เผยเบื้องหลังคลับจู๊ด! ร่วมพูดคุยกับนักแสดงจาก “Sinners ซินเนอร์ส” นำทีมโดยคนบาป “ไมเคิล บี จอร์แดน” ก่อนร่ายรำกับปีศาจพร้อมกันในโรงภาพยนตร์

เผยเบื้องหลังคลับจู๊ด! ร่วมพูดคุยกับนักแสดงจาก “Sinners ซินเนอร์ส” นำทีมโดยคนบาป “ไมเคิล บี จอร์แดน” ก่อนร่ายรำกับปีศาจพร้อมกันในโรงภาพยนตร์

 

“Sinners ซินเนอร์ส” ผลงานจากผู้กำกับมากวิสัยทัศน์ ไรอัน คูกเลอร์ จาก “Black Panther” และ “Creed” นำแสดงโดย ไมเคิล บี จอร์แดน กับการก้าวเข้ามาสู่ภาพแห่งจินตนาการความกลัวรูปแบบใหม่ในฐานะของ “คนบาป”

สโมค และ สแต๊ก สองพี่น้องคู่แฝด (ไมเคิล บี จอร์แดน) ทิ้งปัญหาชีวิตที่ไม่อยากจำเอาไว้เบื้องหลัง แล้วกลับมาบ้านเกิดเพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่กลับพบว่ามีปีศาจชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่กว่ากำลังรอต้อนรับพวกเขากลับมา “ถ้าคุณเต้นกับปีศาจ สักวันหนึ่งปีศาจจะตามคุณกลับบ้าน”

ไมเคิล บี จอร์แดน รับบทสองพี่น้องฝาแฝด สโมค และ สแต๊ก  ผู้รอดชีวิตการต่อสู้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 และอาชญากรชิคาโก ตอนนี้กลับมายังบ้านเกิดของพวกเขาพร้อมด้วยเหล้าล็อตใหญ่และไอเดียมากมายล้นสมอง

การร่วมงานกันอย่างต่อเนื่องระหว่าง ไรอัน คูกเลอร์ และ ไมเคิล บี จอร์แดน

ไมเคิล บี. จอร์แดน: ผมคิดว่าสิ่งที่ทำให้มันสนุกและน่าพอใจคือความสบายใจและความไว้วางใจ รู้ว่าจะต้องเป็นประสบการณ์ที่มีความสุข เป็นการผลักดันผมไปเหนือคอมฟอร์ทโซนของตัวเองด้วย เราพยายามเติบโตขึ้นเสมอ จากโปรเจ็กต์หนึ่งสู่อีกโปรเจ็กต์หนึ่ง และตลอดการทำงานอย่างเป็นมืออาชีพด้วย เราร่วมงานกันอย่างราบรื่นเพราะเขาเป็นคนที่ผมรู้จักมานานมากแล้ว เวลาที่เราได้ร่วมงานกับเพื่อน เราจะไม่อยากให้เขาแย่ลง อันที่จริงการที่เขาคิดถึงเราในโปรเจ็กต์หนึ่งมันค่อนข้างมีความสำคัญโดยส่วนตัว มันมีความหมายต่อเขามาก และเขาไว้วางใจให้เราเป็นคนถ่ายทอดเรื่องราว ได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำงาน เราทำงานอย่างจริงจังเพราะมันมีความหมายมาก ทั้งหมดคือที่กล่าวมาและบวกกับเขาเป็นคนที่เราสนิทด้วยไม่ว่าเราจะทำงานหรือไม่ก็ตาม

ข้อดีที่ได้ร่วมงานในภาพยนตร์ของคูกเลอร์

ไมเคิล บี. จอร์แดน: ผมทำงานมากกว่าคูก ผมมีภาพยนตร์เกิน 2 เรืองต่อไป ส่วนเขามีโปรเจ็กต์เดียวเป็นเวลา 2 ปี ทั้งการเขียนบทฯ การกำกับฯ จากนั้นเป็นขั้นตอนของหลังการถ่ายทำและลำดับภาพ ทำทุกอย่างจนกระทั่งหนังมีการฉายออกมา เมื่อเขาโทรหาและเรารับสาย เราจะสนใจมากว่าเขาจะพูดอะไร เพราะเขามีความตั้งใจสูงมาก เขาตั้งใจพูดสิ่งนั้นออกมาและทำตามที่พูดแน่นอน ผมได้ยินว่าเขาเลือกเรื่อง Sinners และผมคิดว่า “โอ้ พระเจ้า มันต่างกันเลย” และช่วงแรกผมค่อนข้างกังวล เพราะมันเป็นบทที่มีการผจญภัยสูงมากตั้งแต่ผมเคยเล่นมาก่อน

และการย้อนกลับไปหาความคิดสร้างสรรค์ของเรา คูกสามารถสร้างความมั่นใจให้ผู้คนได้ ย้อนกลับไปหาตอนที่เราเจอกันครั้งแรก เขาบอกผมว่า  “ไมค์ ผมคิดว่าคุณเป็นนักแสดงภาพยนตร์” ตอนนั้นผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้นเลย ผมไม่รู้ด้วยว่าจะทำงานแบบไหน ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยว่าจะได้มาแสดงนำในหนัง เรื่อง Fruitvale Station เป็นผลงานแรกที่ผมมีรายชื่อเป็นอันดับหนึ่ง มีบทเยอะมากทุกฉาก คุณจะต้องติดตามตัวละครของผม และผมรู้สึกว่า “ให้ตายเถอะ ใช้ได้เลย ทั้งหมดคือตัวเรา ไม่มีอะไรอยากย้อนกลับไปแก้ไขเลย” แต่ผมจำได้ที่เขาพูดว่า “เฮ้ ฉันเชื่อแบบนี้และเราจะทำให้ทุกคนเห็น" นั่นคือครั้งแรกที่มีคนพูดอะไรกับผมแบบนั้น และเขาช่วยให้ผมเชื่อแบบนั้นด้วยในช่วงเวลานั้น และผมก็ไม่เคยมองย้อนกลับไปอีกเลย

ผมรู้ว่าตัวละครต่างๆ ที่เขาเขียนขึ้นล้วนมาจากมุมมองส่วนตัว บางครั้งเป็นตัวละครที่แต่งขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็มีแรงบันดาลใจสูงมากด้วย หน้าที่ของผมคือต้องแน่ใจว่าถ่ายทอดข้อมูลอย่างถูกต้อง ต้องแน่ใจว่าถ่ายทอดตัวละครตามเจตนารมณ์ของเขา และเขาผลักดันผมในการทำงานนี้เยอะมาก ครั้งแรกที่เราต้องผ่านไปด้วยกันเขาพูดว่า “เราไม่เคยร่วมงานกับฝาแฝดมาก่อน!” มันมีขั้นตอนที่เราต้องคิดภาพเทคนิคการถ่ายทำ และเราจะทำให้แนบเนียนในเวลาเดียวกันได้อย่างไร บางครั้งผมพูดว่า ‘ให้ตายเถอะ นี่รู้สึกเหมือนแสดงหนังครั้งแรกเลย” เพราะผมไม่รู้ขั้นตอนมาก่อน และผมต้องเรียนรู้เทคนิคที่มีความแตกต่างในเรื่องนี้

คูกมีทีมงานที่เก่งอยู่รอบตัว เขาเอามาช่วยเราตลอดการทำงานนั้น... แต่มันเป็นช่วงเวลาที่มีความหมายสำหรับผมมากทั้งในฐานะของโปรเจ็กต์หนึ่งและภาพยนตร์ มิตรภาพระหว่างเราและพลังในการถ่ายทอดบทบาทออกมา มีความแตกต่างในขั้นตอนการสร้างภาพยนตร์หลายส่วน เช่น การฝึกซ้อมการแสดงที่มีความร่วมมือกัน นี่เป็นโปรเจ็กต์แรกของผมที่มาจากการกำกับฯ และออกมาจากการแสดงในฐานะนักแสดงคนหนึ่ง ผมเลยมาทำงานด้วยมุมมองที่แลปกใหม่ ตอนนี้ผมนึกภาพได้เลยว่าเขามีสุขภาพจิตแบบไหน และสิ่งสำคัญแรกคืออะไร ตั้งแต่ช่วงเวลาที่เขาเตรียมกาจนถึงวันสุดท้าย ผมจะเตรียมรับความคาดหวังเหล่านั้นอย่างไร? ผมจะอุดรูโหว่ได้อย่างไร?  ผมจะพอช่วยเหลืออะไรได้บ้าง? มันเพิ่มการพิจารณาอีกส่วนและความคิดที่ผมพยายามถ่ายทอดออกมา มันมีอะไรให้พูดถึงอีกมาก ผมคิดว่ามิตรภาพระหว่างเราและพลังของเรามีส่วนสำคัญในการสร้างหนังเรื่องนี้

การสร้าง สโมค และ สแต็ก ขึ้นมา

ไมเคิล บี. จอร์แดน: เรื่องราวในอดีตคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับนักแสดงและผมมาก ผมเลยสร้างเรื่องราวในอดีตขึ้นมาว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้างจากความทรงจำช่วงแรก สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนบทฯ หน้าแรกคือสิ่งที่มีความสำคัญมากเสมอ มันเป็นการเข้าถึงประเด็นสิ่งที่เหมือนกันของฝาแฝด และความหมายของการเป็นพี่น้องกัน ผมมีโค้ชภาษาถิ่นอย่างเบธ แม็คไกวร์ เธอเป็นครูสอนด้านการแสดงมานานหลายปีด้วย เธอน่าทึ่งมาก ผมร่วมงานกับเธอครั้งแรกในเรื่อง Black Panther เธอช่วยผมหลายอย่างเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวร่างกาย การแสดงท่าทางและการยืน พวกเขาจะมีการยืนที่ต่างกัน และการเดินก็ค่อนข้างต่างกัน พวกเขาต้องแบกรับเรื่องเศร้าในจุดที่ต่างกัน การเข้าถึงท่าทางได้อย่างชัดเจนช่วยให้ผมรู้สึกมั่นใจและเป็นการเตรียมตัวอย่างดี พอผมก้าวเข้าไปในฉากผมสามารถแสดงออกมาได้เลย

จากนั้นเราต้องคิดภาพขั้นตอนการทำงาน ฝาแฝดคนไหนจะเริ่มก่อน? ในฉากนี้พี่น้องคนไหนต้องแสดงเยอะสุด คนไหนต้องขับรถในฉากนี้? มีคนหนึ่งเริ่มก่อนเพราะเขาต้องสร้างกฎ พอผมพลิกไปสู่อีกคน ผมไม่สามารถเดินตรงพื้นที่เดิมกับอีกคนได้ ผมต้องสร้างช่องใหม่ขึ้นมาเอง เหมือนเห็นร่างเพื่อนนักแสดงที่กำลังแสดงกับผมอยู่ [หัวเราะ] อีกเวอร์ชันหนึ่งนั่งอ่านฉากนั้น อีกเวอร์ชันหนึ่งอยูกับเขาอีกฝั่งและอ่านอีกเวอร์ชัน มันทำให้เราสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลระหว่างขั้นตอนนั้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรามาก จากนั้นยังมีเรื่องเสียงดนตรีที่สำคัญต่อฉาก เดินเข้ามาตอนเช้า เข้าถึงตัวละครร่างหนึ่ง จากนั้นอีกไม่กี่นาทีต้องสวมบทบาทอีกร่างหนึ่ง

มันเป็นการทำงานที่ราบรื่นตลอดทั้งวัน ในช่วงแรกเรามีไอเดียหนึ่งเกิดขึ้น พอสัปดาห์ที่ 2-3 เราก็จะมีไอเดียที่ดีขึ้นกว่าเดิมจากสิ่งที่เกิดขึ้นและดำเนินไปอย่างราบรื่น เราแค่ต้องเดินไปพร้อมกับมัน ในหนังบอกเราว่าต้องทำอะไรบ้างและเราก็เริ่มที่ตรงนั้น

สิ่งที่ได้รับจาก Sinners

ไมเคิล บี. จอร์แดน: ในเรื่อง Sinners มีอะไรหลายอย่าง มีหลายระดับในเรื่อง ผมอยากให้ทุกคนได้รับทุกสิ่งที่เราตั้งใจถ่ายทำและสร้างมันขึ้นมา มันคือประสบการณ์ที่สนุก ผมอยากให้พวกเขาได้สนุก แต่ก็อยากให้พวกเขาได้ขบคิดด้วยเช่นกัน ระหว่างกลับบ้าน ระหว่างอาบน้ำ หรือตอนอยู่บ้านกับครอบครัว ผมอยากให้ทุกคนคิดถึงหนังและตัวละครไปเรื่อยๆ จนเริ่มมีการคุยกัน นั่นคือสิ่งที่ผมรักเกี่ยวกับหนัง มันทำให้ทุกคนคิดมุมต่างและได้รู้จักสิ่งต่างๆ พื้นที่ สถานที่ที่อาจไม่เคยเกี่ยวข้องมาก่อน ความสนุกสนานนั้นก็มีความน่ากลัวอยู่บ้าง ผมอยากให้ทุกคนสนุกกับเสียงดนตรี ในเรื่องมีเสียงดนตรีเยอะมาก และต้องใส่ใจรายละเอียดหลายอย่าง ลุดวิก [โกแรงสัน] ไรอันรู้จักเขาตั้งแต่เรียนโรงเรียนภาพยนตร์และเป็นผู้ประพันธ์ดนตรีของเราตั้งแต่เรื่อง Fruitvale Station ผมไม่เคยอยู่ในฉากของหนังเรื่องไหนที่เรามีการถ่ายทำไปพร้อมกับเสียงดนตรีจริงที่ได้ยินในหนัง “เพลงนี้ต้องเปิดช่วงนี้ โอเค ผมจะเล่น X, Y และ Z นี่คือสิ่งที่ผู้คนจะได้ยิน…” มันเหมาะกับช่วงเวลานั้นจริงๆ ผมคิดว่ามันช่วยได้มากเลย ผมอยากให้ทุกคนสัมผัสถึงรายละเอียดเสียงดนตรีเข้าถึงกระดูก อ้อ แล้วได้เจอกับนักแสดงใหม่ด้วย เรามีทีมนักแสดงที่น่าทึ่งมาก ทุกคนแสดงออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ผมตื่นเต้นมากที่ได้เห็นนักแสดงบางคนในมุมที่ต่างออกไป และตกหลุมรักกับคนที่ผู้ชมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

 เฮลีย์ สเตนเฟลด์ รับบท แมรี่ หญิงสาวที่เต็มไปด้วยอดีตอันซับซ้อน เธอแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ และตอนนี้เธอกลับมาเพื่อจัดการบางปัญหาที่ค้างอยู่กับสแต็ก

แมรี่คือความท้าทาย

 เฮลีย์ สเตนเฟลด์: ฉันไม่เคยรับบทแบบนี้มาก่อน ย้อนไปถึงการคุยกันครั้งแรกกับไรอัน นั่นคือก่อนที่ฉันจะได้อ่านบทฯ ได้ยินจากเขาเกี่ยวกับตัวละครนี้ ชีวิตของเธอ บทบาทของเธอในโลกใบนี้ที่เขาสร้างขึ้นมา... ไม่มีช่วงไหนที่ฉันไม่เกิดความสนเลยค่ะ แมรี่มีความมั่นใจและมีพลังที่เธอรู้ว่าเธอมีอยู่ แต่เธอก็ค้นพบมันในช่วงเวลาเดียวกันด้วย เธอใช้มันอย่างฉลาด และฉันสวมบทนี้โดยรู้สึกว่ามีความเป็นผู้ใหญ่มาก ฉันรอมานานที่จะได้สวมบทบาทแบบนี้และพอได้อ่านบทครั้งแรก ฉันรู้สึกสนุกกับการทำงานมาก ตอนนั้นฉันรู้สึกแย่มากในช่วงที่ถึงเวลาจริง แต่ฉันรู้สึกว่ามันอาจเกิดขึ้นแบบนั้นในช่วงเวลาหลายชั่วโมง ตอนที่ฉันอ่านบทได้คุยกับไรอัน ได้ย้อนกลับไปและอ่านบทอีกครั้ง ได้คุยกับไรอัน ได้เจอไรอันและไมเคิล มันมีหลายประโยคที่ผสานเข้ากันได้อย่างดีโดยที่ไม่ทันตั้งตัวในช่วงแรก อย่างน้อยฉันรู้สึกว่าตอนที่ได้อ่านบทและพอกลับมาอ่านอีกครั้ง ได้มานั่งอยู่ในฉากและทุกอย่างก็เริ่มเห็นภาพได้ในเวลาเดียวกัน ฉันคิดว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นสำหรับการได้ดูอะไรแบบนี้เลย 

และการพูดคุยเหล่านั้นช่วยฉันให้รักตัวละครนี้มากขึ้น เนื้อเรื่องที่ถ่ายทอดออกมาและจุดที่เธออยู่ มันมีความซับซ้อนและเรื่องราวยากจะเข้าใจ ตัวลละครนี้มีความท้าทายกับฉันอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน และนั่นคือสิ่งที่ตื่นเต้นมาก

เดินทางข้ามเวลา

 เฮลีย์ สเตนเฟลด์: ส่วนหนึ่งที่ฉันชอบการทำงานคือการค้นหาข้อมูล และคิดว่ามันดูแตกต่างกันได้ตลอดเวลา สำหรับเรื่องนี้มันเริ่มจากหนังสือที่ไรอันเอามาให้ฉัน ชื่อว่า Deep Blues โดยโรเบิร์ต พัลเมอร์ และทุกครั้งที่มีเสียงดนตรีเข้ามา มันคือช่วงเวลาที่อ่อนโยนสำหรับฉัน มันคือวิธีการเข้าถึงจังหวะนั้นของฉัน และมันช่วยสร้างโทนได้มากเลย … คิดย้อนกลับไปตอนจับคู่เสียงดนตรีกับช่วงเวลาที่แมรี่มีตลอดทั้งเรื่องช่วยให้ฉันสัมผัสได้ถึงหลายอย่าง ในเพลย์ลิสต์ของแมรี่มีเพลงของเบสซี่ สมิธเยอะมาก ไรอันเองก็เอาหนังสือบางเล่มที่เป็นบันทึกสั้นๆ มาให้ดู มีภาพที่ถ่ายในมิสซิสซิปปี้ปี 1932 จากนั้นยังมีช่วงเวลาส่วนตัวที่เป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นที่นั่น เป็นการเจาะลึกข้อมูลที่ดีมากเลย นอกจากการฟังเสียงดนตรี การพูดคุยกับรัธ คาร์เตอร์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายของเราที่เป็นสิ่งหนึ่งที่ฉันชอบช่วงก่อนการถ่ายทำ ยังมีการลองชุดต่างๆ ตลอดการถ่ายทำด้วย ต้องเข้าไปที่ออฟฟิศของรัธและใช้ห้องลองเสื้อผ้า ได้เห็นโลกใบนั้นบนผนังที่ดูแล้วน่าทึ่งมาก จากนั้นแน่นอนว่าเราได้เข้าสู่โลกอันเหลือเชื่อ มันเหมือนภาพที่เห็นอยู่บนหนังสือพวกนั้นที่ฉันจ้องอยู่นาน แล้วมันก็อยู่ตรงหน้าฉันแล้ว

เมื่อเห็นสองตัวละคร

 เฮลีย์ สเตนเฟลด์: ฉันไม่รู้ว่าไมเคิลทำแบบนั้นได้อย่างไร มีช่วงที่ฉันอยู่ในฉากแล้วรู้สึกหมดแรง ได้เห็นเขามีการเปลี่ยนแปลง เราจะถ่ายทำฉากหนึงและจากนั้นเขาก็จะแปลงร่างในช่วงเวลาเพียงนิดเดียวที่เรามี แต่มันเป็นการเพิ่มแรงกระตุ้น ความแข็งแรงของเขาเหลือเชื่อมาก เขาสามารถสร้างความทึ่งให้เราได้เสมอ ฉันสัมผัสได้ถึงความแตกต่างในการแสดงของเขา แน่นอนว่าเขาต้องแสดงจากสแต็กสู่สโมค แต่พอได้เห็นผลงานสุดท้ายแล้ว มันจะทำให้คุณต้องอึ้งไปเลย ไม่ง่ายสำหรับใครเลยสักนิด เราทำได้แค่นึกภาพว่าสำหรับเขามันควรเป็นแบบไหน เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าจะมีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นได้ นอกจากความมหัศจรรย์ ความสนุก ความวิเศษจากมุมของเขา เขามีความสามารถมากและสร้างผลงานอันเหลือเชื่อ ในฐานะผู้ร่วมฉากเขาคือคนที่เก่งมาก มีความใส่ใจนักแสดงคนอื่น เป็นหนึ่งในนักแสดงที่สัมผัสได้ถึงความใส่ใจ และการได้ยินอะไรแบบนั้นจากเพื่อนร่วมฉากคือเรื่องที่หาได้ยาก มันคือความพิเศษ และเป็นสิ่งที่ฉันไม่คิดจะขออะไรอีก

การผ่านไปด้วยกัน

 เฮลีย์ สเตนเฟลด์: ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนเวลาคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ทั้งหมดนี้ ตั้งแต่การร่วมงานกับไรอันไปจนถึงทุกคนในทีมนักแสดงและทีมงานทั้งหมด มันคือสิงที่ฉันไม่เคยพบมาก่อนและจะไม่มีวันลืมเลย ฉันคิดเสมอว่ามันพิเศษมากเวลาที่เราได้ร่วมงานกับกลุ่มคนที่มีความหลงใหลในการทำงานนั้นเป็นพิเศษ และยิ่งกว่านั้นคือการใส่ใจความรู้สึกทุกคนและความราบรื่นตลอดการทำงาน พวกเราเกาะแน่นอยู่ด้วยกันทุกคน แทบจะทุกเวลาเลยก็ว่าได้ แต่ฉันว่าในบางมุมมันก็ช่วยให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น และเป็นประสบการณ์ที่ดีมากที่ฉันเคยมีมาก่อนเลยค่ะ ไรอันเป็นนักเล่าเรื่องแห่งตำนานในยุคของเรา และการได้เป็นส่วนหนึ่งในจินตนาการของเขา ในโลกของเขา นับว่าเป็นเกียรติอย่างหนึ่ง เป็นประสบการณ์ที่ฉันจะไม่ลืมจริงๆ

ประสบการณ์โดยรวม

 เฮลีย์ สเตนเฟลด์: ฉันคิดถึงมันหลายอย่างตลอดการทำงาน ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีช่วงที่คิดว่า “ทำไมโลกใบนี้มีความชัดเจนได้ขนาดนี้ การร่วมงานกับไรอัน คูกเลอร์คือการสร้างความถูกต้องใช่ไหม?” เพราะถึงแม้เราจะอยู่ตรงนั้นและอยู่ในสายตาของเขา ฉันไม่รู้เลยว่าจะสร้างความชัดเจนออกมาอย่างไร มันคือสิ่งที่พิเศษ สร้างแรงบันดาลใจ และความตื่นเต้น เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาก นั่นคือสิ่งสำคัญ ฉันรู้สึกว่าพบความท้าทายจากบทนี้หลายอย่าง มันเป็นเรื่องยากเพราะเราถูกจ้างให้มารับหน้าที่นี้ เราต้องทำงานของเรา รับบทของเรา ทำการค้นหาตัวละคร ทำหน้าที่ของเรา จากนั้นก็มาปรากฎตัวบนฉาก ผู้กำกับฯ บางคนจะถอยหลังและปล่อยให้เราแสดงไป ส่วนบางคนจะพยายามปรับเปลี่ยน จากนั้นทำบางสิ่งที่ต่างออกไป 

สำหรับไรอัน เขาไว้วางใจเรามากและมอบโอกาสให้เราในฐานะของนักแสดงได้โบยบินไป มันยากจะอธิบาย… เขามีความพิเศษมาก วิธีการเล่าเรื่องของเขา วิธีที่เขาให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วม ความใส่ใจของเขาที่มี สิ่งหนึ่งที่ฉันชื่นชมมากในตัวไรอันคือหากเขามีความคิดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรา เขาเป็นคนเดียวที่ได้ยินสิ่งนั้น จริงไหม? นั่นคือฝันร้ายของนักแสดงเลยที่ถูกตะโกนใส่ข้ามห้อง บางครั้งมันเป็นแบบนั้นสำหรับฉากสำคัญ แต่นี่เกิดขึ้นเป็นการส่วนตัวหรือเราพูดคุยกันในฐานะนักแสดงกับผู้กำกับฯ... มันวิเศษมากเวลาที่เรามีช่วงเวลานั้นกับไรอัน เพราะเวลาที่เขาคุยกับเรา เราจะรู้สึกว่าอยู่ในห้องเพียงลำพัง นั่นคือความรู้สึกพิเศษ เป็นเรื่องพิเศษที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะที่เรามีคนอยู่ในห้องเยอะๆ หลายคนต้องการความสนใจจากเราและความเห็นต่างๆ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขาในช่วงนั้น เขาเก่งมากเลยค่ะ

ไมลส์ เคตัน รับบท แซมมี่ หรือฉายา พรีชเชอร์ บอย ลูกพี่ลูกน้องชาวนาของสโมคและสแต็ก เป็นทั้งนักดนตรีและนักร้องแนวบลูส์ส์ที่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา เขามารวมทีมโดยรับหน้าที่ผู้นำของการขับเคลื่อนครั้งใหม่

เมื่อได้รับโทรศัพท์

ไมลส์ เคตัน: ย้อนเวลากลับไปอย่างรวดเร็ว ผมเคยร้องเพลงตอนเป็นเด็ก พออายุ 16 ปีได้รับสายให้มาร้องเพลงเบื้องหลังให้ H.E.R. เราเปิดตัวให้วง Coldplay จากนั้นออกทัวร์ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ผมได้รับสายจาก H.E.R. เธอบอกว่า  “ฉันคิดว่ามีบทนี้ที่คุณควรไปออดิชั่น” และผมก็รู้สึกกังวล ผมไม่รู้ว่าจะคาดหวังกับอะไร แต่ผมก็ลองดู ไปออดิชั่นและสิ่งต่อมาที่รู้คือได้รับสายจากไรอัน คูกเลอร์

การเดินทางของแซมมี่

ไมลส์ เคตัน: แซมมี่เป็นลูกพี่ลูกน้องวัย 19 ปีของสแต็กและสโมค เขาเป็นนักดนตรีแนวบลูส์มานาน เขาใช้ประสบการณ์ตัวเองและชีวิตแต่ละวันมาเป็นแรงสร้างสรรค์ของเขา เมื่อเขาได้กลับไปติดต่อกับลูส์กพี่ลูกน้อง เขาพยายามพิสูจน์ว่านี่คือชีวิตที่เขาอยากจะมี เขาอยากออกไปทำให้ทุกคนเห็นว่าเขาทำอะไรได้ พวกเขาสร้างเรื่องราวสำคัญและส่วนเขาก็จะได้แสดงความสามารถให้ทุกคนเห็น 

ผมคิดว่าแซมมี่โตขึ้นหลังจากผ่านเรื่องราวทั้งหมด เขามีความฝันอันยิ่งใหญ่ มีแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ เขามีภาพของโลกใบนี้ที่คิดเอาไว้ และผมคิดว่าเขาพยายามหาทางกับมันอยู่ แต่สิ่งที่เขารู้มันเป็นเพียงเสี้ยวนิดเดียวจากหลายสิ่งที่เขาได้รู้มา… ผมคิดว่าไรอันอยากให้เขาโตขึ้นเมื่อเรื่อองราวผ่านไป ส่วนใหญ่ผมผมรู้สึกว่าตัวละครมีภาพชัดเจนอยู่แล้ว แต่เขาปล่อยให้ผมดึงความเป็นตัวเองสู่ตัวละครจนกลายเป็นแซมมี่ขึ้นมา ในหลายๆ ด้านผมรู้สึกเห็นภาพเขาชัดเจน ผมสัมผัสได้ถึงความทะเยอทะยานของเขา เขามีความมุ่งมั่นสูงมาก เขามีจิตใจกล้าหาญและมีแรงผลักดันในสิ่งที่อยากทำสูงมาก และผมรู้สึกว่าพ่อของเขาก็คอยชี้นำทาง ลูกพี่ลูกน้องของเขาต่างหวังว่าเขาจะลงตัวกับแผนของพวกเขา แต่เขาพยายามนำทางสิ่งต่างๆ เพื่อตัวเอง และผมรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ทำให้ผมโตขึ้นระหว่างทาง พยายามหาเส้นทางของตัวเองและเป็นในสิ่งที่ผมอยากเป็น

การเรียนกีตาร์

ไมลส์ เคตัน: เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก เพราะก่อนจะได้ยินเรื่อง  Sinners ผมบังเอิญหยิบกีตาร์ขึ้นมาและก็เริ่มเล่นไปบ้าง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีโอกาสแบบนี้รออยู่ ผมเริ่มลองเล่นหลังจากได้รับโทรศัพท์และก็ซ้อมทุกวัน มันเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง แต่ผมได้การช่วยเหลือจากนักกีตาร์ที่เก่งคนนี้ เราไปสตูดิโอด้วยกันทุกวัน เขาสอนพื้นฐานของกีตาร์และการเลื่อนนิ้วรวมถึงทุกอย่าง ผมภูมิใจมากที่ผมเล่นได้ในเวลาอันสั้น สุดท้ายมันรู้สึกว่าเป็นธรรมชาติทั้งผมและแซมมี่ ผมคิดว่าตัวเองมีความเข้าใจเรื่องเสียงดนตรี ผมมีความเป็นนักดนตรีอยู่ในตัวเลยรู้สึกว่าหยิบมันมาเล่นได้อย่างรวดเร็ว

ความสำคัญของการจับต้องได้

ไมลส์ เคตัน: ผมคิดว่ากีตาร์ของแซมมี่มีความหมายและความสำคัญต่อเขามาก ผมคิดว่าในช่วงแรกมันคือสิ่งเดียวที่ทำให้เขาเดินหน้าต่อไปได้ เขาเป็นชาวไร่ คุณพ่อของเขาเป็นบาทหลวง และเขาเป็นพี่คนโตสุดในบรรดาพี่น้องทั้ง 4 คน ชีวิตแต่ละวันของเขาซ้ำซากจำเจ กีตาร์ของเขาเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เขามีความสุข มันคือสิ่งที่เขาหลงใหล และผมคิดว่าทั้งเรื่องเราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของเขา ได้เห็นประสบการณ์ที่ต่างไปเกิดขึ้น เขาได้พบกับโลกแห่งความไม่มั่นใจในช่วงเวลาที่น่ากลัว แต่ระหว่างนั้นเราจะได้เห็นว่ากีตาร์ของเขายังคงอยู่ มันคือสิ่งที่ทำให้เขาปลอดภัย ทำให้เขาอุ่นใจ แทบจะเหมือนผ้ากันภัยของเขาเลย 

เรียนรู้จากคนเก่ง

ไมเลส คาตัน: การร่วมงานกับไมเคิลกระตุ้นแรงผลักดันได้ดีมาก เขาสอนหลายอย่างเกี่ยวกับความชำนาญ ซึ่งนี่เป็นเรื่องใหม่สำหรับผม การได้เข้ามาร่วมงานและเรียนรู้จากคนที่เก่งกว่าคือเรื่องที่พิเศษมาก เขาสอนเรื่องความสำคัญในการเข้าถึงตัวละครและการตีความจากบทฯ ในแบบของเราเอง วิเคราะห์และตกผลึกทำไมตัวละครนี้จึงเป็นแบบนั้น

ช่วงเวลาแห่งการเฉิดฉายของแซมมี่

ไมลส์ เคตัน: ผมต้องร้องเพลงต้นฉบับที่ชื่อ “I Lied to You” แบบสดๆ เป็นช่วงเวลาสำคัญมาก ผมจำตอนถ่ายทำวันนั้นได้ ต้เองเตรียมพร้อมสำหรับการแสดง เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก ทุกคนรอบตัวก็ตื่นเต้นและช่วยกันส่งพลังให้ เราต้องแสดงกัน 3-4 เทค จนได้ทั้งการร้องเสียงธรรมดาแบบสดๆ จากนั้นเราย้อนกลับมาร้องฉบับสมบูรณ์แบบในบูธ โดยรวมแล้วฉากนั้นใช้เวลา 3-4 วัน เรามีคนอยู่ที่นั่นเยอะมาก มันคือช่วงเวลาของแซมมี่ที่เขาได้โชว์ให้ทุกคนเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา เขาแสดงเพลงนั้นและฉากนั้นช่วยส่งพลังของบลูส์ส์ในอีกมิติหนึ่งต่อมา ทำให้เห็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาและสิ่งที่ดำเนินต่อไป 

แซมมี่มาจากครอบครัวที่ต้องทำงานหนัก พวกเขามีความยากจน เสียงดนตรีและบลูส์ส์คือการผ่อนคลายของเขา เพื่อหนีออกจากชีวิตแต่ละวันและชีวิตบนไร่ กลับไปและวนเวียนกับวงจรนั้น เพลงคือวิธีแสดงออกถึงความรู้สึกของเขา จุดยืนในชีวิตของเขาและจุดที่เขาพยายามจะไป ผมต้องไปที่สตูดิโอเพื่อร่วมงานกับลุดวิกหลังจากที่เข้าฉากเสร็จ เขาเปิดเพลงนี้ให้ผมฟัง ผมอยากจะเห็นภาพว่าวงบลูส์ส์ร้องเพลงนี้กันแบบไหน... เช่น Muddy Waters หรือ Buddy Guy ผมพัฒนาเสียงของตัวเองเพื่อเพลงนั้น และพอเริ่มบันทึกเสียงผมก็ทำแบบนั้นได้

 แจ็ก โอ’คอนเนลล์ รับบท เร็มมิค คนแปลกหน้าผู้มีเสน่ห์และมีความมหัศจรรย์ การปรากฎตัวของเขาทำให้เกิดความจงรักภักดีในสังคมขึ้น

ใครคือเร็มมิค?

 แจ็ก โอ’คอนเนลล์ : ผมต้องอ่านบทซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะเชื่อสายตาตัวเองได้ ไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะได้บทจากอเมริกาที่มีเสียงดนตรีไอริช ไม่ใช่เพลงไอริชที่ฮิตด้วย แต่เป็นเพลงของแท้ ผมต้องอ่านบท 6-7 ครั้งก่อนจะได้ยินเพลง “The Rocky Road to Dublin” ที่ร้องโดยเร็มมิคและแวมไพร์ตัวอื่น อย่างที่นึกภาพได้ว่ามันเหมือนความฝันเลย

ผมคิดว่าตัวละครมีความฉลาด เขาน่าจะมีอายุราว 2 พันปีได้แล้วไม่มีใครรู้ ผมรู้ทุกอย่างจากบทในภาพยนตร์ และเขาอ้างถึงการตั้งอาณานิคมของไอร์แลนด์ครั้งแรก ซึ่งนั่นคือเมื่อ 600 ปีที่แล้วเป็นอย่างต่ำ อย่างที่เราพอจะนึกภาพได้ว่ามันมีช่องว่างให้เติมเต็มหลายส่วน มีจังหวะและโอกาสในการสร้างอะไรขึ้นมา แต่ต้องอิงตามประวัติศาสตร์และสิ่งที่จับต้องได้ด้วย รวมถึงเป็นสิ่งที่ผมมีความสนใจเป็นการส่วนตัวด้วย การสร้างตัวละครที่มีความเหนือธรรมชาติแต่ยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่ จึงต้องอยู่บนหลักแห่งความจริงด้วย ไม่ใช่เรื่องแปลกเหนือสิ่งที่คาดคิดเอาไว้มากนัก

ผมได้ทำสิ่งที่ตื่นเต้นมาก และคิดว่าเขาวนเวียนอยู่มานานแสนนาน ทำให้เขามีความซับซ้อนในตัวละครแน่นอน ด้วยบุคลิกและสิ่งที่เขาสามารถทำได้ เขาอ่านใจคนออกและต้องพบเจอการตายต่างๆ มันมีจังหวะให้สร้างความสนุกหลายช่วง ไรอันและผมคุยกันเรื่องนี้เยอะมาก และผมก็สนุกกับการคุยเรื่องพวกนี้

ไรอันเขียนเขาออกมาในหลายมิติ ซึ่งปรากฏให้เห็นอยู่แล้วในบทที่มีความน่าทึ่ง เราไม่รู้เลยว่าจะคาดคิดกับอะไรได้ เขาถูกเขียนออกมาอย่างมีเสน่ห์ น่ารัก มีความตลก เขาดูมีความน่าสงสารด้วย บุคลิกทั้งหมดดูน่าจดจำ เขาพยายามฆ่าทุกคนเพื่อกินเลือด แต่การทำอะไรแบบนั้นคือเขาอยากมอบชีวิตที่เป็นอมตะและการมีความสดใส เขาอยู่ในภารกิจที่เข้าใจตัวเองดี เขาเหมือนต้นเหตุหนึ่งก็ว่าได้ 

และเร็มมิคก็ร้องเพลง

 แจ็ก โอ’คอนเนลล์ : เราทำงานให้ออกมาดีที่สุด รู้สึกได้แบบนั้นเลย ดูสิ ผมไม่ใช่นักร้อง ผมเคยหยิบจับกีตาร์มาบ้าง แต่ผมไม่อาจเรียกตัวเองว่าเป็นนักดนตรีได้ เรามีทั้งลุดวิก โกแรงสัน และ เซเรน่า โกแรงสัน เขาคือผู้ชำนาญในสิ่งที่ทำกับเสียงดนตรี มันคือสิ่งที่เห็นชัดเจน เรามีการบันทึกเสียงกันที่สตูดิโอด้วยอุปกรณ์เครื่องมือที่เหมาะสม

มีการเต้นรำบ้างในบทที่ผมต้องแสดง เราเริ่มจาก Aakomon Hasani Jones เขาเคยร่วมงานกับ Usher เขาคือที่สุดของการออกแบบท่าเต้นแล้วมีช่วง 2 วันที่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็น Beyoncé ผมต้องไปทำงาน ต้องบันทึกเสียงตอนเช้าและทำการซ้อมเต้น รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นป๊อปสตาร์ ที่น่าขำคือเวลาที่ผมอยู่ในฉาก ผมไปทำงานจากนั้นได้ร่วมงานกับคนที่มีความชำนาญอย่างน่าทึ่ง ผมรู้สึกตัวเองมีความพร้อมมาก จากนั้นไรอันเขามาด้วยการต้อนรับพวกเรา เขาช่วยสร้างความมั่นใจ ผมรู้สึกพร้อมตลอดเวลา ทุกครั้งที่เรามีคำถาม เขาสร้างความมหัศจรรย์กับทีมนักแสดงและเขาเข้ากันได้เป็นอย่างดีมาก ไม่มีอะไรจะพูดถึงคุณคูกเลอร์นอกจากสิ่งดีๆ

การร่วมงานกับคูกเลอร์

 แจ็ก โอ’คอนเนลล์ : ความเห็นใจคือสิ่งสำคัญสำหรับเขา และผมคิดว่าตำนานแวมไพร์ยังมีอยู่จริง มันคือประเด็นที่เราพูดคุยกันอยู่หรือเป็นโน้ตที่ผมได้รับมา ต้องมีความเห็นใจ แสดงให้เห็นความเข้าใจ นั่นคือสิ่งสำคัญและมันเหมาะกับตำนานโบราณ มันเลยช่วยได้มาก แต่มันก็มีความสนุกในเรื่องราว และเราตั้งใจรักษาความสนุกของมันเอาไว้ เราตั้งใจสร้างเสียงหัวเราะเพื่อหาความลงตัวในแต่ละวัน ซึ่งมันทำให้เราเปิดใจและมีความสร้างสรรค์ เขาเป็นคนที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก คุณจะสัมผัสความรู้สึกนี้ได้ และผมพนันได้ว่านักแสดงที่เหลือของเราจะสัมผัสความรู้สึกนั้นได้ เขามีส่วนร่วมอย่างเต็มตัวจริงๆ มีส่วนร่วมในบทของเรา เขาอยู่ร่วมตลอดทั้งเรื่องราว และเขาทำงานอย่างไม่รู้สึกเหนื่อย มันช่วยสร้างความมั่นใจให้เราได้มาก 

วุนมี โมซากู รับบท แอนนี่ หมอผีฮูดู ผู้นำจิตวิญญาณ และผู้เยียวยาในสังคม เธอผูกพันกับสโมคและต่อสู้ให้อยู่รอดต่อไปในช่วงเวลาหลายปี

การรับบทแอนนี่

วุนมี โมซากู:     ฉันได้เรียนรู้หลายอย่างจากแอนนี่ เธอเปลี่ยนฉันในระดับที่ลึกซึ้งมาก ฉันรู้สึกว่าเราคล้ายกันในมุมของความเป็นแม่ ฉันคิดก่อนที่จะมีลูก ฉันไม่รู้เลยว่าจะเข้าใจเธอได้อย่างลึกซึ้งในความรักและความเข้าใจที่เธอมีต่อสโมคอย่างไร ความเศร้าและวิธีการรับมือของเขา การหายตัวไปของเขาและการกลับมาของเขา วิธียอมรับเขาของเธอในสิ่งที่เป็น จุดที่เขายืนอยู่ และความเข้าใจในความเศษร้าของเขา ฉันรู้สึกว่าเข้าใจแอนนี่ผ่านประสบการณ์การเป็นแม่ แต่ไม่รู้เลยจนกระทั่งได้พบกับเธอ ฉันไม่รู้อะไรมากนักจนได้โตขึ้นเมื่อได้พบเธอ

การร่วมงานกับจอร์แดน

วุนมี โมซากู: ฉันได้พบว่าการร่วมงานกับมิคาเอลมันน่าทึ่งมาก เวลาที่เปนฉากของสโมคกับแอนนี่ มิตรภาพของพวกเราบนฉากนั้นในฐานะวันมีและมิคาเอลมันส่งผ่านง่ายมาก และความร่วมมือกันของพวกเราเห็นได้ชัด เราคอยผลักดันกัน คอยท้าทายกัน ทุกวันเราจะพูดว่า “พรุ่งนี้เราจะกลับมาพร้อมความหนักขึ้น เก่งขึ้น เร็วขึ้น และไม่ต้องกลัวอะไรนะ” เวลาเขาอยู่ในร่างสแตคยังคงเป็นมิคาเอลที่น่ารักเหมือนเดิม แต่มันแค่มีระยะห่างขึ้น ฉันจะไม่แชร์อะไรกับเขาในแบบที่เขาอยู่ในชุดของสโมค พลังของเขามีความแตกต่างมาก ฉันสัมผัสได้เวลาที่เดินเข้าไปในฉากว่าเป็นสแตคหรือสโมค ไม่ต้องสงสัยอะไรเลย ฉันไม่ต้องดูด้วยซ้ำ มันชัดเจนสำหรับฉันมาก ดูมีความต่างกันเล็กน้อยและแนบเนียน แต่พลังที่ส่งมามีความชัดเจน ฉันบอกได้โดยไม่ต้องเห็นเงาหรือสงสัยเลยว่าเป็นสแตคหรือสโมค

ฉากพิเศษฉากนั้น

วุนมี โมซากู: ฉันรักฉากที่แอนนี่และสโมคกลับมาเจอกัน มองหน้ากันเป็นครั้งแรกในช่วงเวลา 7 ปี เขาไม่เห็นเธอออกจากร้านเลย เธอก็ไม่เห็นเขาเช่นกัน พวกเขาแค่รู้ว่าวันนั้นต้องกลับมาเจอกัน ฉันได้เรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับพวกเขาจาการอ่านบทของไรอัน ครั้งแรกที่ได้พบกับเขาฉันรู้สึกว่า “คุณเข้าถึงโลกทั้งหมดนี้ได้อย่างไร เรื่องราวในอดีตของพวกเขา ความรัก ความเศร้า ความเจ็บปวด การเติบโต ความเชื่อของพวกเขา? เข้าใจทั้งหมดได้อย่างไรใน 7 หน้า?” สำหรับฉันเป็นการสำรวจฉากนั้นร่วมกัน มันทรงพลังมาก มีช่วงที่ฉันคิดว่าไรอันฉลาดมาก... ไม่ใช่แค่เรื่องบท เพราะความฉลาดทำให้ได้บทที่สมบูรณ์แบบออกมา ในฉากนั้นเธอถามว่า “ทำไมมาอยู่ที่นี่?” เขาตอบ “ผมอยากให้คุณมาทำอาหารที่การแสดง” ประโยคต่อมาถามซ้ำ “ทำไมมาอยู่ที่นี่?” แต่ไรอันเปลี่ยน แทนที่จะพูดซ้ำ เธอเรียกเขาว่าเอลิจาห์ จากนั้นคำตอบของเขาก็เปลี่ยนไป ฉากทั้งหมดกลายเป็นอีกแบบเพียงแค่เรียกชื่อเขา ฉันคิดว่ามันมีความมหัศจรรย์ สำหรับฉันรู้สึกว่า “ว้าว” ไรอันมองสิ่งต่างๆ อย่างลึกซึ้งและพิถีพิถัน ไรอันพูดว่า “เรียกชื่อเขาสิ” ความสัมพันธ์ที่แตกสลายกลับมาใหม่ในช่วงเวลานั้น พวกเขากลับมาอยู่ด้วยกัน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแสดงมากนัก แต่เกี่ยวข้องกับการที่ทั้งสองกลับมาเจอกัน รักกัน และเชื่อมั่นกัน

ยามวิกาลเป็นเวลาของแก๊งคนบาป “Sinners ซินเนอร์ส” ผลงานจากผู้กำกับมากวิสัยทัศน์ ‘ไรอัน คูกเลอร์’ ร่ายรำกับปีศาจไปพร้อมกัน วันนี้ ในโรงภาพยนตร์

 

arrow_left sharing button

เผยเบื้องหลังคลับจู๊ด! ร่วมพูดคุยกับนักแสดงจาก “Sinners ซินเนอร์ส” นำทีมโดยหัวหน้าแก๊งคนบาป “ไมเคิล บี จอร์แดน” ก่อนร่ายรำกับปีศาจพร้อมกันในโรงภาพยนตร์