ความรักที่ถูกกฎหมาย

ความรักที่ถูกกฎหมาย

Green Chair เป็นหนังเกาหลี สร้างและออกฉายเมื่อปี 2005 โดยฝีมือกำกับของพาร์ค ชุล ซู เนื้อเรื่องคร่าวๆ กล่าวถึง ความสัมพันธ์ต่างวัย ระหว่างแม่ม่ายสาวอายุ 32 กับเด็กหนุ่มอายุ 19

หนังเริ่มต้นเปิดเรื่อง หลังจากทั้งสองผ่านการมีเพศสัมพันธ์กันไปแล้ว ตามด้วยบทสนทนาถึงความเป็นไปได้ที่จะนัดพบกันอีกครั้ง จากนั้นภาพก็ตัดไป พร้อมกับขึ้นข้อความในท่วงทีเหมือนพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ว่า หญิงสาวโดนจับกุมข้อหามีเพศสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

หลังจากติดคุกอยู่หลายวัน หญิงสาวก็ได้รับการปล่อยตัว พร้อมกับเงื่อนไขว่า เธอต้องชดเชยแลกเปลี่ยนด้วยการทำงานบริการสาธารณะในช่วงเวลาหนึ่ง (ได้แก่ การทำงานเป็นพยาบาลดูแลบ้านพักคนชรา)

ขณะหญิงสาวออกจากคุก บริเวณภายนอกเต็มไปด้วยกลุ่มนักข่าวมารุมห้อมล้อมขอสัมภาษณ์และถ่ายรูป ล่วงล้ำสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลอย่างไร้เมตตาและขาดจรรยาบรรณ 
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะปรากฏตัวและรีบนำพาเธอจากไป

ความเป็นหนังอิโรติกของ Green Chair แสดงออกเด่นชัดในช่วงประมาณครึ่งชั่วโมงแรก หลังจากที่คู่หนุ่มสาวพบกันอีกครั้ง ทั้งคู่ก็ขับรถรอนแรม เช่าห้องพักริมทางแห่งหนึ่ง และใช้เวลาหลายวันถัดจากนั้น โดยไม่ทำกิจกรรมอื่นใด นอกจากร่วมรักกันครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับหิวกระหายและไม่มีวันอิ่ม

พร้อมๆ กับภาพเปลือยและฉากรักอันมีอยู่มากมาย หนังก็ค่อยๆ เล่าเรื่องไปสู่อีกลำดับขั้นตอน ถึงความไม่มั่นใจต่ออนาคตข้างหน้าของตัวละคร

สำหรับฝ่ายหญิง เธอค่อนข้างปักใจเชื่อว่า ความรู้สึกที่เด็กหนุ่มมีต่อตัวเธอ เป็นเพียงความลุ่มหลง ความตื่นเต้นต่อประสบการณ์ทางเพศที่เพิ่งรู้จักและได้มีโอกาสสัมผัสขณะที่ฝ่ายชายเชื่อมั่นและพยายามยืนกรานพิสูจน์ตนเองว่า ความรู้สึกเร่าร้อนของเขา ไม่ใช่สิ่งผิวเผินฉาบฉวย หากแต่เป็นความรักแท้

การถกเถียงขัดแย้งจบลงด้วยการแยกทาง หญิงสาวนั่งรถโดยสารไปพำนักกับเพื่อนสนิทที่อยู่ต่างเมือง แต่แล้วเด็กหนุ่มก็ไม่ละความเพียร ติดตามจนกระทั่งมาพบกันอีกครั้ง ผ่านการปรับความเข้าใจ ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เพื่อรอระยะเวลาอีกเพียงไม่กี่วัน ที่เขาจะมีอายุครบ 20 ปี สามารถใช้ชีวิตอยู่กับเธอได้อย่างเปิดเผยและถูกกฎหมาย

ทั้งหมดนี้คือเนื้อเรื่องคร่าวๆ พอประมาณของหนังเรื่อง Green Chair ตัวหนังนั้นมีความประหลาดอยู่อย่างหนึ่งคือ ก่อให้เกิดความรู้สึกขึ้นๆ ลงๆ ไม่คงที่อยู่ตลอด เป็นความรู้สึกสลับไขว้ไปมา ระหว่างการเป็นหนังดีกับหนังเลว

พูดง่ายๆ คือ บางช่วงบางตอนส่อเค้าทีท่าว่าน่าสนใจ และนำเสนอออกมาได้ดี แต่แล้วก็พลิกผันตามมาด้วยฉากที่อ่อนด้อย ดูเหมือนส่วนเกิน ปราศจากความจำเป็นต่อการเดินเรื่อง จนผมเกือบจะสรุปตัดสินตั้งแต่ก่อนจะได้ดูจนจบว่าเป็นหนังเลว ก็เกิดการเหวี่ยงกลับอีกครั้ง ด้วยรายละเอียดเชื่อมโยง ซึ่งทำให้ฉากที่ค่อนข้างไปทางเหลวไหลเลอะเทอะ กลับกลายเป็นมีความหมายความสำคัญขึ้นมาได้

การสลับข้ามฟากไปมา ระหว่างดีกับแย่ เกิดขึ้นตลอดทั้งเรื่อง จนกระทั่งถึงฉากไคลแม็กซ์ที่ดูประหลาดและขาดแคลนความสมจริงไม่สมเหตุสมผลอย่างรุนแรง ในงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 20 ของเด็กหนุ่ม แขกที่ได้รับเชิญคือ พ่อแม่ของฝ่ายชาย แม่และอดีตสามีของฝ่ายหญิง เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งคอยเฝ้าระวังความสัมพันธ์ผิดกฎหมายอย่างใกล้ชิด

ความประหลาดอย่างแรกคือ ลีลาการนำเสนอในฉากดังกล่าว มีลักษณะชวนให้นึกถึงละครเวที ตัวละครมาชุมนุมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ผลัดกันพูดระบายความในใจ และลงเอยด้วยการที่เด็กหนุ่มสามารถพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นและยอมรับว่า เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่เพียงพอ มีคุณสมบัติศักยภาพในการดูแลปกป้องคนรัก และมีความพร้อมที่จะใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกับเธอ

ความประหลาดต่อมา คือ ฉากดังกล่าวเต็มไปด้วยอารมณ์ขันผิดที่ผิดทาง และลดทอนน้ำหนักความจริงจังน่าเชื่อถือของเรื่องราวเหตุการณ์ลงไปมาก

ถ้าหากหนังเรื่อง Green Chair จบลงเพียงเท่านี้ ก็สามารถพูดได้ว่า เป็นฉากไคลแมกซ์ที่ตื้นเขิน เสแสร้ง และทำให้อาการกึ่งดีกึ่งร้ายที่ปรากฏสลับไปมาตลอดทั้งเรื่อง ได้คำตอบสุดท้ายอยู่ในเกณฑ์หนังเลว

แต่หนังยังมีบทสรุปทิ้งท้ายหักมุมอีกเล็กน้อยในช่วงเครดิตตอนจบ ทำให้ผู้ชมเกิดความเข้าใจต่อฉากไคลแมกซ์เหลวไหลนี้ไปอีกด้าน เท่าที่สามารถเปิดเผยโดยไม่ทำให้เสียอรรถรส มันบ่งชี้ให้ผู้ชมเห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างโลกแห่งความฝันกับโลกแห่งความเป็นจริงด้วยน้ำเสียงเสียดสีเย้ยหยัน

นอกเหนือจากความแปร่งประหลาดในเรื่องคุณภาพขึ้นๆ ลงๆ ความแปลกอีกอย่างของหนังเรื่อง Green Chair ก็คือ แนวทางและอารมณ์โดยรวมของหนัง ซึ่งจับทางได้ค่อนข้างยาก

จากจุดเริ่มต้น ไปจนกระทั่งถึงครึ่งชั่วโมงแรก ทิศทางของหนังดูเหมือนจะมุ่งไปเป็นหนังอิโรติกที่เน้นเรื่องจิตวิเคราะห์ของตัวละคร ถัดจากนั้นมาก็คลี่คลายมาเป็นหนังชีวิตสะเทือนอารมณ์ เมื่อขมวดเข้าสู่ช่วงสุดท้าย ก็ปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ จนเกือบจะเป็นหนังตลกโรแมนติกเรียงลำดับแล้ว ส่วนต้น กลาง ปลาย ของหนังเรื่องนี้เป็นไปในลักษณะ ดำเข้มสนิท มืดหม่นเจือเทา แล้วขาวสว่าง

พูดได้ว่า เป็นหนังที่มีความหลากหลายในตัว ข้อดีคือ ผู้กำกับสามารถประคับประคองไม่ให้หนังออกมากระจัดกระจายขาดความเป็นเอกภาพ แต่ข้อด้อยก็คือ ในแต่ละโทน แต่ละน้ำหนักของอารมณ์ที่ต่างกัน ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดไปได้ถึงจุดสูงสุด

ความหลากหลายของหนัง ไม่ได้มีเฉพาะอารมณ์และเนื้อเรื่องเหตุการณ์เท่านั้น แต่แก่นสารสาระที่มุ่งจะถ่ายทอดสื่อต่อผู้ชมก็พูดอะไรต่อมิอะไรเอาไว้หลายประเด็นด้วยเหมือนกัน เช่น ความขัดแย้งระหว่างตัวบุคคลกับสังคมรอบข้าง, การตั้งคำถามว่าเซ็กซ์กับความรัก สามารถอยู่ร่วมเป็นเนื้อเดียว หรือแยกขาดออกจากกัน, การเสียดสีเย้ยหยันถึงแง่มุมทางกฎหมาย ถึงระยะเวลาก้ำกึ่งจวนเจียนใกล้บรรลุนิติภาวะ ว่าภายในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองฉับพลัน จากสภาพการเป็นผู้เยาว์สู่การเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบได้จริงหรือไม่? รวมไปถึงแง่มุมที่เกี่ยวกับหนังโดยอ้อมอย่างการวิพากษ์วิจารณ์เหน็บแนมการทำงานของสื่อมวลชน 

เพราะความที่หนังเจตนาจะพูดหลายๆ ประเด็น น้ำหนักแต่ละส่วนก็เลยดูกลางๆ ไม่มีตรงไหนจุดใดได้รับการขับเน้นให้เด่นชัด ยกเว้นประเด็น ความขัดแย้งซับซ้อนภายในใจของนางเอก ซึ่งเป็นส่วนที่ทำได้ดี เด่นชัด และมีน้ำหนักมากสุด

กล่าวคือ เป็นความขัดแย้งระหว่างความไม่มั่นใจในตนเอง (เรื่องที่มีอายุมากกว่าฝ่ายชาย) ความหวั่นวิตกว่าตนเองจะถูกทอดทิ้ง (แง่มุมนี้เชื่อมโยงกับอดีตที่เคยโดนสามีนอกใจและฟ้องหย่า) ความลังเลไม่แน่ใจว่าเธอหลงรักเด็กหนุ่ม หรือเป็นเพียงแค่ความพึงพอใจในเรื่องเซ็กซ์ รวมถึงความกลัวที่จะเผชิญหน้ากับสังคมรอบข้าง 

ความขัดแย้งอีกอย่างที่น่าสนใจของหนังเรื่อง Green Chair ก็คือ ภาพที่ตรงกันข้ามของคู่พระเอกนางเอก ฝ่ายหญิงเต็มไปด้วยบุคลิกที่ตึงเครียด จริงจัง สลับซับซ้อน และลึกๆ ก็ดูเหมือนฝังตัวเองจมอยู่ในห้วงทุกข์ ขณะที่ฝ่ายชายกลับดูสดใส รื่นรมย์ ทำตัวมีเสน่ห์ต่อคนรอบข้าง

คนหนึ่งผ่านโลกและชีวิตมามาก จนกระทั่งไม่ไว้วางใจสิ่งใด ส่วนอีกคนเหมือนอยู่ในช่วงกำลังเปลี่ยนผ่านจากเด็กมาเป็นวัยหนุ่ม พยายามพูดจา คิด และทำทุกอย่างให้เป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ยังแฝงไว้ด้วยความไร้เดียงสาอ่อนโลกอยู่เต็มเปี่ยม

บุคลิกที่แตกต่างกันของตัวละครนี้ ซึ่งหนังแจกแจงเอาไว้ค่อนข้างละเอียด แฝงนัยยะสำคัญอย่างหนึ่งนั่นคือ มันบ่งบอกถึงแนวโน้มและความเป็นไปได้ หลังจากที่หนังเล่า
เรื่องจบลงครบถ้วนแล้ว ว่าความสัมพันธ์ของตัวละครคู่นี้จะดำเนินต่อไปเช่นไร?

Green Chair เป็นหนังที่ผมสรุปตัดสินค่อนข้างลำบาก ว่าเข้าข่ายหนังดีหรือหนังเลวนะครับ ข้อดีก็มีอยู่มากส่วนที่เป็นบาดแผลฉกาจฉกรรจ์ก็มีในสัดส่วนปริมาณไม่แพ้กัน 

บวกลบคูณหารแล้ว ผมขอพูดอย่างนี้ก็แล้วกันนะครับว่า เป็นงานในระดับน่าพึงพอใจ และการเสาะหาหนังเรื่องนี้มาดู ก็ไม่ถึงกับเป็นความสูญเปล่าสิ้นเปลืองเวลา ... 

คนหนึ่งผ่านโลกและชีวิตมามาก จนกระทั่งไม่ไว้วางใจสิ่งใด