ทิวทัศน์สองข้างทาง ประวัติศาสตร์หลังภาพมาให้ได้สัมผัส
ผ่าน ๆ มา การเดินทางเป็นเรื่องค่อนข้างปกติของเรา ที่มีโอกาสไปโน่นมานี่อยู่ตลอดเวลา และก็เป็นปกติของเราอีกเช่นกันที่ เวลานั่งมองทิวทัศน์ออกไปจากหน้าต่างรถ ไม่ว่าจะเป็นถนนเส้นไหน ในประเทศหรือนอกประเทศ สิ่งที่เราทำตลอดมาก็คือการเก็บภาพ เก็บบรรยากาศตามจริงที่เข้ามาในรัศมีของเลนส์กล้องหรือมือถือ ภาพที่ได้จึงมีทั้งที่ชัด ไม่ชัด เบลอ และดูไม่ได้ดูไม่รู้เรื่อง แต่เราก็ยังเฝ้าเก็บแบบนี้มาเรื่อย ๆ
เมื่อต้นปีนี้ ถือโอกาสเก็บภาพยามเช้าของผู้คนที่ผ่านเข้ามาในเลนส์มือถือของเรา ตอนนั่งรถออกไปทำงาน และหนีไม่พ้นช่วงเย็นที่นั่งรถกลับบ้าน ชีวิตผู้คนยามเช้าที่เร่งรีบไปทำงาน หลายจุดที่มีพระออกมาบิณฑบาต ก็จะได้เห็นผู้คนยังใส่บาตรกันอยู่ กลุ่มร้านขายอาหารข้างทางใกล้ชุมชน ใกล้ที่ทำงาน ใกล้บริษัทต่าง ๆ ก็เป็นอีกสีสันหนึ่ง ที่บางแห่งเมื่อคนเข้าทำงานกันแล้ว ร้านขายอาหารพวกนี้ก็สลายตัวตามไปด้วย
มีทิวทัศน์สองข้างทางที่ติดใจอยู่ชุดหนึ่ง จึงขอนำมาเล่าประวัติศาสตร์หลังภาพมาให้ได้สัมผัสกันนะคะ จากที่เคยพูดถึงไปก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการใช้กล้องดิจิตอล ว่าตัดสินใจทดลองใช้ครั้งแรกตอนที่ไปอยู่ที่ชิลี พอได้ใช้แล้วก็ใจแตก เล่นเอากู่ไม่กลับเลยทีเดียว แรก ๆ ถ่ายภาพแล้วก็รีบเอาไปให้ร้านอัด และลบรูปเก่าในเมมโมรี่การ์ดที่อัดออกมาแล้วเพื่อนำกลับไปใช้ใหม่ ก่อนลบก็จะอัดลงแผ่นซีดีเอาไว้ คือยังหาทางเก็บเอาไว้เสมอ แต่ก็มีเหตุจนได้ เมื่อครั้งที่ไปเวียดนาม แล้วได้ไปลงเรือท่องอ่าวทาลอง ประสบการณ์ครั้งแรก ตื่นตาตื่นใจเหลือเกิน แน่นอนที่เราเก็บภาพมากมายไปตลอดทาง แต่ด้วยความที่เวลาในการโหลดรูปลงโน๊ตบุ๊คมีไม่มาก แทนที่จะใช้วิธีกอปปี้ ก็กลับไปใช้ Send to… ส่งไปยังเดสทอป แล้วก็ไม่ได้ตามดูว่ารูปภาพทั้งหมดไปอยู่ในเดสทอปแล้วหรือยัง
วันนั้นจำได้แม่นว่า เมมมีกี่ตัวก็ใช้วิธีนี้หมด แล้วก็ลบภาพที่อยู่ในเมมออก พอตอนเย็นกลับมาเช็กดู ถึงกับช๊อค เพราะการที่ส่งไปนั้น เวลาจะใช้ต้องเอาเมมเดิมมาใส่รูปถึงจะมา ด้วยความที่ยังไม่ชำนาญพอ การลบรูปที่เกิดความประทับใจครั้งแรกไป คือความผิดอย่างมหันต์สำหรับความรู้สึกของเรา ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่กล้าลบรูปออกจากเมมโมรี่อีกเลย แต่จะเก็บเอาไว้เหมือนเป็นฟิล์มที่ถ่ายภาพไว้แล้วนั่นเอง จะลบก็ต่อเมื่อจำเป็นจริง ๆ หรือแน่ใจว่าภาพทั้งหมดไปอยู่ในคอมพ์แล้วจริง ๆ ความผิดพลาดนี้จึงเป็นบทเรียนแรก ๆ ที่ทำให้เราแทบไม่กล้าลบรูปจากเมมโมรี่อีกเลย
สำหรับฉบับนี้ เลยขอนำภาพสองข้างทางที่บันทึกไว้เป็นชุดแรก ๆ มาให้ได้อ่านได้ชมกันนะคะ เส้นทางนี้เริ่มจากสถานีรถบัสประจำทางจากใจกลางกรุงซันติอาโก เมืองหลวงของประเทศชิลี จุดหมายปลายทางอยู่ที่เมืองเมนโดซา ซึ่งเป็นเมืองชายแดนของอาร์เจนตินาที่ติดกับชายแดนของชิลี เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องการทำไวน์ของอาร์เจนตินา ผลผลิตสูงถึง60 % ของไวน์ที่ผลิตในอาร์เจนติน่าทั้งหมด แล้วยังมีแหล่งผลิตน้ำแร่ธรรมชาติที่ขึ้นชื่ออีกด้วย
แต่กว่าจะไปถึงเราต้องนั่งรถกันเป็นวันเลยค่ะ เราใช้วิธีจองทัวร์กับบริษัททัวร์ที่ใช้บริการแล้วติดใจ เราแค่ไปเลือกดูโปรแกรมว่าอยากจะไปไหนบ้าง ซึ่งเราไปกันสองคน เมื่อมีช่วงวันหยุดยาว 4-5 วันเมื่อไหร่ เราก็จะหาทางออกไปดูบรรยากาศ ดูความเป็นไปของชีวิตผู้คน และดูสถานที่ต่าง ๆ ที่มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจ น่าศึกษา และน่าไปเยือนให้ได้... เมื่อมีวันเดินทางที่พอจะไปได้ เราก็ไปนั่งคุยกับคุณน้องที่บริษัททัวร์ เธอก็จะแนะนำว่า ควรจะไปดูโน่นดูนี่ หรือไม่ก็ถามว่าเราอยากไปไหนบ้าง อยากไปดูอะไร แล้วก็ช่วยกันจัด เธอจะจองทุกอย่างให้ ถ้าต้องบิน ก็จองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรม จัดทริปตอนไปถึงแล้ว พร้อมมีไกด์คอยดูแลอำนวยความสะดวก ซึ่งทริปที่ไปเมนโดซ่านี้ เราเลือกไปโดยนั่งรถบัส เพราะอยากได้บรรยากาศการนั่งรถข้ามประเทศ ซึ่งก็ต้องยอมแลกด้วยเวลาที่ต้องนั่งรถไปวันหนึ่ง กลับอีกวันหนึ่ง แต่ได้อยู่ที่แมนโดซ่าสองถึงสามวัน ได้ไปชมสถานที่ที่มีชื่อเสียงสมใจ ได้รับประทานอาหารอร่อย และชิมไวน์ด้วย
เมื่อเริ่มเดินทางเราออกกันตอนเช้าแล้วไปถึงเมนโดซ่าเอาช่วงค่ำ เข้าที่พักแล้วก็ไปเดินหาอาหารอร่อย ๆ กินกัน เดินชมเมืองยามราตรี เจอผู้คนแปลกหน้าแปลกตาแต่ก็พร้อมที่จะช่วยเหลือเราที่เป็นนักท่องเที่ยว ผู้คนที่นี่น่ารักทีเดียว เรามีจังหวะดี ๆ มีดาราดัง ๆ มาเปิดตัวแผ่นเสียงที่ร้านขายแผ่นเสียง แรกทีเดียวก็ไม่รู้ว่ามีอะไร แต่คนยืนรอเข้าแถวยาวออกันอยู่หน้าร้าน เราสองคนที่เดินอยู่แถวนั้นพอดีก็เลยลองมองตามเข้าไปบ้าง แล้วก็ถึงบางอ้อ...แฟนนักร้องทั้งหลายนั่นเองที่มาออกันคงจะรอขอลายเซ็น หรืออย่างตอนเย็น ๆ เราก็ไปเดินตลาดนัดกลางคืน มีงานฝีมือแปลกๆ ที่ศิลปินมานั่งขายเอง คุณภัสสรติดใจรูปปั้นเสือชีต้าร์ ก็เลยได้มาหนึ่งตัวพร้อมลายเซ็นศิลปินผู้ปั้นที่บรรจงเขียนชื่อลงบนแผ่นไม้ที่เป็นฐานรองให้เป็นอย่างดี ซึ่งบรรยากาศพวกนี้เป็นบรรยากาศที่น่าจดจำ เพราะทั้งเขาและเราล้วนแต่เป็นศิลปินด้วยกันทั้งคู่แม้จะคนละสาขา แต่ศิลปินต้องเกื้อหนุนศิลปะซึ่งกันและกัน จึงเป็นสิ่งที่เราประทับใจเสมอ
ในภาพชุดนี้ จะเห็นสองข้างทางที่เป็นภูเขาแบบอยู่ในทะเลทราย สีทราย สีดินแดง รูปลักษณ์แตกต่างกันไป และถนนหนทางที่ไต่ขึ้นไปแล่นอยู่บนเขา ดีหน่อยที่แม้จะหวาดเสียวอยู่บ้างแต่ก็ยังไม่โหดไม่หวาดเสียวเท่าเส้นทางในบางประเทศ เช่นโบลิเวียที่ว่ารถแล่นบนไหล่เขานี่ไหล่เขาจริง ๆ สวนกันแทบไม่ได้ แต่คนขับก็เก่งมหัศจรรย์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ถ้าเราต้องไปตามทางเส้นโหด ๆ แบบนั้นคงไม่สนุกแน่
บนเส้นทางทั้งขาไปและขากลับ ถนนแบ่งกันชัดเจน และอยู่กันคนละระดับ มีทางรถไฟแล่นขนานเป็นบางช่วง แต่นาน ๆ จะเห็นรถวิ่งผ่าน หรือวิ่งแซงเราสักที เส้นทางก็วิ่งวกไปเวียนมา บางช่วงมองออกไปจะเห็นชัดเจน แต่พอจะถึงช่วงที่ใกล้เมือง ใกล้ย่านชุมชนก็จะเห็นต้นไม้สีเขียวมากขึ้นหน่อย และสัตว์เลี้ยงอย่าง ม้า วัวก็พอจะมีให้เห็น ที่แทบจะไม่ค่อยเห็นก็คือปั๊มน้ำมัน แต่ที่ทำให้พวกผู้โดยสารกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาหน่อย ก็คือตอนรถแล่นใกล้ถึงด่านชายแดน เพราะหมายถึงจะมีร้านอาหาร มีห้องน้ำห้องท่า และการผ่านด่านพิธีการ ซึ่งทุกคนต้องลงจากรถ และต้องมีการตรวจสัมภาระที่นำติดตัวมา เป็นช่วงจังหวะที่ผู้คนได้ลงไปยืดเส้นยืดสายกัน
ช่วงที่เราเดินทางกันนั้นเป็นเดือนธันวาคม ระหว่างทางบางช่วงก็จะเจอหิมะตก ถนนขาวโพลน อากาศหนาวเย็น แม้ในรถจะมีฮีตเตอร์ก็ตาม เวลาลงไปเดินข้างล่างก็หนาวสั่นเหมือนกัน แต่เวลากลางวันบรรยากาศสว่างไสว เพราะแดดจ้า แล้วสองข้างทางก็หนีไม่พ้นภูเขาแบบในทะเลทราย ที่มีให้เห็นตลอดเส้นทาง นาน ๆ จะมีลำธาร หรือทะเลสาบให้เห็นบ้าง