แดน เหตระกูล
“ผมมองเห็นพัฒนาการของ MiX มาโดยตลอดนะ น่าสนใจทีเดียว” นี่คือคำทักทายแรกที่ช่วยลดช่องว่างระหว่างคนแปลกหน้าให้แคบลงในการพบกันครั้งแรกของเรา ท่าทีสบายๆ และเป็นกันเอง ทำให้คำถามแรกที่เราเตรียมมานั้นมีอันต้องหายไป แปรเปลี่ยนเป็นคำทักทายถามไถ่กันอย่างมักคุ้นเช่นกัน เพราะสถานที่ที่เราได้มาพบกันนั้นเป็นสถานที่แฮงก์เอ้าท์อีกหนึ่งความตั้งใจในการทำธุรกิจของผู้ชายที่นั่งอยู่เบื้องหน้าคนนี้ กับร้าน Grease Bangkok ที่เขาหวังจะนำเสนออีกหนึ่งรูปแบบของการเที่ยวกินดื่มและแฮงก์เอ้าท์ในรูปแบบที่แตกต่างในแบบที่เขาเป็น
“ผมชอบทำอะไรที่แตกต่างนะ เพราะมองว่ามันเป็นช่องทางของโอกาสที่มากกว่าคนอื่น โลกในทุกวันนี้มันหมุนไปเร็วมาก เราจะตามโลกอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องคิดเผื่อและหาทางเลือกให้กับตัวเอง ซึ่งผมก็เลือกใช้ชีวิตในแบบที่ตัวตนผมต้องการโดยตลอดนะ แน่นอนว่ามันก็ต้องมีกรอบบ้าง ซึ่งผมก็อยู่ในวุฒิภาวะที่จะดูแลตัวเองให้ดำเนินไปด้วยดีเช่นกัน”
เขามองไปรอบๆ บรรยากาศร้านราวกับกำลังดูผลงานมาสเตอร์พีซของตนเองแล้วเริ่มเล่าถึงการเรียนรู้ที่ผ่านมาในชีวิต นอกจากจากเขาจะเป็นลูกและหลานชายที่เติบโตมาจากครอบครัวใหญ่ มีธุรกิจที่หลากหลายและมีมูลค่าระดับท็อปของประเทศ อีกทั้งยังเป็นเจ้าของสื่อหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่แล้ว เขายังรับหน้าที่ดูแลบางส่วนของธุรกิจครอบครัว เช่น ธุรกิจไวน์ชั้นดีที่ฝรั่งเศส หลายคนจับตามองดูไลฟ์สไตล์ในสังคมของเขา หากแต่ใครจะรู้ว่าเขาเองก็มีส่วนสำคัญในการสานต่อและพัฒนาธุรกิจไวน์ที่ฝรั่งเศสนี้ด้วยเช่นกัน
สำหรับไร่ไวน์ที่ บอกซ์โด ฝรั่งเศส เขาทำหน้าที่ Country Manager ของ Chateaux Management Group (CMG) ซึ่งไวน์ของเราเป็นไวน์ Vintage ชั้นดี ที่มีผู้คนนิยมดื่มกันมาก และแน่นอนด้วยความที่เขาคิดต่างๆ เขาจึงพัฒนาไวน์ไปไกลกว่านั้นด้วยการเปิดตลาดไวน์ที่ผลิตโดยกรรมวิธีออร์แกนิค เน้นที่คุณภาพของการดื่มการบริโภคอย่างแท้จริง จากนั้นเมื่อมองเห็นช่องทางของความต้องการไวน์ วินเทจ เขาจึงให้ความสำคัญของนักสะสม ‘การลงทุนในเรื่องของไวน์’ จึงถูกพัฒนาขึ้นให้เป็น ‘กองทุนไวน์เก่าแก่’ ซึ่งยิ่งลงทุนก็ยิ่งมีกำไร แต่ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในสิ่งที่รักของคนที่ชอบทางด้านนี้มากกว่า ดังนั้นเรื่องของธุรกิจด้านไวน์ เขาได้พัฒนาต่อจนเป็นธุรกิจที่ครบวงจรในทุกวันนี้
“คนดื่มไวน์เนี่ยะ เขาจะรู้ว่าในไวน์มันจะมีคุณสมบัติบางอย่างที่ดีต่อร่างกาย มันจึงเป็นเครื่องดื่มแห่งวัฒนธรรม มันเป็นสัญลักษณ์แห่งความศิวิไลซ์ ผมไม่เคยเห็นคนเมาไวน์แล้วตีกันนะ มันเป็นเครื่องดื่มจรรโลงโลกในระดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ เราต้องมองต่อว่ากลไกภาษีหรืออะไรก็ตามที่ทางรัฐบาลออกมานั้นต้องการอะไร มีการทำความเข้าในในเรื่องของ Good/Bad Alcohol มากแค่ไหน เพราะยิ่งมีความรู้น้อย การจัดการด้านภาษีที่เอารัดเอาเปรียบหรือเห็นแก่พวกพ้องกันเกินไปมันก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะกีดกันโอกาสในการได้บริโภคของดีมีคุณภาพไว้เฉพาะแค่คนบางกลุ่มเท่านั้น
“ผมเชื่อว่าตอนนี้ประเทศไทยยังไม่ถึงขึ้นที่จะมานั่งใส่ใจว่าจะจ่ายแพงไปทำไมเพื่อแลกกับไวน์ดีๆ สักขวด แต่ผมเองก็อยากขอให้มองไวน์เหมือนการอ่านหนังสือ แต่ว่ามันก็ต้องอ่านด้วยตัวเองนะ ไม่ใช่มันจะมาให้ใครนั่งเล่าให้ฟัง ข้อมูลทุกวันนี้มันมีมากมาย จะเชื่อเซียนคนไหนก็ได้ แต่บางทีก็ต้องเชื่อลิ้นตัวเองได้ ทุกอย่างเมื่อว่าด้วยระบบของเทรนด์แล้ว มันต้องมีเทรนด์ที่ดีและไม่ดี แต่อย่างน้อยก็ลองใช้รสนิยมของตัวเองดูด้วยครับ มันไม่มีอะไรเป็นข้อจำกัดตายตัว คุณอาจพบว่าไวน์ดีๆ ของคุณนั้นวิเศษสุดเลยเมื่อได้กินกับหมูปิ้ง ... มันก็เป็นไปได้ มันสุดยอดแล้ว การค้นหาตัวเอง รสนิยมของตัวเองเจอเนี่ยะ อาจเป็นอีกมุมมองหนึ่งจากผมนะ
“เอาเข้าจริงผมเองก็เริ่มดื่มไวน์ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยนะ คุณพ่อท่านก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรในเรื่องนี้ ซึ่งผมก็ดื่มในบ้านนี่แหละ เพื่อนๆ ก็มาที่บ้าน เราก็จะแชร์กัน ผมมีระบบในการคบคน เรากินเท่าที่มี เราคบกันอย่างแฟร์ๆ มากกว่า ผมเลยมีเพื่อนได้ทุกกลุ่ม แล้วก็ไม่ได้ดื่มอะไรที่มันแพง เอาเท่าฐานะที่เรายังแบมือขอเงินพ่อแม่อยู่เท่านั้น ซึ่งตอนแรกๆ ที่ดื่มนั้นก็ไม่ได้ซาบซึ้งถึงคุณค่าอะไรของไวน์มากนัก ก็รู้ว่ามันคือไวน์นั่นแหละ ผมกินแบบใส่หลอดดูดกันกับเพื่อนเลยด้วยซ้ำ (หัวเราะ) แต่ทุกวันนี้เวลาผมไปอยู่ที่ไร่ไวน์ ผมก็จะมีขวดเล็กๆ เหน็บไว้จิบเวลาเดินดูงาน ก็จะกินจากปากขวดเลย ซึ่งคนฝรั่งเศสเขาก็ถือว่านี่แหละ คนฝรั่งเศสเขาก็กินกันแบบนี้ มันไม่ได้ต้องละเมียดมากขนาดนั้น เพียงแต่พอมันกลายเป็นเทรนด์ เป็นมูลค่าของวัฒนธรรมแล้ว มันก็เลยเป็นอีกรูปแบบที่พิธีรีตองมากขึ้น ก็ต้องนับถือนะว่าคนฝรั่งเศสเขาฉลาด เขารู้จักหยิบจับวัฒนธรรมต่างๆ มาเพิ่มมูลค้าในกับสินค้าได้อย่างน่าสนใจ”
หลังจากที่เขาให้แง่คิดในเรื่องของไวน์ไว้อย่างน่าสนใจแล้ว เขายังพูดถึงธุรกิจอีกตัวหนึ่งที่เขาสร้างมันขึ้นเองกับมือเช่นกันนั่นก็คือ ร้านอาหารฝรั่งเศส Le Beaulieu (อาคารแอทธินี ทาวเวอร์) หลายคนคงสงสัย ถึงหลากแง่มุมทางความคิดของเขา การเลือกที่จะออกมา ฝ่าฟันอุปสรรคด้วยตัวเองนั้นคงจะเจ็บตัวไม่น้อย แต่เขายังคงเลือกที่จะก้าวและเดินต่อไปด้วยตัวเอง ...
“การที่ผมเลือกที่จะออกมาต่อยอดธุรกิจด้วยตัวเองมากกว่าที่จะเข้าไปดูแลกิจการต่างๆ ของครอบครัว นั่นอาจเป็นการสอนของคุณพ่อมากกว่าครับ ท่านจะสอนให้เรามองอะไรที่มันรอบด้าน ผมคิดว่าหากเราเข้าไปดูแลกิจการในระดับที่เป็นทายาทของหัวเรือใหญ่นั้น มันอาจทำให้เรามองเห็นอะไรได้เพียงแค่บางจุด เราอาจไม่โต และเผลอๆ ที่บ้านก็อาจไม่โตด้วย
“แต่ว่าตลอดชีวิตผมที่ผ่านมาก็ได้คลุกคลีอยู่กับกิจการที่บ้าน ได้ซึมซับการทำงานและบรรยากาศจากคุณพ่อ ผมเองก็ได้เรียนรู้ตรงนั้นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วครอบครัวผมเป็นครอบครัวใหญ่ มีพี่ๆ ที่มีความรู้และมีแนวทางของตัวเองชัด ต่างคนเลยมีหน้าที่การงานของตัวเองที่ต่างกัน ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ลงตัวดีทีเดียว
“ผมมองว่าในเรื่องของการรักษาความเป็นตระกูลของเรามันไม่ใช่การเข้าไปดูแลหรือกุมบังเหียนของธุรกิจ การให้โอกาสของคนรอบๆ ข้าง ได้ใช้ความสามารถของเขา และให้คนที่เขามีความคิดมีใจอยากจะทำจริงๆ ได้เข้ามา ตรงนั้นจะเป็นสิ่งที่สำคัญและมันจะรักษาความเป็นครอบครัวของเราไว้ได้ดีทีเดียว
“เราต้องคิดใหม่ คนที่คิดอะไรเดิมๆ นี้มันจะเจ็บตัวมากในแง่ของการทำธุรกิจ เพราะโลกมันหมุนไปไวมาก เราควรจะปรับตัวไม่อย่างนั้นจะมีคนอย่างมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก และอีกหลายต่อหลายคนที่เรียกได้ว่าแทบจะเปลี่ยนโลกได้เลยในยุคนี้เกิดขึ้นมา ผมมีคุณพ่อและคนในตระกูลเป็นแบบอย่าง อย่างพี่ดอม เขาสอนให้ผมได้โตได้รู้จักชีวิต โดยการที่ผมได้มองดูเขา ดูการใช้ชีวิตของเขา ขอให้ได้เกิดมาแล้วใช้ชีวิตในแนวทางที่ตนเองชอบแล้วเลือก ‘แล้วพลังในการใช้ชีวิตมันก็จะมา’
“เราควรจะเรียนรู้ในการมองโลกในรูปแบบใหม่ๆ เราต้องคิดว่าโชคดีแค่ไหนที่มีคุณพ่อท่านทำให้เราได้ดู ได้เห็น เป็นตัวอย่าง มีพี่ๆ ที่เป็นแนวทางให้แก่เรา ตอนแรกที่ผมเรียนจบออกมาแล้ว ผมก็มีความคิดอยากที่จะทำสื่อนะ จึงมีความคิดที่จัดตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อเป็นพีอาร์ คุยกับเอเจนซี่ให้กับสื่อที่มีอยู่ในมือและอาจเป็นสื่ออื่นๆ ด้วยก็ได้ ตอนนั้นพี่ดอมก็ทำออแกไนเซอร์กับภรรยาเขาด้วย ผมก็จะรับส่งงานให้กัน ซึ่งตรงนั้นผมอายุเพียง 25 ปี ก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมาก พอดีว่ามันประจวบเหมาะกับวิกฤติทางเศรษฐกิจต่างๆ ของโลก ผมไม่เชื่อว่าการทำงานในบ้านจะได้เงินเยอะกว่าคนอื่น ผมก็เลยคิดว่าเราจะมาสนุกกับการหาตัวเองไปถึงไหน ในตอนนี้เรายังมีคุณพ่อคอยเป็นครูสอนก็จริง แต่เราควรได้ออกไปเรียนรู้ข้างนอกบ้างผมเลยมาดูว่าอะไรที่ผมจะสามารถทำกับพ่อได้บ้าง (ธุรกิจไวน์) ซึ่งผมก็คิดนะว่าท่านเองก็คงจะดีใจนะที่ผมคิดแบบนี้ ผมมองว่าการทำธุรกิจแบบพ่อลูกนี้อาจเป็นเรื่องที่อ่อนไหว แต่ผมก็ต้องทำตัวเองให้เหมือนวัตถุที่ผ่านการเจียระไนมาแล้วให้ได้ ซึ่งนั่นเองผมจึงต้องมองโลกให้กว้างขึ้น ...
“ด้วยการรับผิดชอบในงานที่มากขึ้น ต้องติดต่อกับผู้คนในสเกลที่กว้างขึ้น ผมก็จะต้องข่มความตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้คุยงานกับคุณพ่อ เพื่อให้เขารู้ว่าเราโตแล้วนะ เราตั้งใจและเต็มที่กับมันนะ (หัวเราะ) เวลาผมทำงานแบบเอาเท้าของเราไปใส่ในรองเท้าลูกน้องเราทุกคน เราก็จะทำงานกับพวกเขาด้วยความเข้าใจ ทุกอย่างมีที่มาที่ไป เราให้เกียรติคนที่ทำงานกับเรามีความกตัญญูในหัวใจ เขาก็จะกตัญญูกับเรา ซึ่งในเรื่องของความกตัญญูนี้มันคือตัวชี้วัดคุณค่าของคนได้เลยนะ ผมว่ามันเป็นเรื่องซึ่งผมก็เรียนรู้มาจากคุณพ่อนั่นเอง
และในชีวิตของผู้ชายที่ชื่อ แดน เหตระกูล คนนี้ เขาพยายามที่จะเอาตัวเองแยกออกมาจากแบรนด์ ‘เหตระกูล’ การยืนอยู่ของเขาจึงต้องอาศัยแรงพยุงจากร่างกายและจิตใจของตัวเองทั้งนั้น เขาจึงเป็นคนใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวของตัวเองได้สบายขึ้น การมีตัวตนในแวดวงสังคมของเขานั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเสียงซุบซิบใดๆ แต่เขาจะพยามทำตัวเป็นต้นไผ่ที่แข็งแรงมั่นคง และเมื่อเจอลมพายุใหญ่ก็พร้อมจะลู่ลมโดยลำต้นไม่ต้องหักกลางคัน ทุกวันนี้เขาจึงใช้ชีวิตโดยคิดว่า ‘มันจะดีหรือไม่ดีอย่างน้อยผมก็ได้เรียนรู้มันด้วยตัวของผมเอง’