The Nun II : ไขปริศนาสไตล์คนเรียกผี ที่ยกระดับ (เกือบ) ทุกองค์ประกอบของภาคแรกให้เข้มไปอีกขั้น | Film to Watch Short Review

The Nun II : ไขปริศนาสไตล์คนเรียกผี ที่ยกระดับ (เกือบ) ทุกองค์ประกอบของภาคแรกให้เข้มไปอีกขั้น | Film to Watch Short Review

นับตั้งแต่การปรากฏตัวครั้งแรกใน The Conjuring 2 (2016) ก่อนได้ฤกษ์ฉายเดี่ยวอย่างเป็นทางการใน The Nun (2018) บัดนี้ได้เวลาแล้วที่เทวทูตตกสวรรค์ “วาลัค” ในคราบ “ปีศาจผีแม่ชี” จะกลับมาสร้างปรากฏการณ์ความสะพรึงครั้งใหม่ใน “The Nun II - เดอะ นัน ll”

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เรื่องราวในภาคแรกของผีแม่ชีถูกเซ็ตติ้งไว้ในแนวทางของการสืบสวนไขปริศนาและแฟนตาซี ห้อมล้อมบรรยากาศสไตล์โกธิคที่ดูลึกลับชวนหลอน และฉากหลอกผีที่ทำงานได้ดีบ้าง เฉยบ้าง สลับกันไป ก่อนที่บทสรุปของเรื่องราวจะรวบรัดตัดความ จบง่าย ๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งมาในภาคนี้ The Nun II ได้หยิบยกแนวทางในข้างต้นมายกระดับทุกองค์ประกอบที่มีให้เข้มข้นขึ้นไปอีกขั้น

สำหรับ The Nun II การที่หนังภาคนี้เปลี่ยนตัวผู้กำกับจาก โคริน ฮาร์ดี้ มาเป็น ไมเคิล ชาเวซ ผู้ที่เคยเปลี่ยนโทนหนังครอบครัวท่ามกลางคดีสยองขวัญให้กลายเป็นการสืบสวนแบบจริงจัง ๆ ใน The Conjuring: The Devil Made Me Do It (2021) ซึ่งนี่ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจดีครับในความคิดของผม เนื่องด้วยทิศทางการสืบสวนที่เคยขึ้นภาคที่แรก การได้ไมเคิลมาเป็นผู้กำกับคนใหม่ส่งผลให้ภาพรวมของหนังมีการสืบสวนที่จริงจังและดูมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น ค่อย ๆ ไขปริศนาจากจุด A ไป B ไป C ไป D ตามลำดับ

นอกจากนี้ เรื่องราวแฟนตาซีของหนังดูเหมือนจะได้รับการยกระดับเพิ่มขึ้นอยู่เหมือนกันครับ เรียกได้ว่าภาคนี้พี่เล่นโชว์อิทธิฤทธิ์กันได้โฉ่งฉ่างดี หลอกผี ลอยตัว โชว์นิมิต แม้จะเป็นกลางวันแสก ๆ แต่เจ้าวาลัคก็ยังปรากฏตัวให้เห็นอยู่เป็นระยะ ผ่านเงามืดในที่ต่าง ๆ พร้อมเสริมความแอคชั่นแบบเน้น ๆ บวกการไล่ล่าเข้ามาอีกนิดหน่อย ด้วยจังหวะหลอกล่อตามมาตรฐาน ดีบ้าง เฉยบ้าง แต่เปี่ยมด้วยความครีเอทที่เพิ่มมากขึ้นพอสมควร ท่ามกลางเซ็ตติ้งใหม่ที่อาจไม่โกธิคเหมือนเดิม แต่มุมกล้อง แสงสี รวมไปถึงดนตรีประกอบก็ช่วยบิ้วอัพในส่วนนี้ให้คงความหลอนเอาไว้ได้

สำหรับสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในภาคนี้ แล้วส่วนตัวผมมองว่าเข้าท่าอยู่ไม่น้อย ก็คือการพยายามแผ่ขยายจักรวาลคนเรียกผีให้กว้างใหญ่ไปมากขึ้นในแง่ของฟากศาสนจักรที่มีการลงลึกถึงตำนานและเรื่องราวปาฏิหาริย์ ให้ฟิลลิ่งแบบเล่นเกมทำเควสเพื่อไปปราบบอสอยู่พอสมควร ขณะเดียวกันเรื่องราวของหนังก็ก้าวเดินไปไม่ได้ไกลไปกว่าภาคแรกเลย กล่าวคือ โครงสร้างหลักยังคงวนเวียนอยู่กับการตายปริศนา วาติกันส่งผู้เชี่ยวชาญมาไขคดี มีการสิงสู่ ขับไล่ และเกิดเรื่องราวปาฏิหาริย์ เป็นต้น

อีกหนึ่งสิ่งที่เพิ่มเข้ามาและดีไม่แพ้กันคือ ความสัมพันธ์ของตัวละครเก่าที่ดูผูกพันมีความหลัง ความสัมพันธ์กับตัวละครใหม่ที่ดูมีอะไรให้ทะนุถนอม ซึ่งเป็นการให้น้ำหนักเวลากับเรื่องราวเหล่านี้เพื่อหวังผลผลักดันเป็นดราม่าในช่วงท้าย ซึ่งถ่ายทอดออกมาได้ดีครับ แต่ก็ยังขยี้ได้ไม่สุดอยู่ดี

นอกจากนี้ยังมีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกตงิดอยู่ในใจเบา ๆ นั่นคือการที่ The Nun II ต้องแบ่งเวลาไปโชว์หลากบรรดาซีนผีหลอกวิญญาณหลอน ซึ่งบางครั้งก็ยืดยาดโดยใช่เหตุ เพราะการหลอกนี้ดูเอาแต่ใจจนเกินไป และหาได้จำเป็นต่อเส้นเรื่องหลักไม่ แต่ก็พอเข้าใจได้ เพราะถ้าไม่หลอกเลยก็คงไม่สมฐานะ “ปีศาจที่น่ากลัวที่สุดในจักรวาลคนเรียกผี” ดังที่ได้ใส่ไว้ในคำโปรยบนโปสเตอร์

ถึงกระนั้น ภาพรวมของ The Nun II ก็ยังดูบันเทิง และเพลิดเพลินอยู่ไม่น้อยครับ ส่วนตัวผมมองว่าหนังคงมาตรฐานความเป็นตัวเองภายใต้จักรวาลคนเรียกผีไว้ค่อนข้างโอเค สำหรับคนที่คาดหวังความสยองแบบขั้นสุดอาจจะไม่ถูกใจ แต่ถ้าใครชื่นชอบความแฟนตาซี ไขคดีล่าปริศนา ภาคนี้ถือว่าตอบโจทย์แน่นอน

ปล. : สำหรับคนที่ยังไม่เคยดู The Nun ภาคแรก หรือดูแล้วแต่จำได้แบบเลือนราง ภาคนี้เขารีแคปเหตุการณ์ผ่านบทสนทนาสั้น ๆ รวมไม่ถึง 2-3 นาทีเอาไว้ให้แล้วครับ ดูได้ เข้าใจง่ายอย่างแน่นอน

ปล.2 : The Nun II มี Mid Credit อยู่หนึ่งตัว ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าน่าจะเป็นการเชื่อมโยงซีนสุดท้ายที่เกิดขึ้นใน The Nun ภาคแรกเข้ากับ The Conjuring 4 ที่มีข่าวว่ากำลังเตรียมงานสร้างอยู่ก็เป็นได้ (คงเป็นเคสไล่ผีเปิดเรื่องตามธรรมเนียนมั้งครับ)

 

 

สำหรับคนที่คาดหวังความสยองแบบขั้นสุดอาจจะไม่ถูกใจ แต่ถ้าใครชื่นชอบความแฟนตาซี ไขคดีล่าปริศนา ภาคนี้ถือว่าตอบโจทย์แน่นอน