Wonka : ผลงานแด่คนช่างฝันและชุบชูใจส่งท้ายปี ผ่านวิชวลสุดตระการตา มิวสิคัลที่ไพเราะ และวิธีมองโลกที่จะชวนให้คุณหัวใจพองโต | Film to Watch Short Review
กว่า 5 ทศวรรษที่ ‘วิลลี่ วองก้า’ ตัวละครสุดไอคอนนิคจากหนึ่งในนวนิยายขายดีที่สุดตลอดกาล ‘Charlie and the Chocolate Factory’ ของ โรอาลด์ ดาห์ล ปรากฏตัวสร้างสีสันบนโลกภาพยนตร์มานับตั้งแต่ปี 1971 และตอนนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้สำรวจเส้นทางชีวิตช่วงวัยหนุ่ม ก่อนที่นักคิด นักประดิษฐ์ และนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนนี้ จะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าของโรงงานช็อกโกแลตใน “Wonka วองก้า”
Wonka เป็นผลงานการกำกับและร่วมเขียนบทโดย พอล คิง (Paddington) กับการอ้างอิงและดัดแปลงนวนิยาย Charlie and the Chocolate Factory เป็นภาพยนตร์ครั้งที่ 3 ซึ่งครั้งนี้ทีมผู้สร้างเลือกที่จะเล่าย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นของ วิลลี่ วองก้า (รับบทโดย ทิโมธี ชาลาเมต์) ช่วงวัยเยาว์ที่เปี่ยมด้วยแพชชั่นในการสร้างสรรค์หลากช็อกโกแลตสุดแสนมหัศจรรย์และวิสัยทัศน์การมองโลกในแง่ดี ขณะเดียวกันวิลลี่ก็ต้องฟันฝ่าหลากวิกฤตจากเหล่าสมาคมผู้ค้าช็อกโกแลตที่หวังผูกขาดธุรกิจนี้ รวมถึงพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จริงและเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้
ก่อนที่เราจะพูดถึง Wonka มากกว่านี้ ผมขอย้อนรอยสู่ต้นกำเนิดกันสักนิดครับ Charlie and the Chocolate Factory คือนวนิยายขึ้นหิ้งสำหรับเด็กที่ไม่ว่าใครได้อ่านก็ต่างตกหลุมรัก เปี่ยมล้นด้วยความสนุกสนาน ชวนติดตาม ผ่านเรื่องราวแฟนตาซีที่เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน ขณะเดียวกันก็แฝงประเด็นผู้ใหญ่อย่างเรื่องของครอบครัว ชนชั้น และระบบทุนนิยมเอาไว้อย่างมีชั้นเชิง ซึ่ง Wonka สามารถรักษาหัวใจเหล่านี้จากต้นฉบับเอาไว้อย่างครบถ้วนครับ
ครอบครัว ชนชั้น และระบบทุนนิยมยังคงเป็นประเด็นหลักที่ Wonka หยิบยกมาพูดถึง และยังไม่ลืมที่จะบอกเล่าให้คนดูทุกกลุ่มเข้าใจง่ายอย่างมีชั้นเชิงในการเล่า โดยมี ‘ความฝัน’ เป็นแก่นหลักในการดำเนินเรื่อง ขับเคลื่อนให้วิลลี่ไม่หยุดที่จะลงมือทำ แม้ต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรค์ในโลกทุนนิยมที่เหล่าผู้ประกอบการจ้องแต่จะหาผลประโยชน์จากคนยากไร้และเหล่าชนชั้นแรงงาน แต่เขาก็มองโลกในแง่บวกอยู่เสมอ แม้ล้มลงแต่ไม่เคยเลิกคิดที่จะลุก ค่อยๆ คิดแก้ปัญหาและเดินหน้าต่อ เพื่อพิสูจน์ประโยคที่คุณแม่ผู้เป็นแรงบันดาลใจเหลือทิ้งไว้ให้กับเขาว่า ‘ทุกสิ่งดีๆ ในโลกนี้เริ่มต้นทาจากความฝัน’ สามารถเกิดขึ้นได้จริงและเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้
ขณะเดียวกัน Wonka ถือเป็นผลงานที่โดดเด่นในแง่ของวิชวลสุดตระการตากับโลกแห่งจินตนาการที่แสนสดใส เพลิดเพลินไปพร้อมกับหลากเพลงเพราะและความเป็นมิวสิคัลที่จะทำให้คนดูรู้สึกมีชีวิตวีชาไปตลอดทั้งเรื่อง มีอารมณ์ขัน ครบเครื่องความบันเทิงแบบสุดๆ โดยเฉพาะตัวละคร ‘อุมปาลุมป้า’ (รับบทโดย ฮิว แกรนต์) อีกหนึ่งภาพจำจากนวนิยายต้นฉบับ ที่เข้ามาช่วยเพิ่มสีสันและขโมยซีนได้แบบน่ารักกำลังดี
นอกจากนี้ การแสดงในระดับฉายแสงทั้งร้องและเต้นของ ‘ทิโมธี ชาลาเมต์’ ก็เปี่ยมด้วยมวลพลังแห่งความสดใส เป็นมิตรภาพ และมองโลกในแง่บวก จนเราคนดูอย่างเราร่วมลุ้นและรู้สึกเอาใจช่วยวิลลี่ทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับหลากปัญหา ไปจนถึงขั้นแอบน้ำตาซึมเบาๆ (ด้วยความยินดี) ในวันที่เขาประสบความสำเร็จ
สรุปภาพรวมจากทั้งหมดที่กล่าวมา สำหรับผมแล้ว Wonka ถือเป็นผลงานชุบชูใจส่งท้ายปีครับ พร้อมสดุดีแด่คนช่างฝันที่ยังคงพิสูจน์สิ่งเหล่านั้นผ่านการลงมือทำ มีวิชวลที่สดใส อุดมด้วยเพลงเพราะความหมายดี เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย แม้ประเด็นจะดูผู้ใหญ่แต่เด็กสามารถเข้าใจง่าย ดูจบแล้วหัวใจของคุณจะต้องพองโตราวกับต้องมนต์สะกดในรสชาติช็อกโกแลตของ ‘วิลลี่ วองก้า’ อย่างแน่นอน
ปล. ถึงแม้ว่า Wonka จะไม่มีสัดส่วนภาพขยายในระบบ IMAX ก็จริง แต่การได้ดูผลงานเรื่องนี้บนจอใหญ่ยักษ์ ผ่านเครื่องฉายที่คมชัดระดับ 4K ภาพสวยสีสดใส ระบบเสียงที่ขับเน้นความเป็นมิวสิคัลได้ถึงขีดสุด บอกเลยครับว่านี่คืออีกหนึ่งประสบการณ์ที่หากมีโอกาส ก็อยากให้ทุกคนได้ลองสัมผัสกันครับ