
The Enlighten Scenario ฉายภาพฉาก จากความจริง นุชี่ อนุชา บุญยะวรรธนะ
ช่วงสิบปีให้หลังมานี้เราจะเห็นปรากฏการณ์ของ ‘วายไทย’ เติบโตขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดจนกลายเป็นเทรนด์ใหม่ ๆ ของการผลิตผลงานบนหน้าสื่ออันสร้างเม็ดเงินได้อย่างมหาศาล อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะขยายความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยจุดแข็งอะไรบางอย่างซึ่งมีส่วนช่วยผลักดันให้สื่อบันเทิงแนวนี้ของไทยสามารถก้าวไปไกลสู่ระดับสากล
‘นุชี่ อนุชา บุญยะวรรธนะ’ คือหนึ่งใน ‘นักทำหนัง’ ที่นำเสนอมุมมองความหลากหลายทางเพศเหล่านี้ได้อย่างแยบยลจนคว้ารางวัลทั้งไทยและเทศมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์อย่าง ‘อนธการ (The Blue Hour)’ และ ‘มะลิลา (The Farewell Flower)’ ซีรีส์วายสะท้อนสังคมอย่าง ‘Not Me เขา...ไม่ใช่ผม’ รวมถึงละครเรื่อง ‘หวานรักต้องห้าม’ ที่ถูกพูดถึงเป็นวงกว้างเกี่ยวกับความกล้าในการทะลุกรอบเรื่องเล่าแบบเดิม ๆ จากแนวคิดที่ว่าสื่อเหล่านี้จะต้องส่งผลกลับคืนแก่ผู้ชมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะมันสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสังคมได้อย่างมีนัยยะสำคัญ
สื่อบันเทิงมีผลสะท้อนต่อสังคม
“เรื่องของสื่อบันเทิงนี่มันสำคัญนะในแง่ของการทำให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงความคิดได้ อย่างไทยเป็นตัวอย่างที่ดีมากเลย เพราะว่าถ้าเรามองย้อนกลับไปสักประมาณ 10 – 20 ปีที่แล้ว ภาพความรักของผู้ชายรักกันมันอาจจะไม่ได้ถูกมองในแง่บวกมากนักแต่จะมองเป็นแง่ลบเสียมากกว่า พอมีสื่อบันเทิงที่ทำให้เห็นคนเหล่านี้แสดงความรักกันแล้วมองเป็นเรื่องธรรมดามองเป็นเรื่องของความน่ารัก มีเรื่องราวที่ดูเชิงบวกและโรแมนติกออกมาผ่านทางซีรีส์วายหรือภาพยนตร์ LGBTQIAN+ มันก็ทำให้ผู้คนมีทัศนวิสัย (Visibility) เหมือนกับว่ากลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศได้มีพื้นที่อยู่บนสื่อโดยเฉพาะสื่อบันเทิงซึ่งถูกรับชมโดยคนทั่วไป พอมีทัศนวิสัยแล้วก็นำมาสู่การทำความเข้าใจกันได้ เราเลยมองว่าสื่อบันเทิงนี่มันสำคัญมาก ๆ
จากความสามารถและวิสัยทัศน์ของเจ้าตัว ทำให้ในปี 2020 ‘นุชี่ อนุชา’ ได้รับตำแหน่งนายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทยคนที่ 8 อีกทั้งยังได้รับรางวัลศิลปาธรสาขาภาพยนตร์และสื่อเคลื่อนไหวประจำปี 2023 อีกด้วย ซึ่งในปี 2024 เธอก็ได้ส่งต่อหน้าที่นี้ให้กับ ‘มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล’ เป็นที่เรียบร้อยและหันไปรับบทที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของทางสมาคมฯ แทน
“จริง ๆ เราทำงานร่วมกับเคลื่อนไหว (Activist) ด้านความหลากหลายทางเพศอยู่แล้ว ทางสมาคมฯ เองก็มีนายกที่เป็นกะเทยมาแล้ว 2 คน ค่อนข้างจะแปลกนะเพราะว่าโดยส่วนมากผู้กำกับจะเป็นเพศชาย ผู้กำกับหญิงหรือผู้กำกับกะเทยนี่มีน้อย
“ด้วยความที่อาจจะได้รับความไว้วางใจจากบรรดาผู้กำกับล่ะมั้งเลยมีนายกสมาคมฯ ที่เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศมาแล้ว 2 คน ซึ่งคิดว่าพอเรามีโอกาสที่จะได้เข้ามานั่งตำแหน่งนี้มันก็น่าจะช่วยในการเปลี่ยนแปลงสังคมได้ค่ะ
“ในฐานะที่ทำงานกับสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย มองว่าถ้าเราให้ความสำคัญในเรื่องของความหลากหลายมันก็จะมีอิมแพกต์ (Impact) ซึ่งจริง ๆ สื่อบันเทิงไทยมันมีการพัฒนาและเอาผู้มีความหลากหลายทางเพศมาปรากฏในสื่อนานแล้วโดยเฉพาะยุคหลัง ๆ ที่เริ่มมาเป็นซีรีส์วาย เพียงแต่ว่าช่วงที่ทำงานอยู่มันจะเป็นเรื่องของการทำความเข้าใจ พอผู้ผลิตสร้างคอนเทนต์บันเทิงออกมา ผู้เสพหรือว่ากลุ่ม LGBTQIAN+ เขาก็อาจจะรู้สึกว่าเอ๊ะ! ทำไมนำเสนอด้านนี้ ทำไมไม่นำเสนออีกด้านหนึ่ง ไม่ได้นำเสนอภาพของผู้มีความหลากหลายทางเพศที่แท้จริง เราก็ต้องมีการคุยมีการปรับและจะทำงานในลักษณะนี้ให้มันดีขึ้นเรื่อย ๆ”
ปรากฏการณ์ ‘วายไทย’ ไปไกลสู่ระดับสากล
“ประเทศเราค่อนข้างที่จะมีการยอมรับผู้มีความหลากหลายทางเพศได้ในระดับดีนะ ถ้าเทียบว่าไม่มีการมองด้วยอคติก็ถือว่าดี โดยภาพรวมแล้วถือว่าสังคมเปิดกว้างมากกว่าประเทศอื่น ๆ ทำให้คนที่ผลิตงานเกี่ยวกับซีรีส์วาย (Yaoi) หรือซีรีส์ยูริ (Yuri) (1) เขามีพล็อตที่มันหลากหลายไง เหมือนกับว่าความรักที่โรแมนติกหรืออะไรก็แล้วแต่ของ LGBTQIAN+ ดูเป็นไปได้ในสภาพสังคมแบบไทย มันถึงทำให้สื่อบันเทิงมีความหลากหลายและมีสตอรี่ที่พอไปอยู่ในบริบทประเทศอื่นแล้วเขาอาจจะไม่เชื่อ
“อย่างสังคมของหลาย ๆ ประเทศเราก็ทราบกันดีอยู่ เช่น เกาหลีที่อนุรักษ์นิยม (Conservative) มาก ญี่ปุ่นที่เป็นต้นกำเนิดของวาย (Yaoi & Yuri) เองก็เหมือนกัน บางทีมันอาจดูไม่เชื่อว่าเธอจะมาน่ารักอะไรกันได้ขนาดนี้เลยเหรอ แต่พอเป็นไทยแล้วมันมีโอกาสที่เราจะสร้างเรื่องราวตั้งแต่สุขยันเศร้าได้เลยทำให้ออกมาดูเป็นธรรมชาติ เราเคยคุยกับคนดูต่างประเทศเขาก็บอกว่าซีรีส์วายไทยมันดูธรรมชาติ อย่างคนญี่ปุ่นที่เราเคยคุยเขาบอกเลยนะว่าของไทยพอทำออกมาเป็นงานภาพเคลื่อนไหว งานภาพยนตร์ งานซีรีส์แล้วดูจริงใจและดูเป็นธรรมชาติมากกว่าของเขาเพราะสภาพสังคมมันต่างกัน
“จริง ๆ คิดอยู่ว่ามันสามารถจะเป็น Main Genre ของหนังในโลกนี้ได้ ด้วยความที่เราเห็นอยู่แล้วว่ามันเป็น Genre ที่มีแฟนคลับซัปพอร์ต แล้วกลุ่มคนดูซีรีส์วายหรือซีรีส์ยูริก็มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมันเป็นรสชาติที่เบลนออกมาแล้วคนรู้สึกโอเคกับการมองภาพคู่รัก LGBTQIAN+ ในลักษณะออกแฟนตาซีนิดหนึ่งและมีความโลกสวย (Romanticize) เลยไม่ได้ดูเครียดหรือดาร์กมาก เราก็ไม่ต้องไปปรับมันขนาดนั้น ปล่อยให้มันเป็นไปและทำหน้าที่ของมันแล้วจะมีคนดูเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในที่สุดมันอาจจะกลายเป็น Genre ที่มีความสำคัญพอ ๆ กับแนว Action แนว Horror แนว Sci-Fi
“ส่วนตัวเชื่อว่าตอนนี้ตลาดในเอเชียมันเริ่มกว้างมากขึ้น เอเชียนี่ใหญ่อยู่แล้ว ยุโรปเริ่มขยาย อเมริกาใต้ก็มีเยอะ ซึ่งแต่ละที่ในโลกความนิยมของซีรีส์วายหรือซีรีส์ยูริมันก็เป็นภาพสะท้อนสถานการณ์ LGBTQIAN+ ในประเทศนั้น ๆ เหมือนกับไทยสมัยก่อนสัก 20 ปีที่แล้วเวลาคุณจะหาหนังสือนิยายวายอ่านนี่ต้องไปใต้ดินนะ แถมยังมีตำรวจลงด้วย มันไม่มาเปิดเผยกันโครมครามคึกคักอย่างนี้ ซึ่งพอมีแล้วมันพัฒนาอย่างรวดเร็วเลย แต่ละประเทศความนิยมก็เป็นแบบนั้นไป บางประเทศอาจจะต้องแอบ ๆ บางประเทศเป็นสิ่งต้องห้ามมันก็มีความยากหน่อย อย่างประเทศที่อนุรักษ์นิยมมาก ๆ แบบต่อต้านเกย์ต่อต้านกะเทยอะไรอย่างนี้ แต่ในเมื่อมันมีสื่อขึ้นมาแล้วจะเข้าสู่ลูปอย่างที่อธิบายไปว่าคนเขาจะเริ่มเห็นได้มากขึ้น พอเห็นแล้วอาจมีคนชอบมากขึ้น พอชอบแล้วมีการเปลี่ยนความคิดขึ้น คนในคอมมูนิตี้ก็จะช่วยผลิตงานที่มันนำเสนอตัวตนของเขาได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย มันเป็นงานที่ต้องใช้เวลาทั้งหมดค่ะ
แม้ว่า ‘วายไทย’ จะฮิตระเบิดจนดังไกลถึงต่างประเทศ แต่ภายในประเทศก็ยังมีข้อถกเถียงมากมายอยู่เรื่อย ๆ จากผลกระทบทั้งแง่บวกและแง่ลบของสื่อบันเทิงประเภทนี้ ซึ่ง ‘นุชี่ อนุชา’ ในฐานะผู้กำกับที่คร่ำหวอดวงการมานาน อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศได้ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า
“มันสำคัญมากเลยค่ะ ลองนึกดูนะว่างานที่เกี่ยวกับ LGBTQIAN+ นี่ฉายไปหลายประเทศทั่วโลกแต่สถานการณ์ในแต่ละประเทศไม่เหมือนกันเลย บางประเทศไม่มีทัศนวิสัยตรงนี้เลยนะ ดังนั้นทัศนวิสัยนี่สำคัญมากกับการที่มีภาพของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศอยู่บนสื่อบันเทิง เพราะมันทำให้คนดูรู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งในสังคม ถ้าไม่มีตรงนี้มันก็จะถูกมองข้าม มันไม่มีโอกาสเลยนะที่จะทำออกมา
“โดยส่วนมากกลุ่มคนใน LGBTQIAN+ ที่เห็นชัด ๆ เลยมันก็จะออกมาเป็นตัวตลกในยุคแรก จุดเริ่มต้นทุกประเทศเป็นเหมือนกันหมดคือมันเริ่มจากบทตลกหรือบทอกหักรักคุดนี่แหละ มันเป็นธรรมดาเพราะว่ากลุ่มคนส่วนน้อยถูกปฏิบัติไม่เป็นธรรม ดังนั้นก็จะมีเรื่องราวของความไม่ยุติธรรมและเรื่องของการผิดหวังในความรัก เหมือนไทยสักประมาณ 30 – 40 ปีที่แล้วมันก็อย่างนี้ที่บทกะเทยกับบทเกย์เป็นบทตลก แต่เมื่อเป็นบทตลกและมีงานออกมาแล้วนั่นคือสิ่งสำคัญเพราะว่ากลุ่ม LGBTQIAN+ สามารถสื่อสารการมองเห็นไปได้ไง พอมีงานออกมาแล้วทีนี้คนก็เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความสมจริง ผู้ผลิตถึงเริ่มสอดแทรกประเด็นต่าง ๆ เข้าไปและเริ่มปรับให้ดูมีการเจาะลึกข้อมูลมากขึ้น บทตลกหรือบทแฟนตาซียังคงมีอยู่ แต่เราจะเริ่มเห็นงานที่มันเล่าเรื่องชีวิตของกลุ่ม LGBTQIAN+ เหล่านี้ได้จริงจังขึ้น มีประเด็นที่หลายแง่มุมมากขึ้นทั้งความสุข ความเศร้า ความเป็นมนุษย์ของเขา มันก็จะกลับไปกลับมาอย่างนี้
“สำคัญคือมันต้องมีก่อนอันดับแรก ยิ่งมี ยิ่งดัง ยิ่งดี อย่างไทยนี่ถือว่าโชคดีมากที่ซีรีส์วายดังก็เลยทำให้คนในสังคมเริ่มชิน พอเห็นเด็กผู้ชายจับมือหอมแก้มกันแล้วดูน่ารักดี ซึ่งสมัยก่อนมันเป็นเรื่องต้องห้าม ถูกมองว่าน่าเกลียดจัง ทำแบบนั้นไม่ได้นะ เบี่ยงเบนทางเพศ ฯลฯ แต่สุดท้ายมันก็จะค่อย ๆ ปรับแล้วดีขึ้นเรื่อย ๆ
“สมัยก่อนไม่ใช่ว่าไม่มีหนัง LGBTQIAN+ นะ แค่มันอาจจะเห็นกะเทย (ในรูปแบบตลก) เสียเยอะ แต่ว่าพอเราจะเล่าอะไรที่เกี่ยวกับเกย์หรือว่าไบเซ็กชวล (Bisexual) (2) คนก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าเอ๊ะ! ผู้ชายแมน ๆ สองคนจะมารักกันได้ยังไง อีกคนต้องเป็นกะเทยสิ มันเหมือนคนยังไม่ค่อยเก็ตเพราะเมื่อก่อนมีคำว่า ‘อีแอบ’ อยู่ เธอจะมารักกันประเจิดประเจ้อมันไม่ได้ มันเป็นภาพสะท้อนที่แฟนตาซีเกินไป แล้วการหานักแสดงมารับบทก็ยากด้วย สมัยก่อนไม่เหมือนยุคนี้นะที่นักแสดงชายวัยรุ่นพอมีโอกาสรับบทซีรีส์วายแล้วเขายินดี ไม่ได้ติดว่าจะกระทบกับภาพลักษณ์หรืออาชีพการงาน ส่วนใหญ่มองว่ามันเป็นการพัฒนา Career Path ของเขาได้ด้วยซ้ำ ถ้าย้อนกลับไปสัก 20 – 30 ปีที่แล้วการจะให้นักแสดงชายคนหนึ่งมารับบทเกย์นี่เรื่องใหญ่เพราะคนจะคิดว่ามันกระทบการงานเขา ต่อให้เป็นนักแสดงสมัครเล่นก็ไม่กล้า เดี๋ยวเพื่อนรู้จะอับอายหรือเปล่า? คนจะตั้งคำถามถึงความเป็นผู้ชายของฉันไหม?
“ในมุมของผู้ผลิตเราก็ไม่ได้คัดเลือกแค่ว่าคนนี้เป็นเพศไหนหรอก มันต้องดูที่ฝีมือการแสดงและความเหมาะสมกับบทเป็นหลัก ประเด็นนี้เรียกร้องได้นะเพื่อให้เกิดความหลากหลายในอุตสาหกรรม แต่เราต้องใจกว้างด้วยไม่ใช่ว่าพอเป็นบทเกย์แล้วสเตรท (Straight) (3) ห้ามเล่นเลย มันจะทำให้งานสร้างออกมาได้ยากขึ้นน่ะ เราน่าจะทำให้งานมันสร้างได้ง่ายขึ้นถูกไหม คุณจะเป็นผู้ชายหรือคุณจะเป็นเกย์ก็รับบทนี้ได้นะ มันควรเรียกร้องไปในทิศทางนั้น
“ปัจจุบันนี้มันก็เปิดพอสมควรแล้ว ย้อนไปสักประมาณ 6 - 7 ปีก่อนจะมีกรณีว่าซีรีส์วายแต่ไม่ให้เกย์เล่นเลย ฉันจะเอาผู้ชายแท้เท่านั้น นั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนะ ซึ่งตอนนี้ถ้าเราเลือกได้อาจจะต้องให้โอกาสกับกะเทยและเขียนบทกะเทยเพิ่มขึ้นเพราะว่าบทกะเทยมันน้อยไม่ค่อยเห็น เท่าที่เห็นก็เป็นตัวสมทบไม่ได้เป็นตัวนำ หรือว่าจะบท Trans Man (ชายข้ามเพศ) ที่เขาไม่ถูกมองเห็นในสื่อเลย รวมถึงบทอินเตอร์เซ็กส์ (Intersex) (4) และเพศอื่น ๆ ที่แตกต่างออกไปมากกว่า อันนี้คือเรื่องที่ทั้งทางนักเคลื่อนไหวและทางผู้สร้างต้องคิดว่าเราควรให้พื้นที่ในสื่อกับกลุ่มส่วนน้อย มันน่าสนใจเพราะเราไม่ค่อยได้เห็น”
ย้อนรอยสู่เส้นทาง ‘นักทำหนัง’
ย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นในเส้นทางอาชีพของ ‘นุชี่ อนุชา’ คงต้องเรียกได้ว่าบุคคลผู้นี้คือหัวกะทิดี ๆ นี่เองโดยเจ้าตัวเลือกเปลี่ยนสายจากเด็กนักเรียนวิทย์ – คณิตไปสู่นักศึกษาปริญญาตรีคณะนิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ ซึ่งทั้งสอบเข้าและเรียนจบล้วนแล้วแต่เป็นที่ 1 ของรุ่น
“ครอบครัวไม่ได้มีการพูดถึงเพศวิถีของเราเท่าไรนะ คิดว่าเขารู้แต่เราก็ไม่ได้พูด ไม่ได้มีฉากแบบว่า ‘พ่อคะ หนูเป็นกะเทย’ อะไรอย่างนี้ มันไม่มีแบบนั้นเพราะสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่มองเราคือคนนี้เป็นเด็กเรียนเก่ง เขาก็มองความสามารถและมองข้ามเรื่องเพศสภาพไป ไม่ได้มีเรื่องทะเลาะกับครอบครัว จำได้ว่าตอนเข้านิเทศศาสตร์จุฬาฯ ปี 1 เราทำหนังสั้นเรื่องแรกเป็นหนังเกย์เหมือนกัน รับบทเป็นเกย์เองเพราะว่าอย่างที่บอกสมัยนั้นน่ะมันไม่มีคนกล้าเล่น ให้คุณแม่คุณย่ามาดูด้วยนะ แล้วหนังประกวดในคณะได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมเขาก็มองว่าเราเก่ง
และเมื่อถามถึงแรงบันดาลใจในการมาเป็น ‘นักทำหนัง’ เราก็ได้รับคำตอบกลับมาว่าเกิดจากการชมภาพยนตร์ชื่อดังก้องโลกอย่าง ‘Titanic’ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า “มันเป็นหนังที่คนพูดถึงทั้งเมือง เธอไม่อยากทำแบบนั้นเหรอ?”
แน่นอนว่า ‘นุชี่ อนุชา’ ทำได้ เพราะภาพยนตร์สั้นเรื่อง ‘ตามสายน้ำ (Down The River)’ ซึ่งเป็นโปรเจกต์จบของเจ้าตัวนั้นประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ได้รับรางวัลวิจิตรมาตราและถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปทำเป็น DVD เพื่อจัดจำหน่ายที่สหรัฐอเมริกาด้วย จากผลงานระดับนี้ของเด็กจบใหม่ในฐานะผู้กำกับแน่นอนว่าเส้นทางต่อไปจะต้องมีนายทุนเข้ามายื่นข้อเสนอให้แก่เธอมากมาย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นอย่างนั้น
“การเป็นผู้กำกับโดยเฉพาะผู้กำกับกะเทยนี่มันยากนะ เพราะว่ามุมมองของเรามันไม่ค่อยแมตช์กับบรรดานายทุนและตลาดสักเท่าไร พอเราคือผู้กำกับที่เป็นกะเทย ต่อให้เราจะพยายามทำเรื่องผู้ชายผู้หญิงมันก็ยังมีมุมมองที่คิดต่างออกไปจากกลุ่มตลาดอยู่ดี ถือเป็นสิ่งที่ยากอยู่
“เราพยายามเสนอนะ แต่ว่าตอนนั้น BL หรือ Boy Love มันยังไม่เกิด มุมมองของนายทุนหรืออะไรต่าง ๆ เขาก็ไม่ได้คิดว่ามันจะทำเงิน อย่างพี่มะเดี่ยว (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล) เขาอาจจะโชคดีหน่อยหนึ่งที่ได้ทำหนังเรื่อง ‘รักแห่งสยาม’ แต่ว่าเขาก็เคลือบไว้ด้วยความเป็นหนังครอบครัว ซึ่งเราอาจจะทำแบบนั้นไม่ได้เพราะว่าพอโฟกัสที่ความรักของผู้ชายกับผู้ชายเลยดูเกินไปหน่อย ในเมื่อคู่รักผู้ชายกับผู้ชายหรือหนังเกย์มันยังขายไม่ได้ อย่างนั้นลองคิดหนังผู้ชายผู้หญิงไป แต่ก็ไม่ได้อีกเพราะว่าที่เราทำมันอาจจะไม่ตรงตามตลาดต้องการด้วยมุมมองความเป็นกะเทยและความเป็นเควียร์ (Queer) (5) ของเรามันไม่เหมือนเขา เพิ่งมาตะหนักได้หลังจากเวลาผ่านไปสัก 10 – 20 ปีนะว่ามันน่าจะเป็นเช่นนี้ เราไม่รู้สึกหรอก แต่มันมีความไม่เท่าเทียมบางอย่างที่ยังคงอยู่เสมอ แล้วเราจะไปว่าเขาก็ไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องของรสนิยม นายทุนไม่ได้ผิด ตลาดไม่ได้ผิด แค่เราจะไปสวนกระแสสิ่งเหล่านี้นี่มันต้องใช้แรงเยอะมาก จนผ่านมา 10 กว่าปีนู่นถึงจะได้ทำหนังเรื่องแรกของตัวเองคือ ‘อนธการ (The Blue Hour)’
ฉากที่อยากเล่ากับเรื่องราวที่อยากบอก
“มันมีความคาบลูกคาบดอก อาจจะเป็นเพราะว่าเราเติบโตมาจากสายผู้กำกับหนังอิสระที่ต้องมีความ Pioneer (ริเริ่ม)ในเรื่องพวกนี้ ศิลปะภาพยนตร์คือการนำเสนออะไรที่มันท้าทายกับคนดูทั้งภาษาภาพ การใช้เสียงไม่เหมือนเรื่องอื่น ๆ การเล่าเรื่องที่แปลกแตกต่าง ซึ่งเรื่องประเด็นของหนังอิสระโดยมากก็จะเป็นประเด็นที่คนไม่เคยเล่าหรือว่าไม่กล้าเล่าแล้วหนังอิสระจะทำหน้าที่ในการดันเพดานขึ้นไป แต่ส่วนมากก็ไม่ค่อยได้เงินเพราะว่ามันอาจจะใหม่เกิน คนอาจจะรับไม่ได้ หรือมันอาจจะไม่ประสบความสำเร็จด้วยอะไรก็แล้วแต่ ในเชิงอุตสาหกรรมภาพยนตร์มันก็เหมือนเป็นหน่วย Research & Development เพื่อหาประเด็นใหม่ ๆ มาทั้งในแง่ของศิลปะภาพยนตร์ไปจนถึงตัวละครอะไรต่าง ๆ และเรื่องเล่าที่ปกติไม่เคยเล่า อย่างซีรีส์วายนี่มันจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าเราไม่มีหนังอิสระที่กล้าเล่าเรื่อง LGBTQIAN+ มาก่อนนะ ซีรีส์วายคือตัวอย่างชัดเจนว่าในที่สุดแล้วมันก็กลายเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถทำได้และเป็นเรื่องที่คนดูทั่วไปรับได้แล้ว
“พอโตมากันอย่างนี้แล้วได้มาทำอะไรที่มันเป็นสื่อฟรีทีวีอย่างช่อง 3 เลยคิดว่าเราน่าจะเล่าประเด็นที่คนปกติไม่น่าจะกล้านำเสนอแบบนี้ อย่างเช่นละครเรื่อง ‘หวานรักต้องห้าม’ จะเห็นว่าเล่าเรื่องทำแท้ง มีตัวละครหนึ่งเป็นเด็กสาวที่เลือกจะตัดสินใจไปทำแท้งแบบถูกกฎหมายด้วยนะ อันนี้เล่าประเด็นเรื่องสิทธิการทำแท้งที่มันค่อนข้างเป็นประเด็นอ่อนไหว (Sensitive Issue) อย่างมากคนก็หลีกเลี่ยงเพราะว่าบางคนดูแล้วอาจจะไม่เห็นด้วย ฉันไม่ชอบละครเรื่องนี้แล้ว ฯลฯ อะไรอย่างนี้มันเสี่ยงเลยต้องขอบคุณทางช่อง 3 ด้วยที่ให้เล่าประเด็นอ่อนไหวแบบนี้ได้
“หรืออีกประเด็นคือเราเห็นภาพของครอบครัวที่มีผู้นำเป็นกะเทยซึ่งมันคือสิ่งที่มีอยู่จริงในสังคมแถมยังขึ้นมามีบทบาทมากกว่าผู้ชายที่เป็นสามีด้วยซ้ำ แล้วกะเทยสามารถรันธุรกิจทุกอย่างด้วยทั้งคุมและดูแลลูกน้องอะไรอย่างนี้ มันก็เป็นภาพที่ดูแล้วคาบลูกคาบดอก บางคนดูแล้วไม่เชื่อ ฉันไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้ กะเทยมันต้องเศร้าสิ กะเทยมันต้องบ้าผู้ชายสิ มันไม่ง่ายไงในการจะทำอะไรที่มันสมจริงเพราะเป็นสิ่งที่คนดูเข้าใจว่ามันเป็นแบบนี้และไม่ขัดแย้งกับความคิดเขา แต่เราโตมาในวงการหนังอิสระเราก็ต้องทำสิ่งที่มันขัดต่อความคิดเขา มันเลยเสี่ยงที่ว่าคนดูอาจจะไม่ชอบแล้วเกิดการถกเถียงกัน นั่นคือเป้าหมายของเรา”
ยกเลิกแบน : ความอยู่รอดของวงการภาพยนตร์ไทย
“มันเป็นเรื่องสำคัญนะคะ โดยมากแล้วนักทำหนัง ละคร ซีรีส์บางท่านไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเซนเซอร์ (Censor) มันเป็นหัวข้อที่ฟังดูแล้วน่าเบื่อเพราะว่ามีการต่อสู้กันมาร้อยปียืดยาว พูดแล้วก็พูดซ้ำเรื่องเดิม ๆ แต่ว่ามันสำคัญมาก ซึ่งสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทยสู้กันมาตั้งแต่ก่อตั้งสมาคมฯ เลย เวลามีหนังไทยโดนแบนเราต้องหาวิธีต่อสู้แล้วว่าจะช่วยเขายังไง เราจะกระจายข่าวให้ผู้ชมรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ยังไง การที่หนังโดนแบนนี่มันเรื่องใหญ่นะ เพราะว่ามันคือการสร้างศิลปะและเราต้องให้อิสระกับผู้สร้างไม่ใช่ไปปิดกั้น ไม่อย่างนั้นเราจะเอาอะไรไปสู้กับคนที่เขามีอิสระมากกว่า อย่างฮอลลีวูด (Hollywood) นี่แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้เขาก้าวหน้ากว่าเรา เขาสามารถเล่าเรื่องที่คนดูอยากให้เขาทำได้แต่ของเรามันทำไม่ได้ไง แล้วเราจะเหลืออะไรไปสู้เขา ทุนก็สู้ไม่ได้อยู่แล้ว
“เรื่องที่อยากเล่าอย่างประเด็นปัญหาสังคมหรือปัญหาด้านการเมือง ทำได้ไหม? แน่ใจไหมว่าจะไม่โดนแบน? ถ้าเราทำเรื่องพวกนี้ได้มันก็สู้กันได้นะ มันทำให้หนังมีความสำคัญกับสังคมว่าทำไมคนถึงต้องมาดู หนังมันควรจะต้องเป็นพื้นที่ให้เล่าในสิ่งที่ริเริ่มได้ว่าเรากล้าเล่นประเด็นนี้ คนจะเห็นความสำคัญของหนังแล้วรู้สึกว่ามันมีผลกระทบกับชีวิต ดังนั้นเรื่องนี้มันจึงสำคัญต่อการอยู่รอดของวงการภาพยนตร์มาก เราถึงได้ต่อสู้กันมาตลอด
ปัจจุบันร่างพระราชบัญญัติภาพยนตร์ฉบับใหม่กำลังใกล้สำเร็จแล้ว โดยจะมีเป้าหมายว่าให้ยกเลิกการแบนจากภาครัฐและเหลือเพียงการจัดเรต (Rate) ของเนื้อหา (Content) ที่เหมาะสมแทน
“เราเห็นด้วยกับการจัดเรต (Rate) นะคะ เพราะว่าการจัดเรตกับการเซนเซอร์มันไม่เหมือนกัน จัดเรตคือจัดลำดับว่าผู้ชมอายุเท่าไรและเหมาะสมกับเนื้อหา (Content) แบบไหน เราต้องรับผิดชอบและคิดว่าจำเป็นต้องมี การจัดเรตมันจะทันสมัยขึ้นและจัดเรตโดยคนในอุตสาหกรรม เราจะดูให้เหมาะสมแต่ว่า ‘ไม่แบน’ ทำให้นายทุนอาจจะกล้าลงทุนในหนังที่มีประเด็นซึ่งปกติแล้วไม่เคยมีใครกล้าเล่าและเป็นสิ่งที่คนอยากดูหรืออยากให้คนทำหนังมาพูดเกี่ยวกับประเด็นนี้จังเลย มันก็อาจจะมีหนังแบบนั้นออกมาได้
“จริง ๆ มันไม่จำเป็นต้องแบนเพราะว่ามีกฎหมายอื่นรองรับอยู่แล้ว อย่างกฎหมายลามกอนาจารถ้าคุณทำหนังแล้วมันผิดกฎหมายนี้ก็จะถูกฟ้อง รวมถึงทำหนังที่มันผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ด้วยการนำเสนอเรื่องเท็จก็เช่นกัน มันมีกฎหมายเยอะแยะมากมายในการที่จะควบคุมภาพยนตร์อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาแบนซ้ำแบนซ้อนทำให้การพัฒนาวงการนี้มันยาก โชคดีหน่อยที่ช่วงนี้ทางภาครัฐเขามองการพัฒนาภาพยนตร์ว่าต้องสนับสนุนให้เป็น Soft Power หรือตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ เขาต้องมองในแง่ของการผลักดันมากกว่าที่จะควบคุมเพราะฉะนั้นนโยบายเลยเปลี่ยน ในเมื่อเรื่องแบนมันขัดขวางการพัฒนาเขาก็จะพยายามผ่อนปรนหรือไม่เข้าไปยุ่งแล้วให้ภาคเอกชนเป็นคนจัดการเรื่องนี้กันเอง”
สมดุลแห่งความเท่าเทียม
“เรื่องของ LGBTQIAN+ สิทธิมันเบ่งบานได้มันก็เหี่ยวได้ อย่าคิดว่าตอนนี้สมรสเท่าเทียมผ่านแล้วแบบว่าอุ๊ย! ฉันมีความสุขจังเลย! แต่มันจะต้องก้าวหน้ามากขึ้นเพราะว่าเราไม่ได้มีสิทธิเท่าเทียมกับเพศชายเพศหญิงอยู่แล้ว ส่วนตัวว่าเรื่องหนึ่งที่ยากคือคำนำหน้าชื่อ การจะเปลี่ยนจากนายเป็นนางสาวนี่ยากมาก คนในคอมมูนิตี้ LGBTQIAN+ เองก็ไม่ได้เห็นด้วยกันทั้งหมด บางคนไม่ต้องการ บางคนต้องการ แต่มีกฎหมายให้เปลี่ยนมันก็ดีกว่าไม่มีถูกไหม
“อย่างเวลาเดินทางไปฉายหนังตามต่างประเทศนี่สนามบินคือพื้นที่อึดอัดที่สุดเพราะมันจะถูกแบ่งแยกผู้ชายผู้หญิง เราไปแล้วต้องต่อแถวผู้หญิง แต่ทีแรกเราคิดว่าพาสปอร์ตตัวเองเป็นผู้ชายอย่างนั้นไปต่อแถวผู้ชายดีกว่า ยามก็จะมาบอกว่าให้เรากลับไปแถวผู้หญิงสิ พอเข้าไปในห้องแล้วคนตรวจดูเอกสารก็แบบว่าอุ๊ย! คุณเป็นผู้ชายนี่! อะไรอย่างนี้มันวุ่นวายมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องยากและต้องใช้เวลาอีกนาน ไม่ได้ว่าอีกฝั่งโลกแคบด้วยนะคะ บางทีมันอาจจะมีเรื่องที่เราก็ไม่ได้คิดในมุมของเขาซึ่งเราเป็นกะเทยเราต้องฟังเขาด้วย ขณะเดียวกันเราต้องบอกว่าเราเดือดร้อนยังไง ต้องดูว่ายังไงมันถึงเหมาะสมที่ทุกฝ่ายจะยอมรับได้ ต้องใช้เวลาอีกพอสมควร”
--------------------------------------------------
(1) Yaoi(ยา-โอย) ชายรักชาย Yuri (ยู-ริ) หญิงรักหญิง ทั้งคู่เรียกย่อ ๆ ได้ว่า Y (วาย) มีที่มาจากประเทศญี่ปุ่น
(2) รสนิยมที่มีความรักความชอบในทั้งสองเพศ
(3) เพศที่ตรงกับสภาพกำเนิด (ชาย-หญิง)
(4) ภาวะเพศกำกวม
(5) ภาวะเพศกำกวม
--------------------------------------------------
Did You Know
ภาพยนตร์เรื่อง ‘อนธการ’ คว้า 2 รางวัลจากเทศกาล Fantasia International Film Festival
ภาพยนตร์เรื่อง ‘มะลิลา’ คว้า 7 รางวัลจากเวทีสุพรรณหงส์ครั้งที่ 28 หนึ่งในนั้นคือภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยม
น้ำหอมแบรนด์ The Perfume Sanctuary ของ ‘นุชี่ อนุชา’ แต่ละกลิ่น Inspire มาจากผลงานของเจ้าตัว ได้แก่ Andhakara (อนธการ) The Farewell Flower (มะลิลา) Not Me Not You But Everyone (Not Me เขา…ไม่ใช่ผม) และ My Sweetest Taboo (หวานรักต้องห้าม)