![รวมเกร็ดน่ารู้ก่อนจะมาเป็น “Companion - คอมแพเนียน” ประสบการณ์ความรักรูปแบบใหม่ มาพร้อมกับเซอร์ไพรส์เกินคาดที่คุณไม่ควรพลาดชม](img/content/14594_20250211122116_Next Program.jpg?v=17.18)
รวมเกร็ดน่ารู้ก่อนจะมาเป็น “Companion - คอมแพเนียน” ประสบการณ์ความรักรูปแบบใหม่ มาพร้อมกับเซอร์ไพรส์เกินคาดที่คุณไม่ควรพลาดชม
นิวไลน์ ซีเนม่า สตูดิโอผู้นำเสนอเรื่อง “The Notebook” และผู้สร้างเรื่องราวหลุดโลก “Barbarian” ขอเชิญคุณสัมผัสประสบการณ์ความรักรูปแบบใหม่ ค้นหาคนที่สร้างมาเพื่อคุณโดยเฉพาะใน “Companion - คอมแพเนียน”
ก่อนจะเป็น Companion
เรื่องราวของ Companion อยู่ในบรรยากาศที่ไม่ไกลจากอนาคตเกินไปมากนัก เพื่อนทั้ง 6 คนมารวมตัวกันที่บ้านริมทะเลสาบเพื่อพักผ่อนช่วงวันหยุด ฟังดูไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดได้? ถ้าเป็นเรื่องราวทั่วไป เราสามารถตั้งคำถามได้มากมายที่ชวนไปพบกับคำตอบ แต่ผู้เขียนบทฯ /ผู้กำกับฯ ดรูว์ แฮนค็อก ได้สร้างผลงานแนวใหม่ที่นำไปสู่โลกสุดพิเศษนี้ ผู้สร้างภาพยนตร์เล่าว่า “มีหนังเกี่ยวกับ AI มากมาย และผมคิดว่าสิ่งแรกที่คนมักจะคิดในเรื่องคือ AI เกิดความผิดพลาด ผมคิดว่า ‘แล้วถ้าเป็นเรื่องที่ AI เป็นฝ่ายถูกล่ะ?’ พอผมคิดแบบนั้นขึ้นมาได้ก็ตัดสินใจว่ามาเล่นกับเรื่องแนวนี้และดูจุดจบกันดีกว่า”
แฮนค็อก เล่าต่อว่า “เมื่อผมตั้งใจให้มีคู่รัก 3 คู่อยู่ในบ้านไม้หลังนี้ ผมเริ่มนึกภาพถึง ‘ไอริส’ ผมคิดว่าทุกครั้งที่ผมได้เจอเพื่อนของแฟนและครอบครัว ความรู้สึกตอนนั้นควรเป็นแบบไหนบ้าง และยิ่งผมนึกถึงเธอเท่าไหร่ก็ยิ่งเริ่มคิดว่า ‘แล้วถ้าหุ่นยนต์เป็นคนที่น่าสงสารสุดในเรื่องล่ะ?’”
แฮนค็อก อินกับการเขียนเรื่องราวจนกลายเป็นเรือง “Companion” เมื่อปี 2021 เพื่อนคนหนึ่งได้มีการติดต่อกันที่ BoulderLight และเอาบทเรื่อง “Barbarian” มาให้เขา
ผู้สร้างภาพยนตร์เล่าถึงตอนนั้นว่า “ผมกำลังเขียนบทเรื่อง ‘Companion’ และได้อ่านเรื่อง ‘Barbarian’ มันเตือนใจได้เป็นอย่างดีว่าเราไม่จำเป็นต้องเดินตามกฎกติกาทุกอย่าง เราสามารถเดินตามเรื่องในหนังสลับกับมุมมองต่างๆ และทำอะไรก็ได้อย่างที่ต้องการ ลืมเรื่องแบบแผนไร้สาระไปเลย ทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ ขอแค่มันมีความสนุกก็พอ”
การค้นพบครั้งนี้ทำให้แฮนค็อกมีอิสระในการสร้างสรรค์ จนไปถึงการใช้เทคนิคต่างๆ เล่าเรื่องได้อย่างแหวกแนวในบท เขาเปลี่ยนเรื่อง “Companion” ให้มีความซับซ้อนไปในทางแนวไซไฟ สยองขวัญ ระทึกขวัญ โดยยังมีสีสันของดาร์กคอมเมดี้อยู่ด้วย
หลังจากเขียนบทเสร็จเรียบร้อย แฮนค็อก ได้ส่งบทไปให้ เจ.ดี. ลิฟชิตซ์ แห่ง BoulderLight เขาตอบรับอย่างกระตือรือร้น ตื่นเต้นกับบทต้นฉบับและเซอร์ไพรส์มาก บทได้รบความสนใจจากคนอื่นที่สำคัญแห่ง BoulderLight อย่างรวดเร็ว รวมถึงผู้สร้างฯ ราฟาเอล มาร์กูเลส และ แซ็ค เคร็กเกอร์ แห่ง Vertigo และ รอย ลี
แฮนค็อก เล่าย้อนด้วยรอยยิ้ม “ช่วงเวลา 48 ชั่วโมงหลังจากเขียนบทฯ ‘The End’ และผมก็มีผู้สร้างฯ ถึง 4 คนมาร่วมงานด้วย”
ผู้อำนวยการสร้างฯ แซ็ค เคร็กเกอร์ จำได้ว่า “ตอนที่ได้อ่านบทผมรู้สึกเซอร์ไพรส์ไม่หยุดเลย ผมไม่เคยตื่นเต้นกับหนังอะไรขนาดนี้จากการดูหนังมาหลายเรื่อง ผมอ่านบทมาเยอะมาก หลายครั้งผมเดาได้ว่าตอนจบจะเป็นแบบไหน และผมก็คิดไม่ผิดเลย ส่วนเรื่องนี้เป็นบทที่ผมเดาไม่ออกเลยว่าจะไปทางไหนต่อ”
เมื่อถูกกำหนดให้มากำกับฯ หนัง เคร็กเกอร์รับบทบาทสำคัญด้านการกำกับฯ ให้แฮนค็อก ช่วงแรกที่มีการคุยกัน เคร็กเกอร์รู้ว่าแฮนค็อกจินตนาการถึงภาพยนตร์ได้อย่างชัดเจนมาก จนทำให้ เคร็กเกอร์ ทบทวนบทบาทของเขาในโปรเจ็กต์นี้อีกครั้ง “ผู้ชายคนนี้มีภาพของหนังเรื่องนี้อยู่ในจินตนาการอย่างชัดเจนมาก สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมทำได้คือการไม่ขวางทางเขาและคอยให้การสนับสนุนเขาในการสร้างหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่าต้องมีความพิเศษเกิดขึ้นเมื่อผู้เขียนมาทำหน้าที่ผู้กำกับฯ ด้วย เพราะมีความเข้าใจในเนื้อหาของเรื่องและโลกใบนี้เป็นอย่างดี”
การรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างฯ เคร็กเกออร์ อาศัยความร่วมมือจาก BoulderLight และ Vertigo เพื่อหาทางเสนอตำแหน่งผู้กำกับฯ ให้ แฮนค็อก
แฮนค็อกยอมรับว่า “ตอนแซ็คถามผม ผมรู้สึกตัวเองตั้งกำแพงและตอบไปว่า ‘ผมต้องขอเวลาคิดก่อนนะ’ แต่ก็คิดได้ว่าผมอยากเปิดรับความท้าทายนี้ดู”
การถ่ายทำเรื่อง “Companion” ขับเคลื่อนด้วยทีมที่มีความกระตือรือร้น มีการแบ่งปันเรื่องนวัตกรรมเพื่อการถ่ายทอดเรื่องราว ผู้อำนวยการสร้างฯ ราฟาเอล มาร์กูเลส เล่าว่า “พวกเราโชคดีมากที่พาร์ทเนอร์แห่ง New Line เข้าใจทันทีว่าพวกเขามีความพิเศษบางอย่างอยู่ในมือ และพวกเขาเปิดโอกาสให้เราได้สร้างเรื่องนี้ขึ้นมา”
สุดสัปดาห์ที่ริมทะเลสาบ
ภาพยนตร์เรื่อง “Companion” มีการผสมผสานเรื่องราว พร้อมด้วยแฮนค็อกที่จะพลิกแนวทางสมัยก่อนให้มีความทันสมัย สร้างเรื่องราวที่มีจุดพลิกผันและสร้างภาพการเล่าเรื่องที่มีความแปลกใหม่ เข้าใจได้อย่างชัดเจน
มาร์กูเลสเล่าว่า “ผมคิดว่าผู้คนไปดูหนังกันด้วยเหตุผลหนึ่งและเหตุผลเดียว คือเพื่อความสนุก เพื่อมีความสุข และเรื่อง ‘Companion’ ได้มอบสิ่งเหล่านั้น ทำให้คุณได้มีช่วงเวลาที่ดี ไม่ว่าจะเป็นความระทึกขวัญ หนังไซไฟ หนังสยองขวัญ ผลงานคอมเมดี้ หนังชวนแฮงค์เอาท์ เป็นภาพยนตร์ที่มีครบทุกแนว เป็นทั้งหนังช่วงมิดไนท์และหนังที่สนุก”
เคร็กเกอร์อธิบายว่าเป็น “หนังไซไฟไฮบริดเกี่ยวกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ได้ออกไปเที่ยวช่วงสุดสัปดาห์กับแฟนและเพื่อนของเขาเหมือนเรื่องทั่วไป แต่กลับได้พบกับเรื่องเซอร์ไพรส์...มันไม่ใชเรื่องปกติแบบที่เราเคยเห็นกันหลายต่อหลายครั้ง มีจุดพลิกผันที่ตื่นเต้นบนเรื่องราวเดิมๆ ดรูว์สร้างกลุ่มเพื่อนที่มีความรู้สึกน่าทึ่งขึ้นมา ได้ความรู้สึกที่ผ่านหลายเรื่องราวมาด้วยกัน และมีอดีตร่วมกันมากมาย”
“หญิงสาว” คนนั้นอยู่กับแฟนชื่อ จอช ซึ่งเธอคือ ไอริส ‘เพื่อนร่วมทาง’ รับบทโดย โซฟี แทตเชอร์ เธอเล่าว่า “ครั้งแรกที่ได้พบกับทั้งคู่ จะรู้สึกว่าอยากสนับสนุนพวกเขา ฉันคิดว่าพวกเขาดูเป็นคนนอกที่ไมเข้าพวก เธอคอนข้างประหม่า แต่คอยผลักดันกันสูงมาก เธอเหมือนคนยุค 60 มีความคลาสสิคมาก ส่วนเขาดูค่อนข้างเนิร์ด แต่เป็นคู่รักที่ดูหวานแหวว ในความเป็นจริงแล้วไอริสอยู่ในความสัมพันธ์ที่ถูกขีดเส้นกำหนดเอาไว้ และเธอพร้อมทำทุกอย่างที่ทำให้จอชรู้สึกว่าเป็นที่รักและได้รับการใส่ใจ”
“นอกจากความเครียดของเธอ” แทตเชอร์ เล่าต่อ “คือบ้านหลังนี้อยู่ในป่า ซึ่งมีตัวตนชัดเจนอยู่มาก ยิ่งทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยว เหมือนไม่มีใครช่วยเราได้ เธออยู่อย่างลำพังกับตัวเองจริงๆ”
แฮนค็อก อธิบายว่า “ไอริสเป็นคนที่ไม่เข้าใจความแข็งแกร่งและความสามารถของตัวเองในช่วงแรก เธอเหมือนคนที่เจ็บปวดจากความไม่ปกติบางอย่าง โซฟีถ่ายทอดความเป็นธรรมชาติสู่ตัวละครไอริสได้อย่างเหลือเชื่อ... หุ่นยนต์ตัวหนึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเป็นมนุษย์นั้นมีความสำคัญขนาดไหน เธอถ่ายทอดความรู้สึกนั้นสู่ตัวละครให้ดูเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง”
จนกระทั่งเธอรู้ตัวว่าไม่ใช่มนุษย์ การผจญภัยของเธอจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง แทตเชอร์ เล่าว่า “โลกของเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และเธอรู้ว่าไม่สามารถอยู่กับจอชได้ เธอได้ค้นพบตัวเองและเริ่มหาอิสรภาพ ตั้งใจจะเป็นตัวของตัวเอง”
แจ็ค เควด ผู้รับบท จอช คือนักแสดงคนแรกที่มาแคสต์บทสำหรับภาพยนตร์ มาร์กูเลสเล่าถึงตอนนั้นว่า “แจ็คเป็นนักแสดงคนแรกที่ร่วมงานอย่างเป็นทางการ ซึ่งมันช่วยให้ทุกอย่างขับเคลื่อนไปได้ เขาได้รับต้นฉบับเต็มอย่างเป็นทางการโดยทันที”
“ผมจำความรู้สึกตอนอ่านบทได้” เควด กล่าว “ผมพูดทันที ‘ผมต้องสร้างเรื่องนี้ให้ได้’ และพยายามนัดเจอดรูว์ให้เร็วที่สุด”
แฮนค็อกอธิบายว่า “เป็นตัวละครที่ดูมีเสน่ห์และคอยให้การสนับสนุนเมื่อดูผิวเผิน แต่ลึกๆ แล้วเขาต้องการควบคุมและครอบงำไอริส” คู่ของ จอช เพิ่มความซับซ้อนเข้าไปในตัวละครของเขา ทำให้ปฏิกิริยาที่มีต่อไอริสมีความซับซ้อนและน่าระแวงมากขึ้น
“เขาเป็นตัวละครที่สวมบทบาทแล้วสนุก มีความสัมพันธ์ที่น่าสนใจน่าเข้าไปสำรวจ” เควด อธิบาย “เราต้องการให้ผู้ชมไม่ทันสังเกตว่ามีสิ่งผิดปกติ ในมุมของสิ่งที่มาจากดรูว์ ผู้มีความสนุกสนานอยูในตัว เขาอยากแน่ใจว่ามุกตลกนั้นถ่ายทอดออกมาได้ดี ซึ่งนั่นทำให้หนังเรื่องนี้มีแนวทางชัดเจน”
ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ไหนก็ตาม จอช แทบจะแสดงให้เห็นชัดเจนถึงการควบคุมและพลังในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา เมื่อเขาเรียก ไอริส ด้วยชื่อเล่นที่เขาตั้งให้ว่า บี๊บบู๊บ “บี๊บบู๊บเป็นชื่อเล่นที่น่าหงุดหงิด เพราะจอชอยากควบคุม และผมคิดว่าเขาแค่อยากย้ำเตือนว่าเธอคือหุ่นยนต์ ผมคิดว่าเขาต้องการคนที่ไม่ตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวเขา ทำให้เขาดูแย่ หรือคอยเถียงอะไรกับเขา ซึ่งล้วนไม่ใช่สิ่งที่ดีในความสัมพันธ์เลย”
การตัดสินใจแคสต์ ลูคัส เกจ ในบท แพทริค แฟนของ อีไล เกิดจากแรงผลักดันในการตามหานักแสดงที่เข้าใจมุมมองตัวละคร และอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ในการเดินทางของตัวละคร “ลูคัสคือคนที่ผู้กำกับฯ คัดเลือกนักแสดงตั้งใจเลือก แค่เอยชื่อลูคัส เกจ ผมก็รู้สึกว่า ‘ใช่เลย เขาเก่งนะ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเลย ผมแค่อยากเจอเขาและดูว่าเขาจะเท่ได้ขนาดไหน’ เขาเป็นคนที่น่ารักมากที่สุดบนโลกเลย” แฮนค็อก กล่าว
ผู้สร้างภาพยนตร์รู้สึกประทับใจกับความสามารถของเกจในการถ่ายทอดความซับซ้อนของตัวละครนี้ออกมาให้ดูสมจริงได้ เขาเล่าว่า “ลูคัสมีเสน่ห์อย่างเป็นธรรมชาติ และสามารถทำให้เราเชื่ในเจตนาของตัวละครเขาได้ เขาถ่ายทอดความใส่ใจที่มีต่ออีไลและคนอื่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
สำหรับการบรรยายถึงตัวละครของเขา เกจ เล่าว่า “แพทริคคบกับอีไลมานาน 4 ปีแล้ว และผมรู้สึกว่าเปลือกนอกของเขาไม่สอดคล้องกับตัวตนที่แท้จริง ในช่วงแรกเริ่มผมคิดว่าอีไลคงคิดแพทริคเป็นคนที่ดูดีมาก เชฟสุดฮอทจากซิลเวอร์เลค ได้เรียนรู้ว่าเขาเป็นคนน่ารักที่ใส่ใจแฟนเป็นอย่างดี เขาเป็นคนที่มีความเอาใจใส่มาก อยากทำอาหาร ทำความสะอาด คอยดูแล ทำให้ทุกคนมีความสุข และผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้แพทริคสนุกสนาน ด้วยการคอยดูแล ทำให้ผู้คนมีความสุข และใส่ใจดูแล”
การไม่สอดคล้องกันระหว่างสิ่งที่เห็นกับการกระทำของตัวละครที่นักแสดงรู้สึกว่ามีเสน่ห์ในบท เกจ เล่ารายละเอียดว่า “ผมคิดว่าสิ่งที่ผมรักแทบจะที่สุดในหนังเรื่งนี้ คือความเข้าใจหรืการตัดสินในสิ่งที่เราคิดว่าตัวละครเหล่านี้กำลังจะทำ และสิ่งที่เกิดขึ้นจริง หุ่นยนต์ในเรื่องนี้กลับมีความเป็นมนุษย์มากกว่า มนุษย์ที่แท้จริงกลับเป็นตัวสร้างปัญหาที่สุด นั่นคือสิ่งที่ผมมองหาในหนังที่สยองขวัญ มันมีการหลอกหลอนผู้ชม คุณคิดว่ามันต้องเป็นแบบนี้แต่มันกลับเป็นอีกอย่าง มันเต็มไปด้วยความสงสัย มุกตลก และอารมณ์ความรู้สึก อาจจะมีเรื่องความรักปนมาบ้าง โดยรวมแล้วคือมีครบทุกแนว นั่นคือหนังที่สนุกที่ผมยอมรับ และเป็นสิ่งที่ดึงดูดผมได้มากในเรื่องนี้”
ตัวละครนั้นคือ แคท รับบทโดย เมแกน ซูริ ผู้พัฒนาเคียงข้างการผจญภัยของ ไอริส มิตรภาพของแคทกับเซอร์กี้ที่ร่ำรวยเต็มไปด้วยเรื่องการบริหารจัดการและอำนาจ แฮนค็อก อธิบายว่า “ผมอยากให้มีความขนานกันระหว่างตัวละครของแคทกับตัวละครของไอริส ทั้งคู่ต่างรู้ว่าต้องการดูเหมาะสมกับคู่ของตัวเอง และจะปรับตัวให้เหมาะสมตามความคาดหวังของคู่ตัวเองอย่างไร”
“แคทคือคนที่อยากมองหาที่พักใจในทุกสถานการณ์และความสัมพันธ์ที่เธอเคยมีมาก่อน” เคร็กเกอร์ อธิบาย
การหานักแสดงหญิงที่เหมาะกับบทเคทคือความท้าทาย แฮนค็อก เล่าว่า “เราผ่านความยากในการตามหาเคท เพราะปรากฏว่าเธอกลับเป็นบทที่ยากในการสวมบทบาทได้ แต่เป็นเรื่องง่ายมากที่จะพลิกสู่ร่างครูเอลล่า เดอ วิล หรือสาวร้ายในแง่การแสดง”
ผู้สร้างภาพยนตร์ได้บพบกับคนที่สร้างสมดุลให้ด้านมืดของตัวละครโดยที่ยังมีความน่ารักซ่อนอยู่ จากนั้นพวกเขาได้รับเทปของ ซูริ เธอนึกถึงตอนนั้นว่า “ตอนที่ฉันบันทึกเทปของตัวเอง ฉันอยากถ่ายทอดความซับซ้อนของเคทออกมา ทั้งความทะเยอทะยาน ความช่างว่างแผน และความเปราะบางที่สำคัญจนทำให้เธอเป็นมากกว่าคนปรับเปลี่ยนเก่ง”
แฮนค็อก อธิบายต่อว่า “เคทใช้จอชเป็นเครื่องมือในความสัมพันธ์นี้ และจอชได้ออกแบบไอริสให้มีความรักที่อันดูไร้ค่าแบบที่เขามีให้กับเคท”
“แคทระวังเรื่องนั้นและหลอกใช้เขา” เมแกน ซูริ เอ่ยถึงเรื่องนั้น “เธอรู้ว่าตัวเองยากจะก้าวล่วงหน้านำไป 5 ก้าวเสมอ และแคทเป็นมนุษย์ผู้หญิงในเรื่องเพียงคนเดียว แต่เธอกลับทำตัวเหมือนวัตถุสิ่งของมากกว่าไอริสซะอีก การได้เห็นทั้ง 2 เล่นโต้ตอบกันและใช้ชีวิตขนานกันไป มันเหมือนสิ่งที่น่าสนใจและจุดจบของดรูว์ก็เป็นเรื่องที่ฉลาดมาก”
อีไล รับบทโดย ฮาร์วีย์ กิลเลน เป็นคนที่มีความสุขที่ได้อยู่ในเกมนั้น อีไล ให้ความสำคัญกับเรื่องความสัมพันธ์ที่มีความหมายเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดูหลีกเลี่ยงจากตัวเขาเสมอ แม้เขาจะเป็นคนที่สนุกสนานและอบอุ่น แต่กลับไม่เคยได้พบคนที่ใช่เลย ตอนนี้ในช่วง 4 ปีสุดท้ายที่ได้อยู่กับ แพทริค เขาได้พบกับคนรักที่ดูจะเหมือน “แบดบอย” แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับบูชาความรักและรักเขาอย่างไม่มีเงื่อนไขเลย “ใครบ้างจะไม่อยากเจอคนที่ใช่และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข?” กิลเลน กล่าว
ดรูว์ แฮนค็อก รู้สึกประทับใจในความเป็นนักแสดงของ กิลเลน และการถ่ายทอดความเป็น อีไล ออกมาได้ทั้งมุกตลกและความเปราะบาง เขาเล่าว่า “ฮาร์วีย์ใส่ความเป็นธรรมชาติลงไปในตัวอีไลได้ในฐานะตัวละครหนึ่ง เขาเก็บมุกตลกได้อย่างครบถ้วน ขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดอารมณ์อย่างที่เรื่องราวของอีไลต้องการ ช่วงที่เป็นจังหวะผ่อนคลาย เขาจะดูอ่อนโยนและพยายามทำให้สถานการณ์ดูสดใสขึ้น ผมคิดว่าเราต้องการอะไรแบบนั้นในหนังสยองขวัญหรือระทึกขวัญ”
ฮาร์วีย์ กิลเลน หลงใหลในตัวละครเพราะเต็มไปด้วยความซับซ้อน และมีความพิเศษในพลังความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ แพทริค ทำให้เกิดมุมมองที่แตกต่างจากตัวละครอื่น อีไล เหมือนคนที่ถ่ายทอดความสนุกสนานในการบรรยาย แต่ก็มีมุมเศร้าในเรื่องราวของเขาด้วย กิลเลน อธิบายว่า “อีไลเป็นคนที่เหนื่อยจากการตามหาความรัก และตอนนี้ก็ได้พบมัน ผมคิดว่าเขาเป็นตัวละครเดียวที่ได้ความรักกลับไป แม้ว่าจะอยู่ในระดับที่เขารู้สึกว่าไม่คู่ควรเลยก็ตาม”
เซอร์จีย์ ผู้มีความซับซ้อนและร่ำรวยรับบทโดย รูเพิร์ท เฟรนด์ เขาถูกสร้างให้เป็นคนที่ดูมีความซับซ้อนและดูคุกคาม ทำให้เขาเป็นตัวละครสำคัญในการขยายเรื่องราวดราม่า การรับบทที่มีพลังและดูปรับเปลี่ยนได้ บุคลิกของเขาที่ดูโลเลทำให้เขาเป็นศัตรูคนสำคัญ “เซอร์จีย์เป็นเศรษฐีรัสเซียผู้กุมอำนาจเคทเอาไว้ผ่านเรื่องการเงิน” แฮนค็อก กล่าว “เขาคิดว่าตัวเองควบคุมทุกคนที่อยู่รอบตัวได้ และนั่นทำให้เขาดูน่ากลัวมาก”
แฮนค็อก ต้องการให้ เซอร์จีย์ เป็นตัวละครที่กุมความลึกลับเอาไว้อย่างแท้จริง เป็นการเพิ่มความเครียดให้เรื่องราว “เซอร์จีย์เป็นคนที่เรายากจะนึกภาพออก ทำให้เขามีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้น” แฮนค็อก กล่าว “เขาอาจดูมีเสน่ห์และน่ากลัวได้ในเวลาเดียวกัน นั่นคือสิ่งที่เราต้องการในบทบาทนั้น และรูเพิร์ทถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างดีเยี่ยม”
ขอต้อนรับสู่โลก “แห่งความจริง”
จินตนาการของแฮนค็อกที่มีต่อ “Companion” คือการสร้างบาลานซ์ระหว่างเรื่องราวแนวไซไฟ ทริลเลอร์ กับความสยองโดยที่ไม่โน้มเอียงไปในทิศทางใดจนเกินไป ซึ่งความสมดุลย์นี้จะสะท้อนให้เห็นผ่านวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์
“เราพยายามสร้างบาลานซ์ระหว่างความสยองขวัญและไซไฟให้ออกมางดงาม ไม่อยากให้ดูเป็นหนังไซไฟจนเกินไป และเราไม่อยากให้มีความสยองมากเกินไปด้วย” แฮนค็อก กล่าว
ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ จาไมสัน โกอี้ ได้ผสมเอ็ฟเฟ็กต์จริงกับดิจิตอลเพื่อหาความสมดุลและรักษาความสมจริงเอาไว้ “ผมไม่อยากให้เต็มไปด้วยซีจีไอในทุกฉาก” โกอี้ กล่าว “ฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่ผมทำได้ จะเลือกใช้ของจริงเสมอ”
ซึ่งนี่นำไปสู่ความอดทนในหลายฉากรวมถึงเรื่องแขนหุ่นยนต์ของ ไอริส ด้วย โกอี้ แนะนำว่า “ทำไมเราไม่สร้างแค่มือของหุ่นขึ้นมา และใช้ผู้ควบคุมหุ่นกับฉากสีเขียว? ลบแขนของเธอออกและใช้เป็นแบบหุ่นแทนแล้วกัน” แทนที่จะเลือกใช้การสร้างด้วยคอมพิวเตอร์กราฟฟิคทั้งหมด ทีมเอ็ฟเฟ็กต์จริงได้พัฒนาชิ้นส่วนของหุ่นที่ใช้งานได้จริงช่วงท่อนแขนขึ้นมา การตัดสินใจนี้ทำให้แทตเชอร์และเพื่อนนักแสดงของเธอแสดงโต้ตอบกันในฉากได้จริง
แทตเชอร์ เล่าถึงความท้าทายในการสร้างแขนขึ้นมาเพื่อการแสดงของเธอว่า “การรับบทหุ่นยนต์คือความท้าทายอันยิ่งใหญ่ของฉันเลยค่ะ เพราะต้องมีการเคลื่อนไหวร่างกายแบบพิเศษ และปกติฉันเป็นคนตัวอ่อนมาก แต่สำหรับไอริสฉันต้องทำตัวนิ่งและหาจุดที่ดูเหมือนหุ่นยนต์ที่สุด”
สำหรับแขนของหุ่นที่จะเอามาแทนแขนจริงของเธอในบางฉาก ทำให้ แทตเชอร์ ต้องปรับการแสดงจริง โดยโฟกัสที่การใช้งานและควบคุมแขนที่เธอต้องใช้แสดง “พอฉันสวมเครื่องแต่งกาย ท่าทางของฉันก็เปลี่ยนไปเลยค่ะ” แทตเชอร์ กล่าว
คนที่ได้รับผลกระทบจากความเป็นหุ่นยนต์ของ ไอริส ที่สุด คือเพื่อนนักแสดงอย่าง แจ็ค เควด “ตอนที่เห็นเธอมีแขนหุ่นยนต์ครั้งแรก ผมถึงกับอ้าปากค้างเลย แต่มันดูน่าประทับใจมาก ดูมีความเป็นไซไฟในเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตอย่างชัดเจน” เควด กล่าว “มีฉากหนึ่งที่เธอกุมมือผม และผมมองที่มือหุ่นยนต์นั้นกำลังจับมือผมอยู่ มันดูสมจริงและมีรายละเอียดมาก เป็นการสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจและสมจริงที่สุด”
อีกความท้าทายหนึ่งของทีมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์คือการถ่ายทอดแววตาของ ไอริส ออกมาให้เห็น โกอี้ และทีมงานของเขาเลือกใช้คอนแทคเลนส์ เพื่อช่วยเพิ่มความสมจริงของแววตาหุ่ยนต์ในฉาก ต้องมีการสลับระหว่างแววตาแบบ “มนุษย์” กับหุ่นยนต์โดยอาศัยดิจิตอลเอ็ฟเฟ็กต์ เพื่อความแน่ใจเรื่องการปรับเปลี่ยนแววตราของ ไอริส ให้ดูน่าเชื่อถือและไร้ที่ติทางการแสดง
สำหรับ แทตเชอร์ คอนแทค ช่วยให้เธอดูเป็นเครื่องจักรกลได้อย่างเป็นธรรมชาติ มีภาพลักษณ์พิเศษที่สัมผัสได้ถึงความไม่ใช่มนุษย์ของ ไอริส “มีความเป็นมนุษย์แบบพิเศษที่ดูสดใสในแววตาของเธอ” แทตเชอร์ กล่ว “มีความมุ่งมันและตั้งใจมาก ปกติฉันจะชอบกลอกตาและมองไปมาบ่อยๆ แต่สำหรับไอริส ฉันต้องทำให้ตัวละครนี้ดูมีความจดจ่อมากกว่านั้น”
“คอนแทคเลนส์คือตัวเปลี่ยนเกม” เควดกล่าว “พวกเขาทำให้เธอมีภาพลักษณ์ที่น่ากลัวหลุดโลกซึ่งเหมาะกับตัวละครนี้ ในแววตาของเธอจะเห็นความเป็นเครื่องจักรกลที่ดูแทบจะไร้ชีวิตชีวา การแสดงคู่กับโซฟีผ่านเลนส์นั่นมีทั้งความท้าทายและความตื่นเต้น มันทำให้ทุกการแสดงโต้ตอบกันดูมีความเครียดซ่นออยู่ เหมือนเรารู้ดีว่ากำลังพูดคุยกับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์อยู่”
เอ็ฟเฟ็กต์ที่ใช้จริงกก็เป็นตัวช่วยขยายภาพที่เห็นในฉากต่างๆ ได้มากขึ้นด้วย ผู้อำนวยการสร้างฯ ราฟาเล มาร์กูเลส สนับสนุนไอเดียของ โกอี้ เรื่องการใช้เอ็ฟเฟ็กต์เลือดจริงแทนซีจีไอ “มีการแต่งหน้าสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์เลือดอาบในเรื่องที่ดูสยองมาก ทุกคนในเรื่องดูเนียนมากเลย” มาร์กูเลส กล่าว “ในเรื่องนี้มีหลายสิ่งที่ดูน่ากลัวจนผมคิดว่าแฟนๆ แนวนี้จะต้องพอใจมากอย่างแน่นอน”
สำหรับการสร้างโลกของเรื่อง “Companion” ขึ้นมา แฮนค็อก ร่วมงานกับผู้ออกแบบฉาก สก็อตต์ คูซิโอ มีการบรีฟเอาไว้ถึงเรื่องการสร้างฉากที่ดูคุ้นตาแต่แฝงความล้ำสมัย สะท้อนถึงเรื่องช่วงเวลาและสถานที่ตามบรรยากาศฉากนั้น “เราคุยกันถึงเรื่องบรรยากาศหนังไซไฟที่ดูล้ำสมัยมาก” คูซิโอะ กล่าว “ผมคิดว่ายิ่งเราอินกับมันมากเท่าไหร่ เรายิ่งต้องการความเรียบง่ยโดยที่ไม่ต้องแสดงถึงความเป็นไซไฟล้ำสมัยมากขึ้นเท่านั้น เราอยากให้ผู้ชมตั้งคำถามมากกว่าว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาใด”
“ผมรู้ว่าประเด็นสำคัญคือนี่เป็นหนังไซไฟ แต่เราไม่อยากให้ดูมีความรู้สึกเป็นหนังไซไฟเกินไป” แฮนค็อก กล่าว “เราอยากให้ดูเหมือนละครที่มีเรื่องความรักดราม่าด้วยซ้ำ” ซึ่งนี่เป็นการนำไปสู่ตัวเลือกในการออกแบบ เป็นที่มาของการสร้างบรรยากาศที่ดูมีความคุ้นตาและยากจะเข้าใจได้
บรรยากาศฉากในบทต้องการสถานที่มีความเป็นส่วนตัว “ดรูว์เขียนบทให้มันดูมีความเปล่าเปลี่ยว” คูซิโอะ กล่าว “มันคือบรรยากาศของความสยองสุดคลาสสิค: บ้าน กระท่อมในป่า”
ฉากที่มีความสยองสมบูรณ์แบบขึ้นมาได้ด้วยรายละเอียดการออกแบบสมัยใหม่ ทำให้บ้านดูมีอายุ ถูกปล่อยทิ้งร้าง แม้จะมีความหรูหราในตัวก็ตาม “แม้ว่าจะเป็นบ้านที่มีความทันสมัย เราอยากให้มันดูมีความเก่าแก่อยู่ในตัวด้วย... เหมือนจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้” คูซิโอะ เล่าต่อ “เรื่องราวส่วนใหญ่เกิดขึ้นในบ้าน เราอยากให้รู้สึกถึงความสบาย แต่ยังรู้สึกได้ว่าอยู่กลางป่าเขา กลางที่ลึกลับลึกลับ”
สำหรับการสร้างความหนักแน่นให้บรรยากาศที่ดูไร้กาลเวลาจำกัด คูซิโอะ และ แฮนค็อก เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีอายุเพื่อสะท้อนความรู้สึกออกมา “โทรศัพท์คือสิ่งล้ำสมัย แต่อย่างอื่นเป็นสิ่งที่คุ้นตาดี” คูซิโอะ กล่าว
ห้องนอนของ เซอร์จีย์ ถูกออกแบบขึ้นมาให้สะท้อนตัวละครของเขา ที่มีสีเข้มและแปลกผิดธรรมชาติมากกว่า มีการใช้โทนสีเขียว ม่วง และที่นอนสีดำ ห้องของเขาต่างจากส่วนอื่นในบริเวณบ้านที่ดูเงียบสงบและงดงามอย่างเป็นธรรมชาติ การออกแบบต้องอาศัยไม้ (หลังจากนั้นจะมีการเปลี่ยนเป็นกระท่อม) พร้อมด้วยลูกเล่นของเหล็กที่สะท้อนถึงเครื่องจักร “เรามีงานแกะสลักดอกไม้จกาหลักและสิ่งอื่นๆ ที่แฝงความหมายเอาไว้” ผู้ออกแบบกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
เป้าหมายของผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย วาเนสซ่า พอร์เตอร์ ในการร่วมงานกับ แฮนค็อก คือการออกแบบเครื่องแต่งกายที่ถ่ายทอดและสะท้อนถึงความซับซ้อนของตัวละคร และต้องอิงตามหลักความเป็นจริง มีความงดงามที่แฝงรายละเอียดความล้ำสมัยเข้าไปด้วย พอร์เตอร์ ตื่นเต้นกับคอนเซ็ปต์อนาคตอันใกล้และความท้าทายในการออกแบบของโลกที่ต้องให้ความรู้สึกคุ้นตาและมีอะไรมากกว่านั้น เธออธิบายว่า “คอนเซ็ปต์อนาคตอันใกล้ต้องสะท้อนถึงภาพของช่วงเวลานั้น การแต่งตัวของผู้คนคือสิ่งที่สร้างความสนใจให้เกิดขึ้นตลอดการทดลอง และรายละเอียดเกี่ยวกับหุ่นยนต์ การแต่งตัวของผู้คนในกลุ่มผู้ร่วมเดินทาง ทุกอย่างคือเรื่องตื่นเต้นเมื่อได้คิดถึงมัน”
เสื้อผ้าของ ไอริส ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อยกระดับตัวละครของเธอ เริ่มจากความเรียบง่ายที่ดูสบาย สะท้อนถึงธรรมชาติที่เธอถูกวางโปรแกรมเอาไว้ จนเริ่มมีความมั่นใจ มีความอิสระเมื่อเธอค้นพบตัวตนที่แท้จริง อีกมุมที่สำคัญในการออกแบบเสื้อผ้าของเธอคือต้องแน่ใจว่าผู้ชมไม่ทันจับสังเกตได้ว่ากำลังดูเรื่องราวเกี่ยวกับอนาคตอันใกล้ เสื้อผ้าของเธอต้องดูเข้าถึงได้และทันสมัย แฝงเทรนด์แฟชั่นแห่งอนาคตเอาไว้ด้วย คำตอบเกี่ยวกับลุคของเธออยู่ในอนาคตที่ผ่านมา
พอร์เตอร์ ยอมรับว่า “เราตัดสินใจเลือกให้ดูเรียบง่ายและเข้าถึงได้ เรามีไอเดียเกี่ยวกับแฟชั่นที่ซ้ำและวนไปมา มีกลิ่นอายของเรโทรฟิวเจอร์ ส่วนใหญ่ได้อิทธิพลมาจากสไตล์ยุค 60 ที่ดูสะอาดและมินิมอล”
การร่วมงานกับ โซฟี แทตเชอร์ มีผลต่อการออกแบบเครื่องแต่งกายให้ ไอริส พอร์เตอร์ เล่าว่า “เมื่อเราได้ร่วมงานกับโซฟี เธอกับฉันมาพร้อมความรู้สึกของออเดรย์ เฮพเบิร์น คลื่นลูกใหม่แห่งยุค 60 ซึ่งเหมาะกับรูปร่างของโซฟีและความงดงามในแบบเธอทั้งฐานะนักแสดงและศิลปิน”
เสื้อผ้าของ ไอริส มีการเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งเรื่อง สะท้อนถึงกาเปลี่ยนแปลงในตัวละครของเธอ ในช่วงแรกชุดของเธอถูกออกแบบให้เคร่งขรึมและเรียบง่าย เหมาะกับบุคลิกสาวข้างบ้านที่ จอช เป็นคนเลือก พอร์เตอร์ อธิบายว่า “ในช่วงแรกเธอหลงใหลจอชมาก เห็นได้จากการแสดงออกของเธอและเสื้อผ้า”
เมื่อ ไอริส เริ่มเปิดรับความเป็นอิสระของเธอ เสื้อผ้าของเธอก็เริ่มเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน พอร์เตอร์ ยกตัวอย่าง “เธอมีความคิดชัดเจนว่าตัวเองมีพลัง และจัดการตัวเองได้โดยใช้เสื้อผ้าของแคทที่อยู่ในบ้าน ซึ่งนั่นยังเป็นการสะท้อนถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่เธอได้เป็นตัวของตัวเองด้วย”
สำหรับตัวละคร จอช ของ เควด พอร์เตอร์ ตั้งใจให้เขาดูมีความเป็นธรรมชาติที่ดูเหมือนผู้ชายทั่วไป และตัวละครที่มีด้านมืดอยู่ในตัว เสื้อผ้าของเขาต้องสะท้อนถึงบุคลิกที่เห็นได้ชัดเจนและจุดผลิกผันเรื่องราว
“เราอยากให้เสื้อผ้าชวนรู้สึกถึงสิ่งที่เราสามารถสวมใส่ได้จริงตอนนี้ เสื้อผ้าทั้งหมดจึงเป็นแบรนด์แฟชั่นร่วมสมัย ไม่ใช่วินเทจ” พอร์เตอร์ กล่าว เมื่อเรื่องราวดำเนินไป ตัวตนที่แท้จริงของจอชกลายเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนขึ้นเสื้อผ้าของเขายังคงความธรรมดา แม้ว่าตัวละครของเขาจะมีท่าทีในทางตรงกันข้ามก็ตาม
การออกแบบสำหรับ แพทริค ก็มีความท้าทายพอกัน “มันสนุกมากเพราะแพทริคเป็นคนละเอียดอ่อนมาก” พอร์เตอร์ กล่าว “ฉะนั้นเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่บวกกับลุคและรอยสักที่เห็นชัดเจนนั้น ดูไม่เหมาะกับตัวเขาเลยสักนิด มันสื่อถึงความเป็นแบดบอยที่ทำให้อีไลรู้สึกว่ามีเสน่ห์เหลือเกิน” ความขัดแย้งในตัวนี้เพิ่มความซับซ้อนให้ตัวละคร ทำให้เขาดูเป็นคนที่ทั้งเหมาะสมและไม่เข้าตาเลย
พอร์เตอร์ ต้องการให้ชุดของ อีไล “ดูเป็นชุดที่สวมใส่ง่ายๆ น่ารัก ไม่เป็นทางการนักและดูสบาย สื่อถึงความร่าเริงและสิ่งที่ผู้ชมมองเห็นภาพตัวเองสวมชุดนั้นได้”
เก็บเกี่ยวช่วงเวลาแห่งความสุขของคุณไว้ ก่อนที่จะไม่เหลือให้คุณ พบกับเรื่องราวความรักสุดแปลกที่อยากให้คุณได้เข้าไปสัมผัส “Companion - คอมแพเนียน” วันนี้ในโรงภาพยนตร์และระบบ IMAX