฉพาะกลุ่มอย่างที่หลายคนคิด เพราะคนส่วนใหญ่ยังกลัวการดูละครเวที เนื่องจากคิดว่าดูยาก ต้องใช้จินตนาการสูง
“ผมบอกได้เลยว่ามันไม่เหมือนหนัง เพราะคุณไม่สามารถรู้ได้เลยว่าบนพื้นที่สี่เหลี่ยมของเวทีตรงหน้า จะสามารถพาคุณไปได้ไกลมากแค่ไหน แต่ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ผมมองว่ามันก็มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากนะ จากละครเรื่องแรกที่เราแสดงที่ศูนย์วัฒนธรรมสิบกว่ารอบ มาจนถึงสี่แผ่นดินร้อยกว่ารอบนี้ มันแสดงให้เห็นถึงปรากฏการณ์อะไรบางอย่าง
“เวลาเราทำงานผมคำนึงถึงคนดู คำนึงถึงการสื่อสาร คำนึงถึงคนหมู่มาก ไม่ใช่แค่เพียงเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ผมเชื่อในความไม่ซ้ำซาก สมมติว่าผมรู้ว่าสี่แผ่นดินประสบความสำเร็จ แล้วก็พยายามทำแบบนั้นอีกไปเรื่อยๆ ผมว่าเราก็จะตายเอง คนดูก็จะเบื่อ เพราะฉะนั้นเราก็ควรจะต้องหาอะไรที่แปลกใหม่อยู่เสมอ แล้วเราก็จะได้ฐานคนดูใหม่เพิ่มขึ้นอย่างละครเรื่องรักจับใจที่เพิ่งแสดงจบไปมันก็ออกมาดีมาก ได้อย่างใจ ผมชอบและมีความสุขมาก
“ส่วนคนจะมองว่าละครเวทีของผมโชคดีตรงที่ได้นักร้องวัยรุ่นมาแสดงนำ คนก็เลยมาดูเยอะ มันก็เป็นแค่มุมเดียว แต่ผมอยากให้รู้ว่ามันไม่ใช่ทั้งหมด แฟนคลับของแต่ละคนเขามาตามดูทุกรอบไม่ไหวแน่นอน เพราะฉะนั้นที่เราเพิ่มรอบเรื่อยๆ และคนเต็มตลอด ถามว่ามันเพราะอะไร ก็เพราะคุณภาพ เพราะความสนุก ความประทับใจที่เขาได้รับแล้วบอกต่อๆ กันไป
“โชคดีที่ผมมีศิลปินที่พร้อมที่จะเรียนรู้ พัฒนาความสามารถ และเราสามารถดึงเอาศักยภาพที่เขามีออกมาใช้ได้ สิ่งที่เราทำอยู่ไม่ใช่สักแต่จะเอานักร้องวัยรุ่นมาเต้นแร้งเต้นกา ทำอะไรก็ไม่รู้บนเวที มันไม่ใช่ ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณก็ดูถูกผมเกินไป เพราะสิ่งที่ผมทำคือการวางรากฐาน แล้วให้เขาพัฒนาตัวเองไปได้เรื่อยๆ และคนที่มาดูต้องไม่ใช่แค่กลุ่มแฟนคลับ เราต้องทำให้เกิดกลุ่มใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆ”
นอกจากความสุขในการทำละครเวทีแล้ว การตระเวนชมละครเวทีจากทุกมุมโลกก็เป็นอีกหนึ่งความชอบที่เขาโปรดปรานไม่น้อย แน่นอนว่าจุดมุ่งหมายในการชมนั้นนอกจากจะเพื่อความบันเทิงแล้ว ยังได้เรียนรู้ไปในตัวด้วย
“ผมเองไม่ชอบเปรียบเทียบ แต่งานของคนอื่นผมก็ดูนะครับทั้งของไทยและต่างประเทศ แต่ดูให้เป็นประสบการณ์และให้เป็นบทเรียน เพราะคิดว่าทุกวันก็คือการเรียนรู้ บางทีเราไปดูตรงโน้นตรงนี้ จะชอบหรือไม่ชอบ ก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้น
“ถ้าถามว่าละครเวทีของเราอยู่ตรงไหนในระดับเอเชีย ผมว่าตอบยาก เอาเป็นว่าสุดท้ายแล้วคุณมาดูละครเวที เห็นความลงตัวของทุกสิ่งทุกอย่าง ได้รับความอิ่มเอมความประทับใจแค่ไหนดีกว่า เพราะบางทีอะไรหลายๆ อย่างก็ไม่เหมือนกัน ทั้งภาษา สำเนียง การร้อง มันเทียบกันยาก มันคงต้องดูที่องค์รวมมากกว่า ผมไม่เคยชอบที่จะบอกว่าต้องบรอดเวย์สิถึงจะได้มาตรฐานหรืออะไร มันแล้วแต่ความชอบของแต่ละคนมากกว่า
“อย่างสี่แผ่นดิน พินต้า (ณัฐนิช รัตนเสรีเกียรติ) ร้องดีมากนะ แต่มันก็มีบางช่วงที่เราต้องเน้นอารมณ์มากกว่าเทคนิคการร้อง เราก็ต้องหาจุดที่ลงตัว เพื่อให้มันออกมาสมบูรณ์ ขณะเดียวกัน ผมก็มีฝรั่งที่ทำละครบรอดเวย์มาดู เขาก็บอกว่านักแสดงของเราเก่งมาก แม้กระทั่งตัวหลักหรือตัวรอง เขาชื่นชมเรามาก อย่างนี้มันก็สามารถบอกอะไรบางอย่างได้เหมือนกัน
“การทำงานของผมในทุกวันนี้ ก็แค่หวังว่าละครแต่ละเรื่องมันจะสามารถเล่นได้หลายรอบกว่านี้ มีคนอยากที่จะมาดูการแสดงมากกว่าที่จะพุ่งเป้ามาดูดารานักแสดงที่มีชื่อเสียง ซึ่งนั่นเป็นด้านบวกในการดึงคนดู แต่ในที่สุดแล้วผมก็อยากให้คนมาดูเพราะการแสดงมากกว่า
“ละครเวทีมันคือความสามารถอันน่าทึ่งของมนุษย์ แต่บางทีคนไทยก็มักจะสับสนระหว่างดารากับคุณภาพนะว่ามันต้องมาคู่กัน ซึ่งความจริงมันไม่เสมอไป แต่ผมกล้าพูดได้ว่าในเมืองไทยรัชดาลัยเธียร์เตอร์ เป็นที่ๆ ให้คนมาเสียเงินเพื่อเสพคุณภาพเท่านั้น”
แม้ขณะนี้เมืองไทยรัชดาลัยเธียเตอร์จะเป็นสถานที่ที่มีละครเวทีเปิดทำการแสดงมากที่สุดแล้วก็ตาม แต่คุณบอยก็ยังคาดหวังให้ “นักแสดงละครเวที” รวมถึงทีมงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังได้มีจุดยืนที่มั่นคงมากขึ้น จนเรียกมันว่าเป็นอาชีพได้
“นักแสดงละครเวทีถือว่าเป็นอาชีพได้ไหม มันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่ามีความต่อเนื่องของงานไหม ส่วนนักแสดงที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว แล้วมาเล่นละครเวที อันนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเพราะเขามีงานรองรับอยู่แล้ว แต่ผมบอกเลยว่ารายได้ของนักแสดงที่มีชื่อเสียงเมื่อมาเล่นละครเวทีนั้นก็เทียบเท่ากับการเล่นละครโทรทัศน์เลย
“แต่ถ้าเกิดเป็นนักแสดงที่ไม่ได้มีชื่อเสียง เขาก็จะทำงานในช่วงที่มีละคร เพราะฉะนั้นมันก็อาจจะไม่ได้มีละครตลอดทั้งปี มันเลยเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะถือเป็นอาชีพประจำ แต่ผมว่ามันก็เป็นอย่างนี้ทุกวงการ ซึ่งผมเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ตามถ้ามีความตั้งใจและพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้คุณมีงานเสมอ ถ้าคุณมีคุณภาพ เมื่อผมมีโปรเจ็คท์ต่อไป ผมก็จะเลือกมาแสดงอีกแน่นอนอยู่แล้ว และนั่นก็จะทำให้เขามีอาชีพนักแสดงละครเวทีเป็นอาชีพประจำได้
“เคยมีน้องคนนึงที่เรียนจบการแสดงมาตั้งแต่มหาวิทยาลัย แล้วเขาก็มาทำงานกับผมหลายเรื่อง ซึ่งเขาก็เอนจอยดีกับตรงนี้ เพราะได้ทำในสิ่งที่เขารัก วันนึงเขาก็มาเล่าให้ผมฟังว่าเพื่อนๆ ที่เรียนมาด้วยกัน แต่ละคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำอาชีพอื่นๆ กันหมด แล้วเพื่อนก็มากระแนะกระแหนน้องคนนี้ว่า จะอยู่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน เล่นไปก็ไม่เห็นจะดัง
“ผมก็ถามว่าน้องคนนี้ว่าคิดยังไง เขาก็บอกว่าพอใจและมีความสุขกับตรงนี้ ซึ่งนั่นมันก็คือคำตอบแล้วนะ เพราะผมก็เห็นว่าเขาทำในสิ่งที่รัก เขาสามารถพัฒนาตนเองไปได้เรื่อยๆ แต่มันก็อาจจะต้องทำอาชีพเสริมบ้าง เพราะเมื่อไม่ใช่คนมีชื่อเสียงอะไร งานมันก็ย่อมไม่มีมากมายหลากหลาย แต่ก็นั่นแหละนักแสดงละครโทรทัศน์เองก็ไม่ได้ดังกันทุกคนเหมือนกัน”
“เชื่อไหมครับว่ายังมีบางคนเข้าใจผิดระหว่างความเป็นนักแสดงกับความเป็นดารา ความเป็นนักแสดงไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องดัง แต่มันหมายถึงคุณทำงานแสดง มีรายได้ แล้วก็อยู่ได้กับอาชีพนี้ แล้วก็เอนจอยกับงานนี้ แต่บางคนไปคิดว่าเมื่อไหร่ฉันจะดังสักที ซึ่งมันไม่มีใครบอกได้หรอก แต่ที่แย่กว่านั้น บางทีทุกวันนี้ดาราเองก็ยังไม่ใช่นักแสดงเลย ซึ่งมันน่าเศร้านะ”
“มิสไซง่อน” คือละครเวทีเรื่องล่าสุดที่คุณบอยภูมิใจนำเสนอให้ผู้ชมได้มีโอกาสดูละครเวทีระดับโลก ผ่านฝีมือคนไทย
“มิสไซ่ง่อนเป็นโปรดักชั่นที่ใหญ่มากๆ ครับ ไม่ง่ายเลยนะกว่าที่เราจะได้ลิขสิทธิ์มา เพราะมันเป็นละครเวทีท็อปไฟว์ของโลก เจ้าของลิขสิทธิ์เขาหวงมาก แต่ในที่สุดเขาก็ไว้ใจและมั่นใจเรา อาจเพราะผลงานต่างๆ ที่เราทำมา เขาก็คงดูโพรไฟล์ของเราพอสมควร
“ผมเลือกเรื่องนี้เพราะมันสามารถเข้ากับคนไทยได้ มันเป็นเรื่องของความรัก รักแท้ที่มีอุปสรรค โครงเรื่องมันก็คล้ายๆสาวเครือฟ้า แต่พอความรักแบบนี้มันถูกวางในโครงเรื่องที่เกี่ยวเนื่องสงครามเวียดนาม มันก็จะมีมิติที่แตกต่างมากขึ้นแต่เราจะสัมผัสได้ง่ายมาก เพราะมันเล่นเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์ เนื้อเพลงก็ซาบซึ้งกินใจ มันคือชีวิตจริงๆ มันคือมนุษย์ ไม่มีใครผิดใครถูก ผมว่ามันมีเสน่ห์ตรงนี้ ผมดูละครเรื่องนี้ครั้งแรกมาตั้งแต่ปี 1990 จากนั้นก็ดูอีกนับครั้งไม่ถ้วน แต่ละครั้งที่ดูก็จะมีความรู้สึกแตกต่างกันไป พอได้มาทำเอง ก็ยิ่งเห็นความงดงามของบทประพันธ์
“สำหรับคนที่ไม่รู้จักว่าละครเรื่องมิสไซ่ง่อนคืออะไร พูดถึงอะไร ผมก็อยากจะบอกว่ามันเป็นละครที่แสดงมาแล้วสิบกว่าภาษา สองหมื่นกว่ารอบในโลก และละครเรื่องนี้ก็ถือเป็นละครที่ให้แรงบันดาลใจ หลักที่ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ละครเวทีดีๆ อีกหลายต่อหลายเรื่อง
“ส่วนคนที่เคยดูมิสไซ่ง่อนมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนในโลก ผมอยากบอกว่าคราวนี้ลองมาดูฝีมือคนไทยบ้าง แล้วจะรู้ว่าคนไทยก็มีความสามารถไม่แพ้ฝรั่ง และยังสามารถเข้าถึงผู้ชมได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะด้วยภาษา มุมมอง และทัศนคติของตัวละคร แต่ในขณะเดียวกัน มิติของตัวละครก็ไม่ได้หล่นหายไปไหน”
จบจากเรื่องนี้แล้ว ไม่ว่าการแสดงบนเวทีครั้งต่อไปจะเป็นละครเรื่องอะไร แต่เชื่อได้ว่าหากผ่านการรังสรรค์จากหนึ่งสมองและสองมือของชายผู้มีแรงผลักดันในการทำงานศิลปะอย่างแท้จริงคนนี้แล้ว มันย่อมเป็นผลงานคุณภาพอย่างแน่นอน
เชื่อสิ...เพราะเราได้ยินเสียงปรบมืออันกึกก้องนั้นล่วงหน้ามาแต่ไกล