บทสัมภาษณ์ “ณัฎฐ์ กิจจริต” รับบทเป็น “ต้อ” หนึ่งในนักแสดงนำจากภาพยนตร์เรื่อง “14 อีกครั้ง I Love You Two Thousand”
สิ่งที่ทำให้นักแสดงหลักอย่าง “นัท ณัฎฐ์ กิจจริต” ไปได้ไกลและไปได้สวยในวงการซีรี่ส์และภาพยนตร์ ก็คือการทำการบ้านกับบทอย่างใส่ใจทุกรายละเอียด ฉะนั้นในเรื่องนี้ “14 อีกครั้ง I Love You Two Thousand” จะได้เห็นมุกที่ “ต้อ” พูดออกมา ความรู้สึกที่ส่งออกไป มักเป็นการด้นสนของ นัท ที่หน้าเซทอยู่เสมอ บวกกับความโชคดี ในการร่วมงานกับคนคอเดียวกันอย่างผู้กำกับ เป้ นฤบดี เวชกรรม ทำให้ตัวละครของ “ต้อ” ดูเป็นมนุษย์อุดมไปด้วยมุกแพรวพราวเกือบทั้งเรื่อง “ใครกลั้นไว้ ไปก่อนเลย” กับ “แล้วแต่นัท” วลีที่มักจะได้ยินบ่อยๆ เวลาที่พระเอกอย่าง นัท ณัฎฐ์ กิจจริต เข้าฉากถ่ายทำ
ณัฎฐ์ กิจจริต (นัท) @natkitcharit สถาปนิกรุ่นใหม่ไฟแรง ที่สนุกกับวงการบันเทิง เกิด 13 ธันวาคม 2536 จากรั้วอัสสัมชัญศรีราชา และจบการศึกษาที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ที่ The university of New South Wales คณะ Landscape Architectureนักแสดงที่การันตีด้วยรางวัลสุพรรณหงส์ ปี 2564 สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และรางวัลจากขมรมวิจารณ์บันเทิง สาขานักแสดงสมททบชายยอดเยี่ยม จากปีเดียวกัน
ผลงานที่ผ่านมา App War แอปชนแอป,4 kings อาชีวะ ยุค 90, Fast and Feel love รางวัลที่เคยได้รับ รางวัลระฆังทอง ครั้งที่ 7 รางวัลบุคคลดีเด่นแห่งปี ประเภทศิลปิน สาขาสร้างสรรค์ สนับสนุนสังคมดีเด่นรางวัลปลอดบุหรี่ดีเด่น สาขา นักแสดงดาวรุ่งชาย,Yniverse Awards 2020 สาขานักแสดงบทสมทบชายยอดเยี่ยม
“ตอนไปอยู่ที่จันทบุรี ผมก็สังเกตผู้คนที่นั่น ได้เจอกับพี่ต้อตัวจริง ก็เรียนรู้ว่าเพราะอะไรต้อถึงได้ยังยืนอยู่ตรงนี้ เขาเป็นคนยังไงกันแน่ อย่างนึงคือต้อแค่พอใจอะไรๆ อยู่ตรงนี้ แม้กระทั่งรองเท้าที่ใส่มาตั้งแต่มัธยม ก็แค่ใส่สบายก็พอแล้ว ผมก็ยังต้องพยายามเข้าใจคนอารมณ์แบบต้อ การเล่นมุกเพื่อคลายบรรยากาศใด ก็คือ ไม่ใช่หน้าที่เขา แต่มันเป็นตัวเขาเลย จนหลังๆ น้าเป้ (ผู้กำกับ) ก็จะพูดเลยว่า แล้วแต่นัท”
ใน 14 อีกครั้ง นัทมารับบทเป็น ต้อ คาแร็กเตอร์เป็นคนแบบไหน
นัท ณัฎฐ์ : ในเรื่อง 14อีกครั้งผมรับบทเป็น “ต้อ” ต้อก็เป็นหนุ่มขลุงที่ไม่มูฟออนเท่าไหร่ เขาก็จะวนเวียนในตัวเลข 14 นี่แหละ คือตอนที่ผมได้รับบทนี้น้าเป้ที่เป็นผู้กำกับ (นฤบดี เวชกรรม) กับพี่ออมที่เป็นแคสติ้ง จะบอกว่าตัวต้อมีความเป็นมนุษย์สูงมาก เขาจะคอยมองสิ่งต่างๆตลอดจะเล่นมุกจะคอยทำให้บรรยากาศมันเบาขึ้น สมมติว่าบรรยากาศมันเครียดต้อจะเป็นคนที่เข้ามาเล่นมุก ผมก็พยายามคิด คอยมองคนที่มีอารมณ์ทำนองนี้รอบตัว
แต่ว่าหลักๆ เลยที่ตัวละครต้อมันเริ่มทำงานกับผมจริงๆ คือเรื่องการไม่ค่อยมูฟออน ไม่ค่อยทิ้งกับเรื่องราวอะไรเท่าไหร่ ถ้าสังเกตตั้งแต่การแต่งตัว ก็จะเห็นว่าต้อใส่แต่รองเท้าเดิมๆ ใส่รองเท้านักเรียนมาตั้งแต่ตอนเรียนยังไง ตอนนี้ก็ยังไม่มูฟออนจากมัน หรือแม้แต่ความรักของเขากับเพื่อนเขายังวนอยู่ในลูปต้อเขาจะมีคาแร็กเตอร์ประมาณนั้น
ก่อนจะมาแสดง มีการเวิร์กชอปมาก่อนไหม
นัท ณัฎฐ์ : เวิร์กชอปเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องครับ เช่น น้องชายเราเป็นใคร น้องชายเราสนิทกับใคร เราชอบใคร เราต้องเล่นร่วมกับใครบ้าง จะเวิร์กชอปในแง่ของโครงสร้างความสัมพันธ์เป็นยังไง แต่หลักๆ น้าเป้ (ผู้กำกับ) ก็จะบอกว่า มันสำคัญมากเหมือนกันที่จะมาหาโมเมนต์ที่มันพิเศษที่หน้างาน เรื่องนี้น่าจะเป็นครึ่งๆ เลยที่เวิร์กชอปประมาณนึง แล้วเราก็มาหวังผลหน้างานด้วยส่วนนึง
ตัวต้อกับนัท มีอะไรต้องปรับเปลี่ยนหรือเหมือนกันไหม
นัท ณัฎฐ์ : มีคนถามเรื่องนี้บ่อยนะ เพื่อนนักแสดงก็จะมาถาม คือผมรู้สึกว่าต้อมันเป็นอะไรเล็กๆ ที่เราเอาไว้เล่นกับเพื่อนในชีวิตจริงของผม แต่รอบนี้เหมือนเราต้องถ่างออกมาเป็นหนึ่งชีวิต ความรู้สึกผมมันเหมือนต้องเล่นมุก ต้องเอนเทอร์เทนตลอดเวลา มันเหนื่อยมันขัดกับธรรมชาติของผมนิดนึงครับ ถามว่าเราก็มีเหลี่ยมนั้นเหมือนกันไหม ก็มีนะแค่ว่ามันจะออกมาสั้นไม่มากเท่ากับที่เป็นต้อ พอเป็นต้อต้องใช้โหมดนี้ตลอดเรื่องเลยมันแปลกดีครับ แต่ในแง่นึงผมกำลังมองหาบทแบบนี้อยู่ด้วย จากที่ก่อนหน้านี้เราเล่นแต่บทเครียดๆ เดี๋ยวเป็นนักกีฬา (app war แอปชนแอป) เดี๋ยวเป็นอาชีวะ (4 kings อาชีวะยุค 90) มันเครียด ซีรีส์ที่เพิ่งปิดกล้องไปก็เครียด โชคดีที่พอมาถึงเรื่องนี้มันได้วางทุกอย่าง แล้วหายใจหายคอ สบายๆ
ตอนแรกก็ต้องปรับตัวมาก แต่ระหว่างนักแสดงด้วยกันมันก็สนิทกันมาเรื่อย ความพิเศษของกองนี้ก็คือ เราเริ่มเดินทาง เริ่มสนิทกับทุกฝ่าย ทีมอาร์ต ทีมแต่งหน้า ทีมเสื้อผ้า ผมว่าพอพลังงานในกองมันสนุก การมีโมแมนต์เล็กๆ น้อยๆ แบบนี้มันน่ารักดี และผมว่ามองย้อนกลับมามันจะไม่ได้พูดแค่เรื่องทำงานในกองแต่อาจจะพูดถึงทีมงาน คนนี้แต่งขาสั้น คนนี้แต่งตัวตลกอะไรอย่างนี้ครับ การอยู่กองถ่ายนี้มันผ่อนคลาย มันก็เลยเป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินไปที่จะเป็นต้อในการแสดง
ร่วมงานกับณิชาเป็นยังไงบ้าง
นัท ณัฎฐ์ : จำได้ว่าเจอณิชาครั้งแรกเจอที่วันฟิตติงแล้วก็วันเวิร์กชอป มันมีกิจกรรมที่ทำร่วมกันคือให้เราสลับกันเล่าเรื่อง แล้วให้ทายว่าเรื่องที่เล่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก เหมือนเป็นการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน แล้วผมทายณิชาผิด 100 % เลยเพราะทุกเรื่องที่เขาเล่ามันขัดกับสิ่งที่เรามองไว้ คือไม่คิดว่าณิชาจะมีมุมนี้ความย้อนแย้งตรงนี้มันก็เป็นอะไรที่ตลกดี เพราะคาแร็กเตอร์เขามีความดุแต่ข้างในคือ ใช้ได้ (ลากเสียง) มีอะไรคาดไม่ถึงเหมือนกัน
นิยามคำว่าใช้ได้ของณิชาหน่อยสิ
นัท ณัฎฐ์ : แสบครับ แล้วก็มีท่าฮัดเช้ยที่ตลกเขาจะโยกทั้งหัวแล้วก็ชอบแกล้ง แต่ข้อดีของณิชาก็คือ ต่อให้ทุกคนที่เขาแกล้งก็จะไม่มีใครโทษเขา เขาจะไม่ใช่คนที่น่าสงสัยจะเป็นพวกเด็ก ๆ เป็นผม เขาก็จะรอดพ้นจากคดีพวกนี้ไปเยอะ อาจเป็นเพราะณิชาเขานิ่งได้เร็ว แต่พวกผมมันพิรุธเยอะไปหมด
คิวแรกๆ ที่ได้เจอกัน แสดงด้วยกันเป็นยังไงบ้าง
นัท ณัฎฐ์ : ดีมากครับ คิวแรกมันก็จะมีงงบ้างเป็นปรกติ แต่ณิชาเขาหัวดี ความที่ต้อมันเล่นไปเรื่อยบางทีมันต้องอยู่ในบทบ้างนอกบทบ้าง ณิชาเขาก็จะรับส่งได้ไว บางทีเขาก็จะเป็นคนที่ดึงผมกลับเข้าเส้นเรื่อง เส้นของไดอะล็อกหลักด้วยเพราะบางทีเราก็พูดนอกบท ความจริงเด็กๆ ก็ด้วย เขาจะคอยดึงสติผม ให้กลับมาพูดอยู่ในร่องในรอยเถอะ ผมว่าการที่ผมทำงานแล้วมาเจอกับพาร์ตเนอร์ที่พร้อมรับส่งมันสนุกมากซีนมันไปของมันเรื่อยเลยครับ
เล่าให้ฟังหน่อยว่าร่วมงานกับน้องๆ เป็นยังไงบ้าง
นัท ณัฎฐ์ : ในเรื่องเขาใช้ชื่อ แก๊งหัวหมา ก็มี น้องเล็ก น้องโยชิ น้องวีเจ น้องโมเน่ต์ น้องแฟร์รี่ (ธีรเวช สุภาวงษ์,สุริยาวิชญ์ ถนอมชัยสนิท,นพรุจตันธนวิกรัย, ภาริตา ริเริ่มกุล, กิรณา พิพิธยากร) คัดแยก น้องภูผา (อินทนนท์ แสงศิริไพศาล) ไว้คนนึงนะ คนอื่นผมเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกครับ แต่ก็ทราบมาว่าแต่ละคนมีผลงานมาอยู่แล้ว ไม่เคยเป็นห่วงเรื่องวิธีการทำงานเลย เป็นห่วงว่าจะคุยกับเขาได้หรือเปล่าแบบนี้มากกว่า แต่น้องเขาก็จะตั้งใจ ก่อนเข้าเซ็ตก็จะจับกลุ่มทำสมาธิอะไรกัน ซึ่งอันนี้น่าชื่นใจนะ ผมรู้สึกว่าแต่ละคนน่าจะโตไปเป็นคนทำงานที่ดีแบบนี้ได้ ขอแค่ให้รักษามาตรฐาน
แต่ว่าภูผาเคยเจอมาแล้วครั้งนึง เจอกันตั้งแต่ตัวเล็ก ความรู้สึกคล้ายว่าผมเป็นผู้ปกครอง รู้สึกอยากจะแชร์หนังเรื่องนี้ให้ทุกคนดู อยากให้น้องไปต่อเรื่อยๆ เราโชคดีที่เราเห็นมาแล้ว 2 โพรเจกต์ของน้อง พัฒนาการเขาเยอะมาก ความนิ่งของโฟกัสก็ดีขึ้น น่าจับตามองครับ
ร่วมงานกับน้องผู้หญิงอีก 2 คน แฟร์รี่ กับ โมเน่ต์ เป็นยังไงบ้าง นัทมีโหมดเข้ากับสาวๆ ยังไง
นัท ณัฎฐ์ : เจอก็คุยเล่นกันปรกติครับ น้องจะมีโลกของพวกเขากันอยู่ แต่ถ้ามองย้อนกลับไปถึงแฟร์รี่กับโมเน่ต์นะ สงสารโมเน่ต์ที่ต้องใส่วิกตลอด มันเสียสมาธิเหมือนกันนะ แต่น้องเก่งเลยในเรื่องของสมาธิ
ส่วนแฟร์รี่ เรารู้จักพี่สาวของแฟร์รี่ รู้จักมินนี่ รู้จักที่บ้านเขาปาป๊าเขา ก็เลยไม่ได้เกร็งมาก น้องน่ารักครับตัวเล็กตัวน้อย ผมว่ายิ่งมันผ่านคิวกันมาเรื่อยๆ มันก็มีการแกล้งกัน หลังๆ เริ่มโดนแซวบ้างละ การร่วมงานกันมาจนถึงช่วงท้าย มันไม่ได้แยกว่าคนนี้เด็กผู้หญิง เด็กผู้ชาย แต่นี่มันเป็นแก๊งเขา แก๊งคนแก่ แก๊งเด็ก เราแบ่งกันแบบนี้แล้ว
ทำงานกันมาจนถึงวันนี้ อินหรือยัง
นัท ณัฎฐ์ : จริงๆ เริ่มรู้สึกอินตอนมาถึงที่จันทบุรี ตอนแรกผมก็นึกไม่ออกว่า มนุษย์ลักษณะนี้เขาโตมาในแวดล้อมแบบไหน ต้อมันต้องยังไงความเจ๋งคือ มาที่นี่เราได้เจอกับพี่ต้อตัวจริงด้วย คิวที่อู่ซ่อมรถ พี่ต้อเอากีต้าร์มาให้เล่น เขาคือทุกอย่างที่น้าเป้เล่าให้ฟัง
มีอยู่ซีนนึงที่พี่ต้อตัวจริงมาร่วมซีน ในเรื่องผมต้องเดินมาท้ายสุด แล้วผมก็รู้ละว่ามันไม่ได้หวังผลอะไรหรอกกับซีนนี้ เพราะมันเป็นการเล่นกันท้ายซีนละ ผมก็เล่นเอาสนุกเลย เขายื่นไอศกรีมให้แล้วก็ต้องแกล้งทำตก ในบทมีแค่นั้น เขายื่นมาตามบทแล้วก็ทำตก ผมก็เอาเลย เฮ้ย...รู้ป่าวว่าต้อโมโหร้ายนะ เขาสวนขึ้นมาเลยว่า เปลี่ยนจากโมโหเป็นเบอร์โทรได้ไหม เนี่ยคือพี่ต้อตัวจริงแกทำทุกอย่างซอฟต์ลงได้
แล้วพี่ต้อแกมาเล่น แกไม่ได้เข้าใจกล้องเข้าใจซีน แต่เขามีเซนต์ในการทำอย่างนี้เลย ผมก็เลยโอเคเรามาถูกทางละแปลกดีครับ มันก็สนุกขึ้นเรื่อยๆ
พูดถึงผู้กำกับอย่างพี่เป้บ้าง (นฤบดี เวชกรรม) ทำงานร่วมกันเป็นยังไงบ้าง
นัท ณัฎฐ์ : มันมีอยู่คิวนึงผมจำแม่น น้าแอน (โพรดิวเซอร์) แล้วก็โอมลูกชายน้าเป้ ผมกินข้าวที่ตรงหน้าสวัสดิการแล้วเดินสวนกับน้าเป้ น้าเป้หน้าหมองเลย แกหันมาถามเสียงอ่อยๆว่า นัท เห็นครอบครัวเราไหม แกจะชอบเดินมาแล้วก็ยิงมุก แล้วก็ด้วยความที่แกเป็นคนจันทบุรี มันจะมีทางมุกอะไรบางอย่างที่เหมือนกับปาป๊าผม ปาป๊าผมก็คนจัน ไอ้การเล่นอะไรแบบนี้มันก็จะเหมือนเจอญาติผู้ใหญ่ คนนี้น่ากลัว คนนี้ปล่อยออร่า ตลกดี
ในการทำงาน มันก็จะมีคิวสองคิวแรกที่ต้องจูนกัน แล้วก็อ๋อ โหมดประมาณนี้ที่น้าเป้เขามองหาอยู่ คือบางทีผมติดนิสัยการจำทุกอย่างไว้ให้แน่นแล้วก็เหมือนมาแสดงในสิ่งที่ซ้อมมา แต่สิ่งที่น้าเป้อยากได้มันเป็นโมเมนต์ความพิเศษระหว่างมนุษย์ บางทีเราต้องทิ้งไว้ครึ่งนึงแล้วก็มาหาเอาข้างหน้างานอย่างที่เล่าให้ฟัง ผมว่านอกจากความตลก มันเป็นการที่ค่อยๆ จูนกันมากกว่า หลังๆ พอทำงานแล้วผมเสนออะไร เล่นอะไรออกไป น้าเป้ก็จะบอกว่าแล้วแต่มึงแลย แล้วแต่นัทเหอะ เราก็เริ่มดีใจว่าเออแสดงว่ามันเริ่มมีความไว้เนื้อเชื่อใจกันระหว่างตัวแสดงกับผู้กำกับ พอมาถึงคิวที่เราเดินทางมา น่าจะประมาณครึ่งทาง มันเริ่มเกิดสิ่งพวกนี้ ผมก็ว่าโอเคเลยมันได้แชร์กันแล้วน้าเป้ก็ให้โอกาส
เมื่อกี้บอกว่าคุณพ่อก็เป็นคนจันทบุรี อะไรจะบังเอิญกับเรื่องนี้ขนาดนั้น
นัท ณัฎฐ์ : ใช่ครับ แล้วแปลกไหม คนแบบพี่ต้อตัวจริงก็มีบางอย่างเหมือนพ่อผม คือมันพูดยากอย่างป๊าผม เป็นมนุษย์ที่สามารถเอาถั่วฝักยาวใส่ไว้ในฟัน แล้วก็อมไว้อย่างนั้นเพื่อรอไปเจอเพื่อนตอนกินข้าว เหมือนกับเป็นคนลงทุนกับอะไรแบบนี้ แล้วน้าเป้ให้เซนต์มาแบบนั้นเหมือนกันการแบบตั้งใจเล่นมุก แล้วช่วงหลังมาคุยกับแกเยอะขึ้นอย่างเช่นเรื่องเตะบอล ยิ่งรู้สึกเหมือนพ่อมาก น้าเป้เหมือนปาป๊ามากก็ไม่รู้ว่าชายชาวจันทบุรีอารมณ์นี้กันเยอะไหม
แล้วมีฉากไหนบ้างที่อยากจะพูดถึง
นัท ณัฎฐ์ : จริงๆ ผมชอบฉากที่มีแม่กับกิ๊บ(ไก่-สุปราณี เจริญผล รับบทเป็นแม่กิ๊บ) คือ ณิชาขับมอเตอร์ไซด์มา
ผมเดาว่ามันไม่ได้อยู่ในหนังหรอก แต่ที่ชอบฉากนี้ก็เพราะว่า ตามซีนคือผมต้องถือหม้อแล้วก็หันกลับมา แล้วณิชาก็จะเข้ามาจอดมอเตอร์ไซด์พอดีที่ท้ายกระบะ แต่พอณิชามาจอดผมหันกลับมา ณิชากำลังจะเสยกระบะอยู่แล้ว แง่นๆ บิดคันเร่งแรงเลย แล้วไอ้ที่ปิดตอนหลังของกระบะ มันก็กระเดิดขึ้น ผมก็เฮ้ย..ตอนแรกคิดว่าณิชาเขาจะเล่นแบบนั้นแล้วทิ้งมอเตอร์ไซด์ไปแล้วเดินขึ้นรถ ตัวละครมันรีบไง เราก็เออมาแบบนี้แล้วไปต่อเลยสักพักณิชาไม่ไหวหลุดขำเพราะมันคงอันตราย ก็เลยชอบฉากนั้นมาก มันเป็นการข้ามเส้นเล็กๆ ของณิชา คือเขาไม่เคยขับมอเตอร์ไซด์ เห็นเขาไปเรียนขับตั้งอกตั้งใจ มันน่ากลัวนะเพราะมันคือรถชนแล้ว แต่เขาไม่กลัวก็เลยชอบซีนนั้น
จริงๆ ชอบเยอะนะที่ผ่านมา แต่ผมเป็นคนชอบโมเมนต์เล็กๆ ที่เจอในซีน อย่างล่าสุดก็คือต้องขับรถเข้ามาแล้วจอดรถส่งเด็กๆ แต่วันถ่ายพี่คนที่มาเล่นเป็นแท็กซี่ รถแดงของที่จัน คล้ายรถแดงที่เชียงใหม่ เขาเหมือนออกตัวช้านิดนึง ไม่แน่ใจว่าเพราะรถหรือเพราะผิดคิว พอผมเข้ามาจะจอดผมก็บีบแตร แล้วก็บอกลุงถอยไป ลุงก็ค่อยๆ ออก แล้วพอมาย้อนดูหน้ามอนิเตอร์ มันดูว่าต้อเลวดี (หัวเราะ) คือข้างหน้ามึงก็ทางม้าลาย เด็กนักเรียนก็กำลังเดินข้าม แต่มันเกิดจากความไม่ได้คิด แบบหลบไปกูจะมาส่งน้องกู น้องกูสายแล้ว เออมันแบบดูตอบโจทย์คาแร็กเตอร์แบบต้อดี
แล้วมันมีโมเมนต์แบบนี้เยอะนะครับ แบบทำไปเลยไม่ต้องคิดอะไรแล้วน้าเป้ดันชอบ ฉากเล่นกีต้าร์ก็ชอบ เพราะพี่ต้อตัวจริงมาสอน แล้วก็น้องโอมลูกชายพี่เป้ก็มาสอนให้ การจับพาวเวอร์คอร์ดอะไรต่ออะไร ก็ใหม่ดีครับ จริงๆ ผมก็เล่นพอได้ครับแต่ไม่ได้เล่นแบบจริงจัง แล้วก็เป็นการเล่นแบบเด็กทั่วไปเปิดคอร์ดเล่นกับเพื่อน เล่นแบบไม่ได้พยายามจะเป็นนักดนตรีที่ดี เราเล่นเพราะเราชอบ
เรื่องนี้พูดถึงช่วงวัยอายุ 14 ตอนนั้น นัททำอะไรอยู่ มีวีรกรรมอะไรบ้างไหม
นัท ณัฎฐ์ : ช่วงนั้น ม.2 -ม.3 น่าจะได้ ตอนนั้นเป็นช่วงคาบเกี่ยว กำลังเรียนอัสสัมชัญ แล้วกำลังจะโดนโยกไปที่
ซิดนีย์ ออสเตรเลีย ผมต้องไปต่อที่นั่น ช่วงอายุ 13 - 16ได้ ตอนนั้นเป็นช่วงทำให้ตัวเองเป็นคนตัวเล็กที่สุดเงียบที่สุด เพราะเราอยู่หลายสภาพแวดล้อม เราย้ายจากชายล้วนไปอยู่โรงเรียนสห ย้ายจากสหไปอยู่โรงเรียนกับฝรั่ง จากฝรั่งไปอยู่มหาวิทยาลัย มันเป็นช่วงที่เปลี่ยนผ่านเยอะ 14 ของผมมันก็ทำยังไงก็ได้ ให้มันผ่านไปง่ายๆ ไม่ได้อยากเด่นมากเดี๋ยวมีปัญหา แล้วตอนนั้นมันเป็นการปรับตัวซะเยอะ ไม่ค่อยรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างช่วงนั้น
พอมาเล่นเรื่องนี้นะ มองย้อนกลับไปยังนึกไม่ออกเลยว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงอายุนั้น จำได้ว่ามันเป็นการเดินทางมาก เป็นการแพลนว่า ต้องเล่นกีฬาจะได้เข้ากับเพื่อนแก๊งนี้ มันเป็นการปรับตัวข่วงนั้น เป็น 14 ที่ไม่สนุกเลย ผมเชื่อว่ายังมีวัย 14 แบบผมอีกเยอะนะ ที่ผ่านเรื่องราวมาแบบเงียบๆ
แต่ก็มีบ้างนะครับเป็นแก๊งเดิม ผมโชคดีที่ตอนเป็นเด็กอนุบาล 1 จนถึงม.3 ไม่เคยย้ายโรงเรียนเลย ดังนั้นเพื่อนที่อัสสัมชัญศรีราชา ก็จะเป็นเพื่อนแก๊งเด็กกลุ่มเดียวเลยที่ทุกวันนี้ก็ยังมีคุยกับบางคนบ้าง ถ้าจำไม่ผิด พี่หรือน้องของณิชาก็เรียนรุ่นเดียวกันกับผมเหมือนกัน โลกกลมมาก แล้วก็ไปเป็นเพื่อนกันตอนเรียนอยู่ที่ออสเตรเลีย แล้วก็กลับมาเป็นเพื่อนแก๊งมหาวิทยาลัย เป็นเพื่อนในการทำงาน มันรวมกันกลุ่มเล็กๆ เป็นแก๊งเดิม ทุกวันนี้ก็ยังเป็นแก๊งอยู่วัยรุ่นช่วงนั้นของผมไม่ค่อยแซ่บ ใครพูดไว้ไม่รู้ มีเด็กสักคนนึงในหมู่นักแสดงนี่แหละ เราเคยคุยกันเรื่องนี้ แล้วน้องบอก พี่ไม่แซ่บ ครับใช่ครับผมไม่แซ่บ (หัวเราะ)
อยากจะบอกอะไรน้องๆ ที่ยังไม่แซ่บตอนนี้
นัท ณัฎฐ์ : ถ้าพูดอย่างจริงๆ เลยคือ ทุกชอยซ์ของการกระทำ มันก็ได้อย่างเสียอย่าง อย่างเราไม่แซ่บไปซะทุกเรื่อง เราก็ไม่ต้องลองอะไรมันทุกเรื่องทุกอย่างหรอก แต่มันก็มีพาร์ตเพื่อนกลุ่มที่เรียนมาทำอะไรร่วมกันมา ผมเชื่อว่ายังมีเด็กแบบผมตั้งเยอะแยะ มีผู้ใหญ่อย่างผมอีกเยอะแยะ อยากทำอะไรก็ทำไปเลย ถ้าจะแนะนำน้องเพียงแค่ว่า รับผิดชอบกับราคาที่ตัวเองต้องจ่าย เช่น อย่างทุกวันนี้ผมไม่ได้โหยหาในการย้อนกลับไปทำให้วัย 14 มันแซ่บขึ้น จะต้องกินเหล้าสูบบุหรี่มาตั้งแต่เด็ก จะต้องมีประสบการณ์ครบถ้วน ดังนั้น ณวันนึงเมื่อเรากลับมาเจอกับเพื่อนๆ อ่อ นายผ่านเรื่องนี้มาเหรอ เราเจอเรื่องนี้มาว่ะ แล้วก็มาแชร์กันได้อยู่ดีในความเป็นเพื่อน
แต่ถ้าเกิดว่า รู้ตัวว่าเป็นคนที่ไม่ได้ทำแล้วจะมีปัญหา ถ้าฉันไม่ได้ลองอันนี้แล้วฉันจะเสียดาย ผมว่าก็ลองได้นะ แต่แค่ว่าต้องรับผิดชอบกับมัน ก็คือ เราทำอะไรลงไปก็ต้องมีราคาที่เราต้องจ่าย ผมไม่เชื่อเรื่องของการต้องมีแบบแผน ผมแค่เชื่อว่าทำอะไรก็ได้ แต่รับผิดชอบนะ จริงๆ มันอาจจะเป็นวิธีคุยที่กว้างมาก แต่ผมคิดอย่างนี้จริงนะ อย่างสมมติวันนึงถ้าเรามีลูก เราก็คงจะบอกว่าอยากทำอะไรทำ แค่ว่าจะต้องมั่นใจว่าราคามันคืออะไร ทำไปเลย
แต่นัทไม่ถึงกับเป็นแบบกิ๊บใช่ไหม ที่เรียนอย่างเดียว
นัท ณัฎฐ์ : ไม่ค่อยครับ บ้านผมก็จะมีขีดบางขีด คือผมไม่ได้โดนเลี้ยงมาแบบเคร่งมาก มันจะมีไม้บรรทัดบางอย่างที่เขาใช้กับผม เหมือนครอบครัวอื่นๆ เช่น ผลการเรียน ก็มีมาใช้บ้างเบสิกมาก
ผมรู้ตัวเองอยู่แล้วว่าผมชอบศิลปะ ทีนี้ ณ ตอนที่เหมือนโดนบังคับเลือกเร็ว ตอนอยู่ที่นั่น year 10 -11 เราต้องเลือกละ เราอยากจะเรียนอะไรบ้าง ตอนนั้นผมแค่ไม่รู้ว่าจะเรียนอะไร แล้วการหาข้อมูลแบบเด็กๆ ก็โอเค fine art มันอาจจะหาเงินยากหน่อยการแข่งขันสูง ขยับขึ้นมาหน่อยก็สถาปัตย์ไหม เป็นสถาปนิกไหม มันคือการเจอกันระหว่างศิลปะกับวิทยาศาสตร์กลางๆ ก็คิดแบบเด็กเลยว่าน่าจะหาเงินง่าย เหมือนแค่พยายามให้ตัวเองอยู่ในละแวกศิลปะโดยที่ยังไม่ได้เข้าใจเวลามันเริ่มเจอจุดที่ชอบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ การแสดง สถาปัตย์ มันก็แค่มีจุดเชื่อมที่สำคัญมันก็คือการทำงานศิลปะใต้เงื่อนไขเฉยๆ ผมชอบการทำงานใต้เงื่อนไข
ในมุมมองของนัทคนนี้ มองต้อและกิ๊บในหนังเป็นยังไง
นัท ณัฎฐ์ : ผมคิดเรื่องนี้บ่อยเหมือนกันนะ ว่าความสัมพันธ์ของต้อกับกิ๊บมันเป็นความรักแบบไหน ถ้าได้ดูหนัง ถ้าได้มีโอกาสอ่านบทมันตีความได้เยอะ ทำไมผมถึงไม่ยอมปล่อยเขาไปสักทีนึง ทำไมยัง
มูฟออนเป็นวงกลม ต้อจะตกอยู่ในมุมมองความสัมพันธ์แบบไหน เชื่อว่าสิ่งที่คนที่เรารักเป็นอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา ต้อมันเป็นคนที่แบบ กิ๊บกลับมาบ้านเราเถอะ กลับมาใช้ชีวิตแบบที่เราโตมา
ต้อเขาจะคิดตลอดว่า การที่เขาอยากให้กิ๊บอยู่ที่ขลุงไปนานๆ อยากให้กิ๊บกลับมาอ่านการ์ตูนเหมือนตอนเด็กๆ มันเป็นเพราะว่าต้อเห็นเวอร์ชันที่แฮปปี้ที่สุดของกิ๊บไปแล้ว ตอน 14 สำหรับผมจะมองว่ามันไม่มูฟออนก็ได้ คือเราก็ไม่รู้ว่ากิ๊บที่กรุงเทพเขาไปเจออะไรมาบ้างเราเห็นความเศร้าบางอย่าง ผมว่ามันไม่แปลกที่ทำให้ต้อมีความคิดต่อกิ๊บแบบในหนังที่สื่อสารออกมา มันเป็นความพยายามที่จะรักษา หรือเอากิ๊บคนเดิมคืนมามากว่า
ซึ่งมองย้อนออกมาไกลๆ มันก็ไม่ได้เป็นวิธีการมองความรักที่ถูกต้องซะทีเดียว แต่ว่า ผมว่ามันทำให้ผมทนดี ผมเชื่อว่ามีคนหลายคนที่ไม่ได้มีความคิดต่อความรักเหมือนในหนังสือ ที่เข้าใจอย่างครบถ้วน ผมว่าต้อเป็นหนึ่งในคนที่ก็มีความคิดแหว่งๆ ในความรักเหมือนกัน มันอยู่ที่ขลุง มันเสพสื่อแบบนี้ มันมีแต่ความคิดแบบนี้ มันไม่แปลกที่มันจะประกอบร่างความคิดของต้อมาได้ประมาณนี้ ในเมื่อเขาโตมาไม่เหมือนเรา เขายังโดนล้อมด้วยสื่อที่ไม่เหมือนเราเลยมันน่าสนใจมากที่จะบอกว่าอันนี้คือความสัมพันธ์ที่ถูกต้องนะอันนี้ผิด จริงๆ น่าสนใจครับว่าคนจะคิดต่อไปยังไงหลังดูเรื่องนี้เสร็จ
มันมีอะไรที่อยากจะพูดถึงในการทำงานไหม
นัท ณัฎฐ์ : ก่อนถ่ายทำผมเคยรู้สึกว่ามันจะง่ายกว่านี้ ผมไม่เคยกังวลเลยว่า ผมจะทำงานกับคนอายุเท่าไหร่ ผมเชื่อว่าแก๊งหัวหมานี้เขาคัดมาแล้ว กึ่งนึงต้องเป็นตัวละครตัวนี้อยู่แล้ว ไม่เคยกังวลเรื่องนี้เลย แต่พอทำงานด้วยกันเรื่อยๆ กับนักแสดงคนอื่นเริ่มเข้าใจอีกมุมนึงว่า มันมีชุดข้อมูลบางส่วนที่น้องเขาไม่จำเป็นต้องรับตอนนี้ หรือแม้กระทั่งบางที เด็กๆ มาคุยกับเราเรื่องมุมมองในชีวิต ประเด็นที่มันดูใหญ่มากๆ ผมก็จะตอบของผมไปเรื่อย บางทีเราก็ลืมนึกไปว่ามันควรต้องย่อยง่าย
ผมจะโดนดุบ่อยเรื่องที่ว่า เฮ้ยเรื่องที่คุยกับน้องโตไปแล้ว แต่คือผมไม่อยากให้เขาใช้ชีวิตเป็นเด็กแล้ว โดยเฉพาะภูผา ภูผาเริ่มทำงานแล้ว เริ่มใช้คำว่าเป็นนักแสดงแล้ว มันเริ่มมีความรับผิดชอบ จงไปต่อเถอะมันเป็นความคาดหวังของผมเอง ซึ่งเรื่องนี้ต้องระวัง เพราะพอผมคาดหวังเยอะ ผมจะเริ่มเข้าโหมดอยากคุยนานอยากคุยเยอะๆ ซึ่งบางทีโดยประสบการณ์เขาอาจจะไม่จำเป็นต้องรับทั้งหมดตอนนี้ อันนี้เป็นเรื่องที่เพิ่งเรียนรู้เลย ว่าต้องระวังคำพูดพวกนี้ เวลาที่เราอยากจะสื่อสารอะไรกับน้อง
แต่ว่ากับต้อเองต้อไม่เคยวางตัวสูงกว่าแก๊งหัวหมาอยู่แล้ว ความสัมพันธ์ในเรื่องนี้คือเพื่อนเลย ดังนั้นสำหรับผมอันนี้ง่ายเลยกอดคอแล้วก็มองเขาเท่ากันได้เลย ถ้าสังเกตในเรื่องต้อจะพูดแทนตัวว่าเรา หรือ กู อยู่แค่ 2 อย่างแทบไม่มีคำว่าพี่เลย เพราะว่าเรื่องสรรพนามคุยกันชัดเจนตั้งแต่ในคลาสเวิร์กช็อป ที่ทางน้าเป้จะบอกว่า อยากให้ตัวละครนี้มันไม่มีเซนส์ว่าฉันเป็นพี่เลย อย่างพูดกับกิ๊บก็จะเป็นเรากับแก
ย้อนกลับไปตอนที่บอกว่าคุณพ่อเป็นคนจันทบุรี มันบังเอิญอะไรแบบนั้น เชื่อว่ามันมีอะไรเชื่อมโยงไหม
นัท ณัฎฐ์ : จริงๆ แล้วผมกับที่จันมีคอนเน็กชันกันอยู่ ไล่เลยคือปะป๊าเป็นคนจัน ดังนั้นครอบครัวฝั่งปะป๊าจะอยู่นี่กันหมดเลย ปู่ย่า ตายาย แฟน หลานๆ จะอยู่นี่มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นจับใบดำใบแดง บวช หรือ งานไหว้ต่างๆ นานา จะมาที่นี่กันหมดเลย ตอนผมบวชก็บวชที่วัดสุทธิวารี ก็จะคุ้นชินกับการเดินทาง 2 - 3 ชั่วโมงนี้มาแต่เด็ก ไม่มีความตื่นเต้นกับการอยู่จันทบุรีเท่าไหร่
แต่ว่าจะรู้ตัวตลอดว่าเราไม่ใช่คนจัน เราไม่รู้ว่าอาหารดีๆ กินที่ไหน ไม่รู้ว่าเดินทางยังไง คือมาที่นี่หลงแน่ แต่ผมจะมีแต่ภาพจำดีๆ โรงแรมอีสเทิร์นก็จะเป็นโรงแรมที่ป๊ามาแต่งงาน เวลามาที่นี่เขาก็จะชี้ตลอด แต่งกันที่นี่นะเจอกันที่นี่นะ แต่ก่อนอยู่นี่ป๊าเรียนโรงเรียนนี้ ป๊าเตะบอลที่นี่ ฉะนั้นการมาในฐานะต้อ มันแตกต่างกัน อันนี้มาแล้วต้องรู้สึกให้ได้ว่าเป็นคนที่นี่ ผมรู้สึกว่ามันมีอุปกรณ์ช่วยเยอะนะ การแต่งกาย มอเตอร์ไซด์ มาเจอพี่ต้อตัวจริง ผู้กำกับก็เป็นคนจันด้วย มันมีแวดล้อมหลายอย่างที่ทำให้เราเชื่อได้ง่ายว่าเราเป็นคนจัน
แต่ให้คุยเรื่องข้อมูลจันทบุรีไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้แค่ว่าโอเคเป็นเมืองผลไม้ เราเห็นตั้งแต่เด็ก ที่สวนย่าก็จะมีทุเรียน สละ แต่ไม่รู้เรื่องเลยครับ ผมจำได้ว่าไม่ปู่หรือย่า เขาเรียกผมว่าจันกบฏ เพราะทุเรียนก็ไม่กิน แล้วแยกไม่ได้ว่าอันไหนสละ อันไหนขนุนไม่รู้เรื่อง หน้าตาเหมือนกันหมด
เราไปถ่ายทำที่สวยๆ กันตั้งหลายโลเคชั่น เคยเที่ยวบ้างไหม
นัท ณัฎฐ์ : เอาจริงๆ นะ จำไม่ได้เลย ไม่รู้เรื่องแลย ถ้าผมบอกว่าผมจำเซ็นทรัลจันทบุรีได้จะน่าเกลียดมาก (หัวเราะ) แต่ว่ามันจำได้ว่าเป็นแลนด์มาร์ก ลักษณะบ้านคุ้นหมดเลย ทะเล เคยเที่ยวไหมเหมือนจะเคยกินอาหารทะเลแถวหาดอะไรสักอย่างประมาณนั้น อย่าตัดไปลงให้ปู่ย่าผมเสียใจนะครับ(หัวเราะ)
สมมติว่าเราเป็นคนจันทบุรีแล้วกันนะ อยากจะชวนคนมาเที่ยวไหม ถ่ายทำที่สวยๆ มาตั้งหลายที่
นัท ณัฎฐ์ : ก็อยากจะเชิญชวนทุกคนมาเที่ยวที่จังหวัดจันทบุรีกันครับ นอกเหนือจากผลไม้ที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว จริงๆ ที่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอีกเยอะเลย มีอาหารที่อร่อย มีทะเล มีแหล่งท่องเที่ยวทางภูเขา มีวัดต่างๆ ผมเชื่อว่าเป็นจังหวัดนึงในประเทศไทยที่ไม่แพ้ที่ไหนแลย เชิญชวนทุกคนนะครับใครที่มีเวลาว่างแล้วก็สนใจ มาเที่ยวจันทบุรีกัน ไปรู้จักจันทบุรีไปพร้อมๆ กับผมเลยก็ได้นะครับ(หัวเราะ)
สุดท้ายแล้วคิดว่า คนดูจะได้อะไรจากเรื่องนี้
นัท ณัฎฐ์ : ความสุขครับ ได้แน่ๆ ความสดของน้องความเหลือเชื่อจากณิชา ดูเพลิน มีความบันเทิง ก็อยากจะเชิญชวนทุกคนมาชมภาพยนตร์เรื่อง 14 อีกครั้ง I Love YouTwo Thousand ในเรื่องนี้จะมีผม มีณิชา มีน้องๆ อีกหลายท่านเลย ฝากด้วยนะครับ ผมเชื่อว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่จะพาทุกคนย้อนกลับไปในวัย 14 แล้วก็ลองมาตั้งคำถามกันว่า ตอนที่เราอายุ 14 เรามีความคิดความอ่านยังไงกันบ้าง