เสรีภาพบนคราบน้ำตา

เสรีภาพบนคราบน้ำตา

วันนี้สังคมเริ่มมีความกดดันขึ้นเรื่อยๆ ถ้าถามว่าสาเหตุหลักๆ มันมาจาก 2 - 3 ปัจจัยคือ อย่างแรก “เรื่องเงิน” เพราะ เงินไม่มี เงินหายากขึ้นเรื่อยๆ แต่ภาระการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปัญหาหลักๆ ก็คือ สิ่งเร้ารอบๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่กระตุ้นให้เราสร้างหนี้ ...

ถ้ามองไปรอบๆ ตัว วันนี้คนรุ่นใหม่มักจะมีหนี้อย่างน้อยหนึ่งอย่าง เช่น หนี้บัตรเครดิต, หนี้บ้าน, หนี้รถ, หนี้อะไรก็ว่าไป ... สรุปแล้วขึ้นชื่อว่าหนี้ มันก็คือการที่เราเอารายได้ในอนาคตมาใช้ในปัจจุบัน ซึ่งแน่นอนมันมาพร้อมความเครียด เพราะเอาสิ่งที่เรายังไม่มี มาใช้ก่อนในปัจจุบัน แถมหลายๆ อย่างมันกลายเป็นรายจ่ายประจำ แถมหนักหน่วง ... ยกตัวอย่าง หนี้บ้าน หรือ หนี้รถยนต์ ทั้งสองอย่างนี้เป็นหนี้ระยะยาว และเป็นจำนวนค่อนข้างมาก แต่เรามักจะให้ข้ออ้างว่ามันเป็นสิ่งจำเป็น อันนี้ก็ใช่นะ! ทุกอย่างมันก็จำเป็นทั้งนั้นแหละ!

แต่ปัญหาคือ เราไม่รู้ว่าจริงๆ สถานะทางการเงินของเรานั้น สามารถซื้ออะไรได้ ... ถ้ามองให้ดี คนส่วนใหญ่วันนี้ ทั้งหนี้บ้านและรถยนต์ จะใช้ให้สุดเท่าที่เราจะสามารถผ่อนได้ คือ อย่างน้อยจะซื้อคอนโดฯ หรือรถยนต์ ก็ขอให้เป็นคอนโดฯ ในฝันหรือรถยนต์ในฝัน (ตลกเด็กอยากได้ชีวิตในฝัน แต่ไร้ความขยัน และ ความอดทน ... จริงๆ ถ้าเข้าใจเรื่องการชะลอความอยาก ชีวิตก็รวยขึ้นแล้ว แต่ทำไม่ได้ แปลกไหม? )

ครับ!! ไอ้การเริ่มต้นจากสิ่งที่เราอยากได้ แล้วตอบสนองมันทันที มันเป็นสิ่งที่เป็นปัญหามากๆ สำหรับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะยุคที่เรามีความอิจฉาตาร้อนอย่างขีดสุดรอบๆ ตัว ถ้าคิดดีๆ พวก Social Media ต่างๆ มันเป็นหนึ่งในสิ่งเร้า ที่กระตุ้นให้เราอยากใช้ชีวิต ใช้ Lifestyle ที่หรูหรา แล้วเอามาโพสแข่งกัน

จริงๆ ผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ใช้ Social Media ในการทำงานค่อนข้างเยอะ แต่ประเด็นมันขึ้นกับว่า คุณใช้ในการทำอะไร ซึ่งมันสะท้อนในปัจจัยแรกของ “ความกดดันของคนรุ่นใหม่” คือ Lifestyle ของการใช้ชีวิตให้มากที่สุด โดยไม่คำนึงว่า จะต้องแลกด้วยเงินหรืออะไรที่แพงมากๆ

อย่างที่สอง “ชีวิตเด็กกำพร้า” วันนี้อีกปัญหาที่สำคัญของคนรุ่นใหม่ คือ ถูกเลี้ยงเสมือนเด็กกำพร้า คือ ทั้งพ่อและแม่ต่างทำงานหนัก เพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว จนไม่มีใครมีเวลาให้ใคร ตั้งแต่ชนชั้นล่าง ชั้นกลางไป จนชนชั้นสูง ทุกชนชั้น มีเป้าหมายในการทำงานอันเดียวกัน คือ “ต้องหาเงินให้มากที่สุด เพื่อให้ครอบครัวมีความสุขที่สุด” 

จริงๆ มันต้องถามว่า เรากำลังเดินตามแนวทางของหลายๆ ประเทศ เช่น สิงค์โปร์ที่ประเทศมีรายได้ต่อหัวหรือ GDP per Capita สูงเกือบที่สุดในโลก แปลว่า รายได้ของคนสิงค์โปร์แต่ละคนมีความสามารถในการหาเงินในลำดับต้นๆ ของโลก แต่แปลกมากที่ในเรื่องของการวัดดัชนีความสุข ของคนสิงค์โปร์มันกลับย่ำแย่ อยู่อันดับท้ายๆ ของโลก 
ซึ่งตัวเลขดัชนีความสุขมันวิ่งสวนทางกับประเทศเล็กๆ ที่ไม่มีอะไรเลยอย่างภูฏาน 

สิ่งที่น่าคิดคือ ในระบบทุนนิยมเราพยายามเร่งสร้าง GDP หรือ รายได้และการบริโภคของคนในประเทศให้สูงและขยายตัวให้เร็วที่สุด เพื่อคุณภาพชีวิตและความสะดวกสบายที่มากขึ้น แต่ยิ่ง GDP โตเร็วเท่าใด ความสะดวกสบายทางร่างกาย มันสะดวกถึงขีดสุด แต่ความสุขของคนมันลดลง แถมเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ นี่แหละ ‘สังคมเด็กกำพร้าร่างกายเราเริ่มสบายถึงขีดสุด แต่จิตใจเราเริ่มเครียดถึงขีดสุด’ 

อย่างที่สาม เราอยากมีเสรีภาพ จากทุกอย่าง อยากมี Freedom แต่เราได้ “เสรีภาพบนคราบน้ำตา” 

จริงดิ “เสรีภาพ” จากอะไรเหรอ ?? วันนี้เราเริ่มเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมว่า สังคมเราเริ่มมึนกับสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัว เช่น ความขัดแย้งทางการเมือง การเรียกร้องเสรีภาพ ... ซึ่งเห็นอยู่เยอะมาก แต่ถ้ามองเข้าไปลึกๆ จริงๆ ทุกเผด็จการของโลก ก็ล้วนเริ่มมาจากการเอาเรื่องเสรีภาพมาเป็นโจทย์ตั้งต้นทั้งสิ้น

คุณลองมองไปแถบพวกประเทศแอฟริกา หรือ ประเทศเผด็จการต่างๆ อันนี้รวมถึง พวกคอมมิวนิสต์ทั้งหลายแหล่ทั่วโลก ล้วนเริ่มจากการปลุกระดมคนให้รวมตัวกันเรียกร้องสิทธิเสรีภาพทั้งนั้น 

แต่บางครั้งเราก็ต้องวิเคราะห์กันว่าเรากำลัง ‘ปลดปล่อยเสรีภาพ หรือ เรารวมตัวสร้างเผด็จการรูปแบบใหม่กันแน่’ เพราะมันจะเหมือนการโดนหลอกใช้ครั้งใหญ่ เพราะ
คนเหล่านี้มึนงงอยู่กับเรื่องการปั่นหัวให้ใช้จ่ายให้เป็นหนี้ ให้หลงอยู่กับความโลภของตัวเอง แล้วก็ทุกข์อยู่กับสิ่งที่ตัวเองทำ ซึ่งสุดท้ายก็ลืมไปเลยว่า การที่เราเป็นอย่างที่เราเป็น เช่น เราจน มันก็เพราะผลจากการกระทำของเราในอดีต การที่เราเป็นหนี้ ก็มาจากความโลภของเรา และการเป็นหนี้ระยะยาว ก็เป็นการสร้างภาระเอารายได้อนาคตมาใช้ 
มันเริ่มจาก หนึ่ง ขาดความรู้ สอง ขาดการวางแผน และ สาม ความใจแคบและเห็นแก่ตัว

คนเหล่านี้บ่นและโทษคนอื่นๆ ตลอดเวลาว่า ทุกอย่างที่พลาดเพราะคนอื่นทำ ที่เขาจนเพราะพ่อแม่เขาจน โดยลืมนึกไปว่า คนรวยระดับโลกมากมาย เป็นเด็กกำพร้าด้วยซ้ำ 
เช่น Steve Jobs ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก หรือเศรษฐีของประเทศไทยเองก็มีมากมายที่สร้างตัวจากมือเปล่า คนเหล่านี้ไม่เคยที่จะหันมองมาที่ตัวเองเลย เขาเอาแต่โทษคนอื่น ซึ่งสุดท้ายด้วยความโง่เขลา คนเหล่านี้ก็ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือของคนฉลาดบางกลุ่ม ที่อาศัยเขาเป็นสะพานไปสู่ อำนาจ และความมั่งคั่งของกลุ่มตน ...

คิดดีๆ นะ วันนี้ เราพยายามหาเสรีภาพบนคราบน้ำตา หรือเราอยากที่จะเปลี่ยนชีวิตของเราจริงๆ ที่เริ่มจากตัวเราเอง ... ถ้าเราเลือกที่จะเปลี่ยนจากตัวเราเองก่อน ผมเชื่อว่า ตัวเราจะดีขึ้นอย่างแท้จริง 

ที่ ‘เรา’ ห่วยอย่างทุกวันนี้ ก็เพราะ ‘เรามันกระจอก’ เลิกกระจอกได้แล้ว หันมาเริ่มเปลี่ยนจากตัวเองก่อน ... ไป !! 

 

ทุกเผด็จการของโลก ก็ล้วนเริ่ม มาจากการเอาเรื่องเสรีภาพ มาเป็นโจทย์ตั้ง