
คุยกับ ผู้กำกับ และ 2 นักแสดงนำ “Emilia Perez เอมิเลีย เปเรซ” เตรียมพร้อมก่อนแซ่บพร้อมกัน 27 มีนาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
เธอหนีทุกอย่างได้ ยกเว้นหัวใจตัวเอง “Emilia Perez เอมิเลีย เปเรซ” เล่าเรื่องราวของ ริตา (โซอี ซัลดานา) เป็นทนายความที่เก่งกาจ แต่เธอกลับไม่ได้ทำงานตามที่เธอใฝ่ฝันเสียที เธอเป็นทนายความในบริษัทกฎหมายขนาดใหญ่ที่มักช่วยเหลือเหล่าอาชญากรให้พ้นผิด มากกว่าจะนำพวกเขามาสู่กระบวนการยุติธรรม
วันหนึ่ง เธอได้รับโอกาสที่ไม่คาดคิด เมื่อนายใหญ่แห่งแก๊งค้ายา มานิตัส (การ์ลา โซเฟีย กาสกอน) จ้างเธอให้ช่วยเหลือเขาวางมือจากธุรกิจธุรกิจผิดกฏหมาย เพราะเขาอยากแปลงเพศเป็นผู้หญิงที่เขาปรารถนาอยากเป็นมาเนิ่นนาน
ร่วมด้วย การแสดงสุดอัศจรรย์ของ เซลีน่า โกเมซ ในบท เจสซี ภรรยาของเจ้าพ่อค้ายาผู้ทรงอิทธิพลที่รู้ทั้งรู้ว่าสามีของตัวเองหัวใจเป็นผู้หญิง
Emilia Perez สร้างจากบทอุปรากรของ ฌาคส์ โอดิอาร์ เองซึ่งเขาดัดแปลงอย่างหลวม ๆ จากบทหนึ่งในนวนิยายเรื่อง Écoute (2018) ของนักเขียนชาวฝรั่งเศส บอริส ราซง
หนังเปิดตัวรอบปฐมทัศน์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 77 และคว้ารางวัลจูรี่ไพรซ์ และ “นักแสดงหญิงยอดเยี่ยม” ที่มอบให้กับทีมนักแสดงหญิงทั้งชุด
นอกจากนี้ในงานประกาศรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 97 Emilia Perez ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสูงสุดถึง 13 สาขา และคว้าชัยชนะมาได้ 2 รางวัล ได้แก่ นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม สำหรับ โซอี ซัลดานา และเพลงประกอบดั้งเดิมยอดเยี่ยม สำหรับเพลง “El Mal”
สัมภาษณ์ “ฌาคส์ โอดิยาร์” ผู้กำกับ
คุณได้ไอเดียสำหรับหนังเรื่องนี้มาจากไหน?
ฌาคส์ โอดิยาร์ : ผมได้อ่านนิยายเรื่อง Écoute ของ Boris Razon เมื่อหกปีที่แล้ว แล้วพออ่านไปถึงกลางเรื่องก็มีตัวละครเป็นพ่อค้ายาที่อยากผ่าตัดแปลงเพศ แต่หลังจากนั้นตัวละครนี้ไม่ได้ถูกพัฒนาไปมากกว่านี้ ผมเลยตัดสินใจเริ่มเรื่องของตัวเองจากเขา
คุณพัฒนาเนื้อเรื่องจากแนวคิดนี้ยังไง?
ตอนช่วงล็อกดาวน์ครั้งแรกนั้น ผมรีบเขียนเค้าโครงเรื่องขึ้นมา แล้วก็ค่อยๆ รู้ตัวว่ามันใกล้เคียงกับบทโอเปร่ามากกว่าสคริปต์หนังซะอีก เพราะมันแบ่งเป็นองก์ต่างๆ แถมยังมีฉากน้อย และตัวละครก็ดูเป็นเหมือนตัวละครต้นแบบมากกว่าคนจริงๆ ...
แล้วบทโอเปร่ากลายมาเป็นบทหนังได้ยังไงล่ะ?
ฌาคส์ โอดิยาร์ : มันเริ่มขึ้นตอนที่ผมปรับตัวละครจากต้นฉบับ ในนิยาย ทนายเป็นผู้ชาย — เป็นคนเหนื่อยล้า ท้อแท้ และสิ้นหวัง ฉันเปลี่ยนเขาให้เป็นผู้หญิงที่ยังสาว ยังทะเยอทะยาน ไม่สนใจศีลธรรม แถมมีความประชดประชันอีกด้วย แล้วพอได้โซอี ซัลดัลนา มาเล่น บทนี้ก็กลายเป็นผู้หญิงผิวดำอีกด้วย ซึ่งเป็นตัวละครที่มีศักยภาพในการพัฒนาและหักมุมได้เยอะ นอกจากนี้ บทมันเริ่มให้ความรู้สึกหมือนกับเอมิเลียที่สามารถถูกจัดอยู่ในหลายแนวได้ ทั้งฟิล์มนัวร์ เมโลดราม่า คอเมดี้เสียดสีสังคม มิวสิคัล
ใน Emilia Pérez คุณนำเสนอประเด็นนี้ต่างออกไปนะ โดยพูดถึงปัญหาความเป็นชายในฐานะผลพลอยได้ของความรุนแรง...
ฌาคส์ โอดิยาร์ : เรื่องนี้เป็นเรื่องของการไถ่บาป — การแปลงเพศช่วยให้คุณมองความรุนแรงของผู้ชายในมุมที่ต่างออกไปไหม? พูดตรงๆ เลยนะ ตัวละครของ Emilia อาจเชื่อแบบนั้นก็ได้ แต่เธอก็ยังคงติดอยู่ในวังวนของความรุนแรง สิ่งที่สำคัญคือการเดินทางที่ทำให้เธอค่อยๆ หลุดออกจากวงจรนี้ ซึ่งนั่นต่างหากที่เป็นความดีงามของมัน สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าคุณจะต้องสูญเสียหรือล้มรอดมาได้ คุณก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างระหว่างทาง
หนังส่วนใหญ่ถ่ายในสตูดิโอที่ปารีส นี่เป็นทางเลือกเชิงสร้างสรรค์ไหม หรือเป็นข้อจำกัดทางเทคนิค?
ฌาคส์ โอดิยาร์ : เราลองไปสำรวจโลเคชันที่เม็กซิโกหลายครั้งแล้วนะ แต่พอถึงจุดหนึ่งมันกลับไม่เวิร์ก — ทุกฉากดูจริงเกินไป แข็งทื่อเกินไป แคบเกินไป และซับซ้อนเกินไป ความรู้สึกแรกของฉันที่มีต่อโปรเจกต์นี้มันเชื่อมโยงกับโอเปร่าอยู่แล้วน่ะ งั้นทำไมไม่กลับไปสู่จุดเริ่มต้นล่ะ? ทำไมไม่กลับไปหา DNA แรกของโปรเจกต์นี้ แล้วถ่ายทำในสตูดิโอแทน? นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนเลยว่าฉันเสียเวลากับการพยายามปฏิเสธสัญชาตญาณแรกของตัวเองมากแค่ไหน
คุณทำงานด้านภาพของหนังร่วมกับผู้กำกับภาพ พอล กีโยม และผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ เวอร์จินี มงแตลอย่างไร?
ฌาคส์ โอดิยาร์ : พอถ่ายทำในสตูดิโอแล้วเนี่ย ต่อให้ฟังดูซ้ำซากแต่มันก็จริงนะ มันเหมือนกระดาษเปล่าเลย คุณต้องสร้างทุกอย่างขึ้นมาเอง ตั้งแต่แสง เงา ขนาด สีสัน ไปจนถึงความมีชีวิตชีวาของฉาก คุณต้องคิดว่าจะแสดงอะไรในฉากหน้า และจะสื่อถึงความลึกอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ฉันเคยคิดไว้ว่าในช่วงแรกของหนัง ซึ่งเน้นไปที่ตัวละครมานิตัส ควรเกิดขึ้นในเวลากลางคืนหรืออย่างน้อยก็ “อยู่ในความมืด” วิธีนี้ช่วยลดต้นทุนการออกแบบฉากและทำให้หนังมีเอกลักษณ์ด้านภาพที่ชัดเจนขึ้น
กับ เวอร์จินี มงแตลแล้วเนี่ย เราคิดกันว่าบางจังหวะ ตัวประกอบและท่าทางของพวกเขาจะทำหน้าที่เป็นฉากเองเลย อย่างในฉากเปิดที่ตลาด ผู้คนและการเคลื่อนไหวของพวกเขากลายเป็นองค์ประกอบของฉากโดยอัตโนมัติ แต่ขณะเดียวกัน การถ่ายทำในสตูดิโอมีความเสี่ยงที่จะทำให้ภาพนิ่งเกินไปด้วยเหมือนกัน เราจึงต้องคอยใส่ความเคลื่อนไหวเข้าไปเสมอ ไม่ว่าจะเป็นในฉากหน้า หรือการใช้ความลึกของภาพให้เกิดประโยชน์สำหรับเรื่องการจัดองค์ประกอบระหว่างฉากหน้าและฉากหลัง เราอาศัยบทเรียนที่ได้จาก A Prophet มาปรับใช้กับหนังเรื่องนี้
หมายความว่าอะไรเหรอ?
ฌาคส์ โอดิยาร์ : ก่อน A Prophet เวลาฉันต้องถ่ายฉากบนถนน เราจะให้ความสำคัญกับนักแสดงหลักในฉากหน้าก่อน ปรับการแสดงของพวกเขาให้พอดีแล้วค่อยจัดฉากเช่น คนเดินถนน รถที่แล่นผ่าน...
แต่ใน A Prophet วิธีนี้ใช้ไม่ได้เลย ถ้าฉันโฟกัสแค่ฉากหน้า (ตัวละครหลัก) แล้วค่อยไปจัดฉากหลัง (ตัวประกอบ) ทีหลัง ฉากหลังก็จะดูไม่มีชีวิตชีวา นั่นเป็นจุดที่ฉันเริ่มเข้าใจว่าฉันต้องสร้างฉากหลังขึ้นมาก่อน เริ่มจากตัวประกอบ (บรรยากาศในคุก) แล้วพอทุกอย่างเริ่มเข้าที่ ค่อยใส่นักแสดงหลักเข้าไป พูดง่ายๆ ก็คือโยนพวกเขาเข้าไปในโลกที่มีชีวิตจริงๆ
การเซ็ตหนังให้อยู่ที่เม็กซิโกหมายความว่าคุณต้องทำงานในภาษาต่างประเทศอีกครั้ง หลังจาก Dheepan (2015) ที่ตัวละครพูดภาษาทมิฬ และ The Sisters Brothers (2018) ที่ถ่ายทำเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ทำไมคุณถึงเลือกทำงานในภาษาต่างประเทศอีกครั้งล่ะ?
ฌาคส์ โอดิยาร์ : เวลาฉันเขียนบทเป็นภาษาฝรั่งเศส ฉันจะใส่ใจกับไวยากรณ์ การเลือกใช้คำ และเครื่องหมายวรรคตอนมากเกินไป — รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น แต่พอฉันทำงานในภาษาที่ฉันพูดไม่คล่องหรือแทบไม่รู้เลย ฉันจะเชื่อมโยงกับบทสนทนาในหนังผ่านจังหวะและดนตรีของภาษาแทน
การแปลส่งผลต่อจังหวะและดนตรีของบทสนทนาที่คุณเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสไหม?
ฌาคส์ โอดิยาร์ : แน่นอนอยู่แล้ว และนั่นก็เป็นจุดประสงค์ของมันเลย — การเขียนโอเปร่าเป็นภาษาสเปน ซึ่งเป็นภาษาที่หนักแน่น มีจังหวะที่ชัดเจน แถมยังเต็มไปด้วยอารมณ์
Emilia Pérez เป็นหนังเรื่องที่สิบของคุณ ตั้งแต่กำกับหนังเรื่องแรกในปี 1993 คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง?
ฌาคส์ โอดิยาร์ : ฉันเรียนรู้ว่าสามเรื่องแรกของฉันสอนอะไรบางอย่างที่เฉพาะเจาะจงให้ฉัน และหลังจากนั้นฉันก็ใช้สิ่งที่เรียนรู้มาปรับใช้มันไปเรื่อยๆ ในขณะที่ยังค้นพบสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเช่นกัน ประสบการณ์ทำให้ฉันพานักแสดงไปได้ไกลขึ้น ถ่ายภาพที่ฉันนึกไว้ในหัวได้ง่ายขึ้น และสื่อสารสิ่งที่ฉันต้องการให้ทีมงานเข้าใจได้ดีขึ้น มื่อฉันมีความมั่นใจมากขึ้น ฉันก็มีอิสระมากขึ้น ฉันรู้ว่าตัวเองกำลังไปทางไหนแต่ก็ไม่ได้รู้ชัดเจนถึงขนาดนั้นนะ
คุณมีโอกาสได้ซ้อมกับนักแสดงนำก่อนถ่ายทำหรือเปล่า?
ฌาคส์ โอดิยาร์ : โดยปกติแล้วเนี่ย การซ้อมเป็นสิ่งที่หรูหราและมักเป็นสิ่งที่ผู้กำกับต้องบังคับให้คนอื่นทำแต่ในโปรเจกต์นี้ ด้วยความที่มีทั้งการเต้น การร้องเพลง และองค์ประกอบความเป็นคอมเมดี้ มันเลยเป็นสิ่งจำเป็น ดาเมียน ชาเลต์เป็นผู้ออกแบบท่าเต้นและดูแลการซ้อม ส่วน เคลมองต์ ดูกอลกับ คามิลล์ แต่งเพลง เขียนเนื้อร้อง อัดเดโม่ และส่งให้เหล่านักแสดงฝึกซ้อม ทุกวันเรามีอย่างน้อยสามถึงสี่ส่วนที่ต้องทำ มันเหนื่อยมากเลย แต่ก็ตื่นเต้นสุดๆ
พูดถึงกระบวนการแคสต์นักแสดงหน่อย
ฌาคส์ โอดิยาร์ : ผมเจอเซเลน่า โกเมซในเช้าวันหนึ่งที่นิวยอร์ก จำเธอได้จาก Spring Breakers (2013) ของ Harmony Korine แต่จริงๆ แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย แต่หลังจากคุยกันแค่สิบนาที ผมก็รู้เลยว่าต้องเป็นเธอ พอเราติดต่อเธออีกครั้งหลังจากนั้นหนึ่งปีเพื่อบอกว่าหนังได้ไฟเขียวแล้ว เธอยังคิดอยู่เลยว่าผมลืมเธอไปแล้วน่ะ!
แล้วโซอี ซัลดัลนาล่ะ?
ฌาคส์ โอดิยาร์ : โซอีตอบโจทย์ทุกอย่างเลย เธอร้องเพลงได้ เต้นได้ระดับนักเต้นนำ และการแสดงของเธอก็ทรงพลังมาก เธออยากเล่นหนังเรื่องนี้มากแต่ตอนนั้นเธองานยุ่งๆ เราเลยต้องรอเธออยู่เป็นปี
แล้วคาร์ล่า โซเฟียล่ะ?
ฌาคส์ โอดิยาร์ : บทของเธอเป็นบทที่หานักแสดงยากที่สุด ผมเจอนักแสดงข้ามเพศหลายคนที่เม็กซิโกซิตี้ แต่ก็ยังไม่เจอคนที่ใช่
ปัญหาที่เราเจอทุกครั้งคือเรื่องการเปลี่ยนผ่านทางเพศของพวกเขามักกลายเป็นจุดศูนย์กลางของชีวิตของพวกเขา จริงนะว่ามันเป็นเรื่องที่พิเศษมาก แต่พอให้ความสำคัญกับมันมากเกินไป มันก็กลายเป็นสิ่งที่รบกวนการเล่าเรื่องไปเลย คาร์ล่า โซเฟียเคยเป็นนักแสดงมาก่อนที่เธอจะกลายเป็นนักแสดงหญิง และเส้นทางของเธอก็มีความต่อเนื่องที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เธอเฉียบแหลม มีไหวพริบ สร้างสรรค์ และยังมีเซนส์ด้านคอมเมดี้ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
คุณรับมือกับอุปสรรคด้านภาษาในการทำงานกับนักแสดงยังไง?
ฌาคส์ โอดิยาร์ : ถ้ามันยากเกินไปที่จะเข้าใจ ก็จะใช้ล่ามช่วย แต่กับนักแสดงแล้ว การสื่อสารมันก็เหมือนภาษาเอสเปรันโต ผมรักพวกเขาทุกคนและสนุกกับการทำงานด้วยทุกวัน
คุณสร้างตัวละครมานีตัสขึ้นมาร่วมกับแผนกต่างๆ ยังไง?
ฌาคส์ โอดิยาร์ : ฉันคุยเรื่องนี้กับเวอร์จินี มงแตลมานานมาก ประเด็นสำคัญคือ เราจะสร้างเอมิเลียออกมาจาก มานีตัสได้แค่ไหนและในระดับไหนบ้าง? เวอร์จินี่ ทดลองกับทีมงานของเธอ (ช่างแต่งหน้า, ทีม VFX, ดีไซเนอร์เครื่องแต่งกาย) หลายครั้งด้วยกัน จนได้ลุคของนักเลงที่ดูนุ่มนวลและมีเสียงร้องที่ไพเราะเหมือนนางฟ้า และฉันเองก็โดนดึงดูดเข้าไปเต็มๆ เลย — ตอนที่ฉันเห็นภาพแรกของมานีตัสฉันจำ คาร์ล่า โซเฟียไม่ได้เลย
คุณทำการค้นคว้าเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของคนข้ามเพศก่อนถ่ายทำมากแค่ไหน?
ฌาคส์ โอดิยาร์ : จริงๆ แล้วคาร์ล่า โซเฟียเป็นคนที่สอนผมเอง เวลาผมมีคำถาม ผมจะส่งอีเมลไปถามเธอ แล้วเธอก็ตอบกลับมา สิ่งที่ติดอยู่ในใจผมเสมอคือความมุ่งมั่นและความกล้าหาญของเธอ ทั้งในแง่จิตใจและร่างกาย เธอต้องกล้าขนาดไหนถึงตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด และก่อนหน้านั้นเธอเจ็บปวดแค่ไหนกัน เธอใช้ชีวิตทั้งชีวิตติดอยู่ในร่างกายที่เธอไม่ควรจะอยู่ อีกอย่างหนึ่งที่คิดว่าน่าสนใจคือคาร์ล่ายังอาศัยอยู่กับแม่ของลูกสาวเธอ ซึ่งตอนนี้น่าจะอายุราวๆ 15 ปีแล้ว ไม่แน่ใจว่ามันสามารถเรียกได้ว่าเป็นอิสรภาพ หรือเปล่า แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่ามันใช่นะ
สัมภาษณ์ “โซอี ซัลดานา” นักแสดงเจ้าของรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม
ทำไมคุณคิดว่าฌาคส์ โอเดียร์เลือกคุณมารับบทริต้าทันทีหลังจากคุยกันผ่าน Zoom?
โซอี ซัลดานา : ถ้าฉันอยู่ในโลกที่สมบูรณ์แบบ หรือถ้าฉันเป็นศิลปินที่มั่นใจในตัวเองมากกว่านี้นะ ฉันก็คงจะบอกว่าเขาชอบเสียงของฉันและชอบที่ฉันมีพื้นฐานด้านการเต้น... แต่ความจริงคือฉันไม่รู้เลย สิ่งที่ฉันรู้แน่ๆ คือ ตอนที่ได้รับโอกาสสัมภาษณ์และได้รับลิงก์ Zoom ฉันพยายามอย่างมากที่จะกดความตื่นเต้นเอาไว้ เขาเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ฉันชื่นชอบมากที่สุด และฉันก็ดูหนังฝรั่งเศสมาตั้งแต่ยังเด็ก
คุณคิดยังไงตอนที่ได้อ่านบทครั้งแรก?
โซอี ซัลดานา : ฉันคิดว่ามันเป็นอะไรที่พิเศษจริงๆ นี่ไม่ใช่พล็อตเรื่องธรรมดา และตัวละครเหล่านี้ก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป พวกเขาทุกคนอยู่นอกกรอบของสังคม จากนั้นพอฉันได้ฟังเพลงก็ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ ตั้งแต่นั้นมา ฉันต้องรวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อเชื่อว่าฉันทำได้
ถ้าจะให้หนังมีสัญชาติเป็นของตัวเอง คุณคิดว่า Emilia Pérez เป็นหนังสัญชาติอะไร?
โซอี ซัลดานา : ฉันมองว่ามันคือหนังของฌาคส์ โอเดียร์ เรื่องราวเกิดขึ้นในโลกที่เกินจริง แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเรื่องของผู้คนที่กำลังดิ้นรน Emilia Pérez เป็นเรื่องของคนที่ติดอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ และต้องหาทางออกที่เป็นไปไม่ได้เช่นกัน
ความตื่นตาตื่นใจนี้สะท้อนผ่านตัวละครริต้ายังไง?
โซอี ซัลดานา : ริต้าเป็นผู้อพยพที่อยู่ในสถานที่ที่ไม่ธรรมดา และเธอก็ต้องการชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิม แม้ว่าข้อเสนอที่เธอได้รับจะมาพร้อมกับอันตราย และสมองส่วนหนึ่งของเธอจะบอกตลอดว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดี แต่หัวใจของเธอกลับต้องการมัน
คุณบอกว่าริต้าเป็นผู้อพยพ... ฉันไม่เชื่อว่าสิ่งนี้จะถูกระบุไว้ในบท นี่เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่คุณสร้างขึ้นเองตอนเตรียมตัวรับบทหรือเปล่า?
โซอี ซัลดานา : ใช่แล้วล่ะ มันเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่ฉันสร้างขึ้นเอง ฌาคส์สนับสนุนเต็มที่ ตราบใดที่มันช่วยให้ฉันทำให้ตัวละครริต้ามีชีวิตขึ้นมา
การแสดงเป็นภาษาสเปนเป็นยังไงบ้างสำหรับคุณ?
โซอี ซัลดานา : ในฐานะที่ฉันเป็นชาวละตินและเป็นผู้หญิงจากแถบแคริบเบียน ภาษาสเปนคือภาษาที่ฉันได้ยินเป็นภาษาแรก การได้สร้างงานศิลปะของตัวเองในภาษาบ้านเกิดมันพิเศษมาก ฉันไม่ได้รับโอกาสแบบนี้ทุกวันนะ
สิ่งนี้ช่วยเสริมมิติของการเป็นตัวแทนในฐานะนักแสดงหญิงชาวละตินในฮอลลีวูดไหม?
โซอี ซัลดานา : ฉันเลิกคิดเรื่องการเป็นตัวแทนเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากภาระทางสังคมไปแล้ว ในช่วงแรกของอาชีพ ฉันคิดเรื่องความยุติธรรมทางสังคมเยอะมาก และรู้สึกว่ามีภาระบนบ่าที่ต้องเป็น “ตัวแทนที่ดี” แต่ช่วงหลังมานี้ ฉันให้ความสำคัญกับศิลปะ การแสดง และความต้องการของตัวเองมากกว่า
คุณซ้อมเยอะมากก่อนการถ่ายทำ มันช่วยเพิ่มอะไรให้กับการแสดงของคุณบ้าง?
โซอี ซัลดานา : ฉันเติบโตมากับการเต้นและการเล่นละครเวที สำหรับฉันแล้วเนี่ย อะไรจะออกมาดีได้ก็ต้องผ่านการซ้อม การเตรียมตัว การค้นคว้า และการฝึกฝน ฉันจะรู้สึกมั่นใจขึ้นเมื่อได้ทำสิ่งเหล่านี้ แน่นอนว่ามันเป็นการเสียสละเพราะต้องทำงานหนักมาก แต่สุดท้ายแล้วมันทำให้ฉันมีอิสระอย่างเต็มที่เมื่ออยู่ในกองถ่าย ถ้าผู้กำกับต้องการให้เปลี่ยนอะไร ฉันสามารถปรับตัวได้ทันทีเพราะมีชั่วโมงฝึกซ้อมรองรับอยู่แล้ว นอกจากนี้แล้วนะ ฉันเป็นคนที่ค่อนข้างกังวลและยังเป็นดิสเล็กเซียด้วย ฉันเลยชอบฝึกฝนอะไรซ้ำๆ มันเป็นเหมือนการทำสมาธิของฉันเลย
คุณได้นำวินัยที่มาจากการฝึกเต้นมาใช้กับการแสดงตลอดเลยไหม?
โซอี ซัลดานา : ฉันใช้มันกับการแสดงในแง่ของการเคลื่อนไหวร่างกายของตัวละครเสมอเลย แต่เพราะเป็นดิสเล็กเซีย ฉันเลยมักใช้เวลากับการจำบท ฉันมักจะให้ความสำคัญกับการค้นคว้า การสร้างภูมิหลังของตัวละคร การพูดคุย และการแลกเปลี่ยนอีเมลกับผู้กำกับมากกว่า ความกลัวของฉันเสมอมาคือการต้องนั่งลงและท่องบท แต่กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ฉันทำมันจริงๆ ฉันจ้างคนมาช่วยซ้อมบทกับฉัน และฉันยังฝึกสำเนียงเม็กซิกันด้วย
อะไรที่ท้าทายที่สุดสำหรับคุณในการถ่ายทำ?
โซอี ซัลดานา : ฉากที่ต้องแสดงร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนักแสดงเหล่านั้นมีความมุ่งมั่นและมีภาพในใจชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาต้องการมักจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับฉัน ฉากในร้านอาหารที่เอมิเลียเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเธอให้ฉันรู้เป็นฉากที่ท้าทายมากในแง่นี้ เพราะมีตัวประกอบจำนวนมาก เพลงที่เล่นตลอดฉาก และยังมีการทดลองปรับเปลี่ยนหลายอย่างระหว่างการถ่ายทำ ฌาคส์ต้องคอยจัดการทุกอย่างคาร์ล่า โซเฟียต้องคอยปรับตัว ฉันเองก็ต้องคอยรับมือ แม้ว่าภายนอกฉันจะดูสงบนิ่ง แต่ข้างในนั้นฉันกลัวมากเลย
คุณมีเวลาเตรียมตัวกับคาร์ล่า โซเฟียมากแค่ไหนก่อนเริ่มถ่ายทำ?
โซอี ซัลดานา : ฉันได้พบกับคาร์ล่าหนึ่งปีก่อนเริ่มถ่ายทำ และเรามีช่วงเวลาซ้อมกันหลายครั้งกับฌาคส์
ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกสบายใจมากที่ได้ทำงานร่วมกับเธอ คาร์ล่าเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี และเพราะเนื้อหาของเรื่องนี้ใกล้กับตัวตนของเธอมาก เธอจึงถ่ายทอดบทบาทของเอมิเลียและมานีตัส ออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากที่ได้เห็น ระดับความเคารพและความชื่นชมที่ฉันมีให้กับนักแสดงทุกคนไม่มีที่สิ้นสุด เซเลน่าเองก็มีความยืดหยุ่น กล้าทดลอง และเปิดรับทุกอย่างมาก
คุณใช้เวลานานแค่ไหนในการเตรียมฉากกาล่า ที่ต้องใช้ทักษะทั้งการเต้น การร้อง และการแสดง?
โซอี ซัลดานา : หลายเดือนเลย! เราเริ่มทำงานกับฉาก El Mal ซึ่งเป็นฉากกาล่าตั้งแต่เดือนมกราคม และมันเป็นหนึ่งในฉากสุดท้ายที่เราถ่ายทำในเดือนมิถุนายน เราเพิ่งได้เห็นเซ็ตจริงสามวันก่อนถ่าย ซึ่งทำให้ดาเมียน นักออกแบบท่าเต้นเครียดไม่น้อย แต่โชคดีนะที่เราได้ซ้อมร่วมกับซาชา นาเซรีซึ่งเป็นผู้ควบคุมกล้อง Steadicam หลายครั้ง เพราะฉากนี้เหมือนเป็นการเต้นรำไปพร้อมกับเขา มันเป็นทั้งความสนุก น่าทึ่ง และน่ากลัว… และเจ็บตัวมากด้วย! ฉันต้องประคบเย็นที่หลัง ข้อศอก และคอไปหลายวันหลังจากนั้น แต่ฉันทำได้สำเร็จ! ฉันรักทุกอย่างเกี่ยวกับฉากนี้เลยจริงๆ
คุณช่วยอธิบายการทำงานของคุณกับคามิลล์ และเคลมองต์ในส่วนของเพลงได้ไหม?
โซอี ซัลดานา : มันเป็นกระบวนการที่มีความเป็นเทคนิคสูงมาก และ ฌาคส์ก็มีส่วนร่วมตลอดเวลา สิ่งที่ฉันรู้สึกสนุกที่สุดคือการได้เห็นสามปรมาจารย์ทำงานร่วมกัน—ฌาคส์ในฐานะนักเล่าเรื่อง และคามิลล์กับเคลมองต์ในฐานะนักดนตรี เรามีการพูดคุย ประชุม และซ้อมกันมากมาย ฉันอยากให้พวกเขาภูมิใจกับงานของตัวเอง อยากให้พวกเขารู้สึกว่าดนตรีของพวกเขาได้รับการเคารพ และอยากให้ฌาคส์รู้สึกว่าตัวละครของ
ริต้าได้รับการถ่ายทอดออกมาอย่างสมบูรณ์ ฉันเติบโตในนิวยอร์กและทำละครเวทีมาตลอด ดังนั้นฉันจึงคุ้นเคยกับแนวคิดของละครเพลงอยู่แล้ว ในแง่หนึ่ง การได้ทำงานร่วมกับผู้กำกับ นักออกแบบท่าเต้น และผู้กำกับดนตรี แล้วนำทุกอย่างมารวมกันจนมันมีชีวิตขึ้นมา ทำให้ฉันนึกถึงประสบการณ์ในวงการละครเวทีของตัวเอง แต่ฉันไม่เคยได้อยู่ใกล้ชิดกับนักดนตรีและนักแต่งเพลงมากขนาดนี้มาก่อน และพวกเขาก็ทำให้ฉันทึ่งทุกวันเลย
การถ่ายทำบนซาวด์สเตจในปารีสเป็นอิสระ หรือเป็นความท้าทายเพิ่มเติม?
โซอี ซัลดานา : ซาวด์สเตจเป็นสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ ซึ่งสำหรับฉันเนี่ยถือเป็นอะไรที่อิสระมาก เวลาถ่ายทำในสถานที่จริง สภาพแวดล้อมแทบจะกลายเป็นอีกหนึ่งตัวละครของเรื่องเพราะสภาพอากาศและแสงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาส่งผลต่อวิธีการถ่ายทำและยังต้องพึ่งพาปัจจัยหลายอย่างที่ควบคุมไม่ได้
แต่เมื่ออยู่ในพื้นที่จำกัด เราสามารถควบคุมทุกองค์ประกอบได้อย่างเต็มที่ ทำให้มีอิสระทางความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ฉันเองชอบการทำงานกับกรีนสกรีนเพราะฉันมีจินตนาการสูง สิ่งสำคัญคือทุกอย่างต้องผ่านการค้นคว้าและเตรียมพร้อมก่อนเริ่มถ่ายทำและตราบใดที่ผู้กำกับให้ความสำคัญกับการเตรียมตัว ค้นคว้า และซ้อม ฉันก็สามารถสร้างทุกอย่างขึ้นมาได้ด้วยจินตนาการของตัวเอง ฉันชอบมันมากเลย
สัมภาษณ์ “คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน” นักแสดงนำของเรื่อง
เอมิเลีย เปเรซคือใคร?
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : เอมิเลีย เปเรซ เปรียบเสมือนการที่โฉมงามและเจ้าชายอสูรมาติดอยู่ในร่างเดียวกัน ตอนเปิดเรื่องภาพยนตร์ เธอยังคงเป็นมานีตัส หญิงสาวที่ถูกจองจำอยู่ในชีวิตที่ไม่ใช่ของเธอ แต่เธอก็มาถึงจุดหนึ่งที่มีโอกาสจะละทิ้งชีวิตนี้ไป—ชีวิตที่เธอไม่ต้องการอีกต่อไป มานิตัสเติบโตขึ้นมาในโลกที่พ่อแม่ยอมให้ลูกชายเป็นอาชญากรดีกว่าถูกตราหน้าว่าเป็น "พวกรักร่วมเพศ" นั่นทำให้เขาติดอยู่ทั้งสองทาง ทั้งในโลกอาชญากรรมและในความเป็นชายที่เขาไม่รู้สึกเป็นตัวเอง
เพราะแบบนั้นเขาเลยตัดสินใจละทิ้งทุกอย่างเพื่อเป็นตัวของตัวเองเหรอ…
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : ใช่แล้ว นี่คือเรื่องราวของมนุษยชาติ เราทุกคนต้องยอมเสียบางสิ่งไปเพื่อให้ได้บางสิ่งมาเสมอ แต่นี่คือโอกาสสุดท้ายของเขา และเขาเลือกที่จะละทิ้งทุกอย่างไปตลอดกาล แม้ว่าเขาจะกลับมาทบทวนการตัดสินใจของตัวเองตลอดทั้งเรื่อง และพยายามรักษาสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาไว้ นั่นก็คือลูก ๆ ของเขานั่นเอง
คุณเคยรู้จักผลงานของฌาคส์ โอเดียร์มาก่อนที่จะได้ร่วมงานกับเขาหรือไม่?
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : แทบจะไม่เลย และฉันก็ไม่อยากดูหนังเรื่องก่อนๆ ของเขาด้วย ภาพยนตร์เรื่อง Paris, 13th District ของเขาออกฉายในช่วงที่เรากำลังเริ่มทำงานใน Emilia Pérez และฉันตัดสินใจที่จะไม่ดูมัน เพราะฉันไม่อยากให้ตัวเองได้รับอิทธิพลจากงานเก่าของเขา ฉันรักอิสระมากเกินไป การมองเขาเป็นเสมือนเทพเจ้าหรืออัจฉริยะคงเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของฉันแน่ๆ แต่สิ่งที่ฉันพัฒนาขึ้นมาคือความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงาน แต่เป็นเหมือนครอบครัว หนึ่งในคำถามแรกที่ฉันถามเขาเมื่อเราพบกันคือ “เราจะสื่อสารกันอย่างไรดี?” เขาให้คำตอบที่งดงามกับฉันว่า “ผ่านโทรจิต!” และมันก็เป็นเรื่องจริง มันได้ผล! เขาเป็นผู้กำกับที่เข้าใจนักแสดงดีที่สุดในโลกเลย และฉันรักเขามาก เรามีความหลงใหลในศิลปะแขนงนี้ร่วมกัน
คุณคิดว่าฌาคส์ โอเดียร์ถ่ายทอดความซับซ้อนของเม็กซิโกออกมาได้ดีหรือไม่? โดยเฉพาะในฐานะที่คุณเป็นคนหนึ่งที่สร้างเส้นทางอาชีพของตัวเองที่นั่น
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : ฉันคิดว่าเขาทำได้ สิ่งที่เขาเข้าใจเป็นอย่างแรกคือ พลังของผู้หญิงในการเปลี่ยนแปลงโลก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยนะ สำหรับเม็กซิโกแล้วเนี่ย มันเป็นประเทศที่ดึงดูดคุณอย่างแรงกล้า คุณจะได้เห็นทั้งสิ่งที่โหดร้ายและสิ่งที่งดงามไปพร้อมๆ กัน มีความอ่อนโยนและความอบอุ่นบางอย่างในตัวผู้คน และสำหรับฉันแล้ว เม็กซิโกเป็นประเทศที่ฉันได้มีช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างแท้จริง รวมถึงได้สร้างมิตรภาพที่ลึกซึ้งและอบอุ่นกับเพื่อนที่ฉันรักมาก
เมื่อคุณอ่านบทภาพยนตร์ คุณรู้สึกว่าตัวเองได้รับการเข้าใจในฐานะผู้หญิงและในฐานะผู้หญิงข้ามเพศหรือไม่?
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : แน่นอน ฌาคส์คิดเกี่ยวกับโปรเจกต์นี้มาเป็นเวลานาน เขาครุ่นคิดถึงประเด็นเหล่านี้มาโดยตลอด เขาหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเกี่ยวกับการใช้สรรพนาม รวมถึงหลีกเลี่ยงความผิดพลาดทั่วไปที่มักเกิดขึ้นด้วย
มันเป็นเรื่องที่ท้าทายแค่ไหน ทั้งในแง่อารมณ์และเทคนิค ในการแสดงฉากของมานิตัส?
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : โดยทั่วไปแล้ว ฉันชอบรับบทตัวละครที่แตกต่างจากตัวฉันเองมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และบอกตามตรงนะ มานีตัสก็ไม่มีอะไรเหมือนฉันเลย… แต่แน่นอนว่ามีบางสิ่งที่สะท้อนอยู่ในตัวฉัน โดยเฉพาะความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและความรักที่เขามีต่อลูกๆ ฉันรักเขาเพราะเขาเป็นอิสระ ในขณะที่เอมิเลียกลับถูกกดทับมากกว่า ไม่ว่าผู้คนจะพูดอย่างไร บรรทัดฐานทางสังคมกดดันผู้หญิง แม้ว่าผู้หญิงจะมีอิสระทางจิตใจมากกว่า และในระหว่างการถ่ายทำ การรับบทเอมิเลียเป็นเรื่องที่ท้าทายมากกว่า ฉันต้องสวมคอร์เซ็ตที่จำกัดการเคลื่อนไหวของฉัน วิกผมที่รัดศีรษะ และรองเท้าส้นสูง… ในขณะที่มานิตัส หลังจากแต่งหน้าและติดอวัยวะเทียมบนใบหน้าแล้ว ฉันสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
คุณทำได้ยังไงกับเสียงของคุณอย่างไรเพื่อให้ได้เสียงทุ้มต่ำของมานีตัส และเสียงที่สูงกว่ามากของเอมิเลีย?
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : เสียงของฉันเองอยู่กึ่งกลางระหว่างเสียงของมานีตัสและเอมิเลีย แต่ฉันหลงใหลในงานพากย์เสียง อยู่แล้ว ขนาดที่ว่าแม้จะอยู่ในชีวิตจริง ฉันก็มักจะสนุกกับการสร้างเสียงให้กับตัวละครต่างๆ อยู่เสมอ สำหรับมานีตัสแล้วนะ ฉันนึกถึงเสียงของจอห์น แรมโบ้ที่ฉันเคยดูทางทีวีตอนเด็กกับพี่ชาย ส่วนเอมิเลียซึ่งมีโทนเสียงที่เบากว่า เพราะเธอต้องเน้นความอ่อนโยน ฉันได้รับแรงบันดาลใจจากเสียงของซาแมนธา ฟอกซ์ นักร้องชาวอังกฤษล่ะ
คุณเข้าถึงฉากร้องเพลงยังไง?
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : ฉันบอกกับฌาคส์และทีมงานตั้งแต่แรกว่าฉันไม่ใช่นักร้องหรือแดนเซอร์ โชคดีที่ฉันเป็นคนที่ขยันมาก
และพวกเราใช้เวลานานเลยในการเตรียมพร้อม มากกว่าหนึ่งปีก่อนเริ่มถ่ายทำด้วยซ้ำ กับนักออกแบบท่าเต้น ดาเมียน จาเลต์แล้วเนี่ย เรามุ่งเน้นไปที่การเคลื่อนไหวของมือของมานิตัสและเอมิเลีย ส่วนกับคามิลล์และเคลมองต์ นักประพันธ์เพลงของเรื่อง มันเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะเพลงของเอมิเลียที่ต้องใช้เสียงสูงมากแต่ฌาคส์ก็เป็นผู้กำกับที่ชาญฉลาดพอที่จะโอบรับทั้งความสามารถและข้อจำกัดของทุกคนได้
การร่วมงานกับ โซเอ ซัลดัญญา และ เซเลน่า โกเมซ เป็นอย่างไรบ้าง?
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : ถ้ามีใครบอกฉันเมื่อ 20 ปีก่อนว่าฉันจะได้แสดงในภาพยนตร์ของฌาคส์ โอเดียร์ ร่วมกับโซเอ ซัลดัญญา และเซเลน่า โกเมซ ฉันคงไม่เชื่อแน่ๆ! เคล็ดลับของฉันเพื่อไม่ให้รู้สึกกดดันกับสถานการณ์นี้ก็คือการมองพวกเธอเป็นเหมือนพี่น้อง และเป็นตัวละครของพวกเธอ ฉันอาจจะดูเหมือนคนบ้านะ เพราะฉันอินกับหนังมากจนบางครั้งเส้นแบ่งระหว่างเรื่องจริงกับบทบาทก็เลือนลาง อย่างตอนที่ฉันดูฉากของเซเลน่ากับเอ็ดการ์ รามิเรซที่รับบทเป็นคนรักของเธอ ฉันรู้สึกถึงความหึงหวงของเอมิเลียจริงๆ
ฉากไหนที่ท้าทายที่สุด?
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : ฉากในโรงพยาบาล ตอนที่เอมิเลียตื่นขึ้นมาหลังการผ่าตัด เป็นหนึ่งในฉากแรกที่เราถ่ายทำกัน และมันเต็มไปด้วยอารมณ์มากๆ นอกจากนี้ยังมีฉากที่เอมิเลียอยู่กับลูกชายของเธอในห้องนอนของเด็ก ก็ทำให้ฉันตระหนักถึงความลึกซึ้งของบทบาทนี้ได้อย่างแท้จริง ตอนที่ฉันนอนลง มองไปที่แสงไฟบนเพดาน ฉันรู้เลยว่าพอถ่ายทำเสร็จ ฉันคงต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความเข้มข้นของบทบาทนี้ เพราะสิ่งที่ฉันกำลังเผชิญอยู่มันหนักหนามากๆ ฉันเป็นแม่และฉันก็เคยเป็นพ่อมาก่อน สำหรับฉันแล้วเนี่ย ประเด็นนี้ในหนังเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็สื่ออารมณ์ออกมาอย่างลึกซึ้งมากเลย
เมื่อหนังเรื่องนี้ออกฉาย คุณจะกลายเป็นกระบอกเสียงของกลุ่มคนข้ามเพศและการต่อสู้เพื่อสิทธิของพวกเขา คุณรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้เหรอ?
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : เหนือสิ่งอื่นใดแล้วเนี่ย ฉันคิดว่าก่อนที่จะเป็นตัวแทนของชุมชนทรานส์และ LGBTQI+ ฉันมองว่าตัวเองเป็นคนที่ต่อสู้เพื่อทำให้ความฝันเป็นจริง นักแสดงหลายพันคนทั่วโลกต่างดิ้นรนเพื่อให้ได้ทำงานและแสดงบนเวทีที่แทบไม่มีผู้ชม ฉันเองก็เคยแสดงให้ผู้ชมเพียงคนเดียวดูมาแล้ว มันเป็นอาชีพที่ยากมาก ดังนั้นเนี่ย ก่อนอื่นเลยนะ ฉันอยากเป็นกระบอกเสียงให้กับความกล้า ความปรารถนา และความมุ่งมั่นที่ช่วยให้เราสามารถไปถึงความฝันของตัวเอง
สำหรับคนข้ามเพศ ฉันหวังว่าเราจะไม่ถูกลดคุณค่า ไม่ถูกมองว่าเป็นแค่ "ประเด็น" ในสังคม ฉันอยากให้เราได้รับการมองเห็นในฐานะมนุษย์ที่มีชีวิต มีความฝัน และมีเรื่องราวของตัวเอง เช่นเดียวกับทุกคน
ฉันหวังว่าเราจะไม่ถูกจัดหมวดหมู่หรือตีกรอบให้อยู่ในกล่องใดกล่องหนึ่ง ฉันหวังว่าเราจะไม่ถูกล้อเลียน ดูถูก หรือถูกเกลียดชัง ฉันโชคดีในแบบของตัวเอง ต้องขอบคุณภรรยาและครอบครัวของฉันที่ทำให้ฉันสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองและใช้ชีวิตต่อไปได้ตามปกติ แต่เราต้องคิดถึงผู้หญิงข้ามเพศอีกมากมายที่ต้องหันไปค้าประเวณีเพราะพวกเธอสูญเสียงานและวิถีชีวิตของตัวเอง ฉันหวังว่าเราทุกคนจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเปิดเผย และที่สำคัญที่สุดคือ ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข
สัมภาษณ์ เซเลน่า โกเมซ คุณรู้จักผลงานของ ฌาคส์ โอเดียร์ แค่ไหนตอนที่พบเขาครั้งแรกที่นิวยอร์ก?
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาที่ฉันเคยดูเลยคือ Rust and Bone และฉันก็ตกหลุมรักสไตล์การสร้างหนังของเขาทันทีทันใด ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบเขาแต่ก็กังวลด้วยเหมือนกัน เพราะฉันรู้ว่านี่จะเป็นบทบาทที่ท้าทายสำหรับฉันมาก
เขาบอกว่าคุณไม่เชื่อเขา ตอนที่เขาบอกคุณหลังจากคุยกันได้แค่ 10 นาทีว่าบทนี้เป็นของคุณ…
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : ตอนที่ฉันออดิชั่นให้เขาดู ฉันสาบานได้เลยว่าฉันแทบจะไม่รู้ตัวเลยนะ เพราะฉากนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกจนฉันจมดิ่งไปกับมันจริงๆ พอเขาบอกว่าบทนี้เป็นของฉัน มันรู้สึกเหมือนฉันกำลังฝันไปเลย
ฌาคส์ โอเดียร์ บอกว่าเขาไม่รู้จักคุณมากนักตอนที่พบกันครั้งแรก คุณคิดว่าการที่เขาไม่ค่อยรู้เรื่องชื่อเสียงและภาพลักษณ์สาธารณะของคุณส่งผลต่อความสัมพันธ์ในการทำงานของคุณหรือไม่?
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : ฉันชอบมากที่เขาแทบไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร และถ้ามองในแง่หนึ่ง มันเป็นผลดีสำหรับฉันเสียด้วยซ้ำ เขามองฉันแค่ในฐานะนักแสดง ไม่มีการตั้งสมมติฐานใดๆ ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันได้บทนี้มาจากความสามารถของตัวเองจริงๆ
คุณทั้งเต้น ร้องเพลง และแสดงมาตลอด ศิลปะแขนงเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกันสำหรับคุณอย่างไร?
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : เวลาฉันร้องเพลง ฉันรู้สึกเหมือนกำลังแสดง เพราะฉันจมดิ่งไปกับเนื้อร้องและรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเป็นตัวละครตัวหนึ่ง ฉันไม่คิดว่าตัวเองเป็นนักเต้นที่เก่งที่สุดนะ แต่ฉันรักความรู้สึกปลดปล่อยผ่านเสียงเพลง และชอบที่การเต้นสามารถถ่ายทอดเรื่องราวได้ทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นเศร้า สุข เหงา หรือเปี่ยมไปด้วยพลัง…
ทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงถึงกัน สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว การเต้นก็เป็นส่วนสำคัญของตัวละคร และเป็นรูปแบบการเต้นที่ฉันไม่เคยลองมาก่อน มันซับซ้อนและสวยงามมาก
ภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นในเม็กซิโก ประเทศบ้านเกิดของพ่อคุณ ในฐานะที่เติบโตในเท็กซัส คุณมีความสัมพันธ์กับเม็กซิโกและวัฒนธรรมเม็กซิกันอย่างไรบ้าง?
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : คุณยายของฉันเดินทางจากเม็กซิโกมายังสหรัฐฯ ในปี 1973 โดยซ่อนตัวอยู่ท้ายรถบรรทุก และใช้เวลา 18 ปีถึงจะได้รับสัญชาติ มันไม่ง่ายเลยสำหรับเธอเพราะเธอต้องจากครอบครัวมากมายในเม็กซิโก พ่อของฉันทำให้ฉันเชื่อมโยงกับรากเหง้าของตัวเองได้ดีมาก ตั้งแต่ขนบธรรมเนียม อาหาร ไปจนถึงวัฒนธรรม ทุกอย่างล้วนเป็นส่วนสำคัญเสมอ และเม็กซิโกเองก็อยู่ห่างจากเราด้วยการขับรถเพียงไม่นานด้วย
คุณเตรียมตัวอย่างไรกับการแสดงเป็นภาษาสเปน ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณไม่เคยทำมาก่อน?
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : ฉันเคยร้องเพลงเป็นภาษาสเปนมาก่อนนะ แต่ฉันรู้สึกประหม่าและกังวลมากกว่ามากเวลาต้องพูดภาษาสเปนในภาพยนตร์ โชคดีที่ตัวละครของฉันเป็นชาวเม็กซิกัน-อเมริกัน ซึ่งช่วยลดความกดดันในการทำให้ทุกอย่างฟังดูสมบูรณ์แบบ
สิทธิของคนข้ามเพศกำลังถูกโจมตีทั่วสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในรัฐเท็กซัส บ้านเกิดของคุณ คุณคิดว่าภาพยนตร์เรื่อง Emilia Pérez เป็นภาพยนตร์เชิงการเมืองหรือไม่ และมันสำคัญแค่ไหนสำหรับคุณในการเล่าเรื่องราวนี้ในช่วงเวลานี้ของการเมืองอเมริกัน?
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : ตอนฉันอ่านบทครั้งแรกนะ ฉันต้องการให้แน่ใจว่าบทบาทของเอมิเลียควรได้รับการแสดงโดยคนที่เคยผ่านประสบการณ์ชีวิตแบบนั้นจริงๆ สำหรับฉัน มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่ผู้หญิงข้ามเพศจะได้รับโอกาสนี้ เพราะการถูกมองเห็นและการเป็นตัวแทนมีความหมายมากจริงๆ
ตัวละครของคุณใน Emilia Pérez เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งซึ่งต่อสู้เพื่อเสรีภาพในการรักใครก็ตามที่เธอต้องการ เธอยังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านอีกด้วย คุณรู้สึกเชื่อมโยงกับสิ่งนี้หรือไม่?
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : ใช่แล้ว ตอนนี้ฉันอยู่ในช่วงอายุ 30 ฉันได้ผ่านประสบการณ์การค้นพบตัวเองมากมายในชีวิต มันอาจจะซับซ้อนและแปลกประหลาด แต่ฉันกลับพบว่ามันเป็นสิ่งที่คอยเติมเต็มชีวิต และทุกอย่างก็ดีขึ้นไปตามกาลเวลา ฉันรู้สึกว่าตัวเองฉลาดมากขึ้นและเข้าใจตัวเองมากขึ้นด้วย
อะไรในตัวเธอที่คุณรู้สึกซาบซึ้งที่สุด?
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : ฉันเข้าใจได้ว่าทำไมเธอถึงมองทุกอย่างอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นความหลงใหลหรือความโกรธ เธอเป็นตัวละครที่สนุกในการแสดง เพราะไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่เธอรู้สึกมั่นคง
เธอยังเป็นแม่ที่พยายามดูแลลูก ๆ แต่ก็ต้องการใช้ชีวิตอย่างอิสระในฐานะผู้หญิง คุณได้รับแรงบันดาลใจจากที่ไหนในการแสดงบทบาทนี้?
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : ก่อนอื่นเลย ฉันรักเด็กมาก ฉันคงตอบคำถามนี้ไม่ได้อย่างยุติธรรมในแง่ของการเป็นแม่ เพราะฉันยังไม่มีลูกแต่ฉันเคารพผู้หญิงมากๆ เพราะพวกเราสามารถทำได้ทุกอย่าง ฉันมองไปที่โซเอและเห็นว่าเธอเป็นแม่ที่น่าทึ่งขนาดไหน ในขณะเดียวกันเธอก็ยังเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
ฉากไหนที่คุณกังวลที่สุดก่อนถ่ายทำ?
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : ฉันกังวลเกี่ยวกับฉากเต้นมากที่สุดเลย เพราะฉันไม่เคยเต้นสไตล์นั้นมาก่อน มันเข้มข้นมากและฉันรู้ได้เลยว่ามันต้องหนักต่อร่างกายฉันแน่ๆ แต่สุดท้ายแล้วฉันก็สนุกกับมันมาก ทั้งในช่วงซ้อมและตอนถ่ายทำจริง
คุณช่วยเล่าถึงการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในปารีสได้ไหม? การถ่ายทำส่วนใหญ่บนฉากสตูดิโอส่งผลต่อการแสดงของคุณอย่างไรบ้าง?
คาร์ล่า โซเฟีย กาสกอน : ตอนแรกฉันรู้สึกกังวลนะ แต่พวกเขาทำให้ทุกอย่างสมจริงมากจนเมื่อเราก้าวเข้าสู่ฉาก เรารู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่ง แม้ว่ามันคงจะดีหากได้ถ่ายทำในเม็กซิโกจริงๆ แต่ฉันคิดว่าพวกเขาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการสร้างบรรยากาศของเม็กซิโกขึ้นมา ดังนั้นมันจึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงตัวละครของฉันเลย
“Emilia Perez เอมิเลีย เปเรซ” แสบ ! แซ่บ ! ฉาว ทุกเวที 27 มีนาคม ในโรงภาพยนตร์