
เผยเรื่องราวแห่งโลกเวทมนตร์ ผ่านบทสัมภาษณ์ของ “จู๊ด ลอว์” ผู้รับบท “ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์” ใน “Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore”
จู๊ด ลอว์ คือนักแสดงมากฝีมือจากเกาะอังกฤษ ผู้เป็นที่รู้จักจากภาพยนตร์เรื่อง Sherlock Holmes ทั้งสองภาคที่แสดงนำร่วมกับ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ โดยมี “Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledor” หรือชื่อภาษาไทย “สัตว์มหัศจรรย์: ความลับของดัมเบิลดอร์” เป็นผลงานการแสดงเรื่องล่าสุดที่กำลังจะเข้าฉายในบ้านเรา พร้อม ๆ กับอีกหลายประเทศทั่วโลก กับบทบาทของ อัลบัส ดัมเบิลดอร์ อาจารย์ประจำโรงเรียนฮ็อกวอร์ตส์แห่งโลกเวทมนตร์ พ่อมดผู้มีพลังอำนาจทัดเทียบกับเจ้าแห่งศาสตร์มืดแห่งยุคสมัยนั้นอย่าง เกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ (รับบทโดย แมดส์ มิคเคลเซน)
โดย Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledor ถือเป็นภาพยนตร์ลำดับที่ 3 ของแฟรนไซส์ชุด Fantastic Beasts ถัดจาก Fantastic Beasts and Where to Find Them (2016) และ Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald (2018) ตามลำดับ ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ชุด Harry Potter ทั้ง 8 ภาคในฐานะเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น และนี่คือบทสัมภาษณ์ของ จู๊ด ลอว์ ที่จะเผยให้เห็นถึงหลากแง่มุมอันน่าสนใจของ The Secrets of Dumbledor ซึ่งถือเป็นการอุ่นเครื่องของเหล่ามักเกิ้ลอย่างเรา ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการตีตั๋วกลับสู่โลกเวทมนตร์อันอีกครั้ง
เราเพิ่งผ่านการฉลองครบรอบ 20 ปีของโลกเวทมนตร์ และอัลบัส ดัมเบิลดอร์ก็เป็นตัวละครเพียงตัวเดียวที่อยู่ในหนังมาตลอดตั้งแต่เริ่มต้น ตัวละครนี้มีส่วนไหนที่ยังคงเดิมและส่วนไหนที่แตกต่างไปจากตัวละครที่เราได้พบใน Harry Potter ครับ
จู๊ด ลอว์ : ถ้ามองจากการเดินทางของดัมเบิลดอร์จากต้นจนจบ ผมคิดว่าสิ่งที่ยังคงอยู่มาตลอดคือความสามารถที่จะเล็งเห็นสิ่งดีงามในตัวผู้อื่น ความซุกซนขี้เล่น อารมณ์ขัน การชอบใช้เวลาอยู่กับพ่อมดแม่มดรุ่นเยาว์ และมุมมองที่เขามีต่อชีวิต ผมคิดว่าพ่อมดหนุ่มสาวช่วยให้เขามีชีวิตชีวาเพราะนั่นคือช่วงวัยที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา แต่ในช่วงวัยก่อนหน้านั้นคุณจะได้เห็นว่าเขาสำนึกเสียใจในสิ่งที่ได้ทำลงไป เขายังคงต้องแก้ปัญหาซึ่งเขาสร้างขึ้นมาเอง ยังเป็นคนที่ต้องสำรวจหาตำแหน่งแหล่งที่ของตัวเองในโลก หลังจากนั้นเราจึงจะได้เห็นว่าประสบการณ์และปัญญาความรู้ได้ช่วยกลบร่องรอยความสับสนนั้นให้จางหายไป
เขามักจะก้าวไปล่วงหน้าก่อนคนอื่นใช่ไหมครับ
จู๊ด ลอว์ : ผมคิดว่าเรื่องที่ อัลบัส ดัมเบิลดอร์ นำหน้าคนอื่นไปก่อนสองสามก้าวเสมอกลายเป็นตัวตนโดยธรรมชาติไปแล้วครับ สิ่งหนึ่งที่ผมพบว่ายากมากในการรับบทนี้คือการเล่นเป็นคนที่มองเห็นโลกทั้งใบในมิติและมุมมองต่าง ๆ รวมถึงผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งหมดโดยไม่ลำบาก การถ่ายทอดเรื่องนี้ออกมาค่อนข้างยากครับ เพราะอัลบัสมีความสามารถซึ่งผมคิดว่าทำให้เขาโดดเดี่ยวอยู่เหมือนกัน คุณอาจต้องพบกับความเปล่าเปลี่ยวถ้าคุณเห็นทุกสิ่งล่วงหน้าไปก่อนทุกคน มันจึงเป็นภาระสำหรับเขาเหมือนกัน ผมว่าคงไม่ผิดถ้าจะพูดว่าในภายหลัง ตอนที่เราเห็นเขาใน Harry Potter เขาได้เรียนรู้ที่จะจัดการกับความสามารถนั้นแล้ว
การขุดลึกลงไปในประวัติของดัมเบิลดอร์มีอะไรน่าสนใจในสายตาของคุณครับ
จู๊ด ลอว์ : มีหลายสิ่งให้เพลิดเพลินเวลาเราสำรวจตัวละครที่รู้อนาคตอยู่แล้ว เขาเป็นตัวละครซึ่งเป็นที่รักที่ชื่นชมในเรื่องราวที่เล่าขานกันมาแต่เดิม การได้ย้อนกลับไปและทำความเข้าใจว่าเขาสร้างตัวตนขึ้นมาอย่างไร เขาจัดการกับประเด็นและปัญหาต่าง ๆ ของคนหนุ่มอย่างไร วิธีการที่เขาทำความเข้าใจเส้นทางที่เขาเลือกหรือไม่เลือกเดิน หรือต่อสู้บนหนทางที่ทำให้เขากลายมาเป็นตัวละครที่เรารู้จัก สิ่งเหล่านี้นับเป็นของล้ำค่าสำหรับนักแสดง เพราะคุณรู้ว่าการเดินทางนั้นจะต้องมีเรื่องราวมากมาย ผมคิดว่าเป็นเรื่องดีที่ได้รู้ว่าเขามีความเข้มแข็งและความดีที่เขายึดมั่นอยู่ในจิตใจ มีแง่มุมความเป็นไปได้และเรื่องราวมากมายหลายด้านให้ขุดค้น การรับบทและได้มีส่วนร่วมในบทนี้จึงเป็นประสบการณ์อันยอดเยี่ยมครับ
การรู้อนาคตของเขาอยู่แล้วทำให้การพัฒนาความเป็นมาของตัวละครง่ายหรือยากขึ้นกว่าเดิมครับ
จู๊ด ลอว์ : ผมคงบอกว่าส่วนเดียวที่ยากขึ้นคือเรื่องความคาดหวังครับ เพราะ ไมเคิล แกมบอน และ ริชาร์ด แฮร์ริส รับบทนี้ไว้อย่างยอดเยี่ยม และเขาได้กลายเป็นตัวละครที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำและเป็นที่รักของผู้คนไปแล้ว สิ่งที่น่าดีใจคือผมได้มารับบทเป็นตัวละครที่ผู้คนชื่นชมอยู่แล้วตั้งแต่แรกครับ
หนังเรื่องนี้ยังได้ขุดลึกลงไปในความสัมพันธ์ระหว่าง ดัมเบิลดอร์ และ กรินเดลวัลด์ ด้วย คุณช่วยอธิบายได้ไหมครับว่าทำไมสิ่งที่เคยทำให้ทั้งสองผูกพันกันกลับทำให้พวกเขาต้องแยกจากกัน
จู๊ด ลอว์ : สิ่งที่ทำให้ทั้งสองผูกพันกันในช่วงเริ่มต้นของชีวิตคือความคิดที่คล้ายคลึงกัน ความปรารถนาและความสนใจที่ตรงกันในแง่ที่ว่าความสามารถของพวกเขาจะนำไปสู่อะไรได้บ้าง ผมคิดว่าทั้งคู่ต่างก็ไม่เคยเจอใครที่มีความสามารถเท่านี้มาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถพูดคุย คิดฝัน และสื่อสารแลกเปลี่ยนกันได้ทุก ๆ เรื่อง แล้วความสัมพันธ์นั้นก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกับความสัมพันธ์มากมายของคนเราที่มักจะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเราโตขึ้น และเส้นทางของทั้งสองก็ต้องแยกจากกัน ทั้งสองทำสัญญาเลือดกันในจุดที่ทั้งคู่ยังอ่อนต่อโลก ทะเยอทะยาน และขาดประสบการณ์ แล้วจากนั้นปรัชญาความคิดของทั้งสองก็ได้พัฒนาไปในรูปแบบและทิศทางที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ดัมเบิลดอร์จึงเสียใจมากที่เขาได้ไปผูกตัวเองไว้กับคนที่ตอนนี้เขาได้เล็งเห็นแล้วว่ามีมุมมองและความเชื่อที่ชั่วร้าย เขายังเชื่อมโยงและผูกพันกับคนคนนี้ด้วยความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อน แต่แนวคิดของกรินเดลวัลด์ไม่ตรงกับดัมเบิลดอร์อีกต่อไปแล้ว
คุณกับ แมดส์ มิคเคลเซน ต้องถ่ายทอดความสัมพันธ์เดิมระหว่างดัมเบิลดอร์กับกรินเดลวัลด์และความผูกพันที่ยังคงหลงเหลืออยู่ คุณช่วยพูดถึงการทำงานกับเขาในหนังเรื่องนี้ได้ไหมครับ
จู๊ด ลอว์ : การทำงานกับแมดส์ก็เช่นเดียวกับการทำงานกับนักแสดงเก่ง ๆ ทุกคนก็คือค่อนข้างเรียบง่ายตรงไปตรงมา เพราะเขามักจะนำเสนอแนวคิดดี ๆ และทำงานมาอย่างหนักอยู่แล้ว เราใช้เวลาพูดคุยเรื่องอดีตของตัวละครทั้งสองกับผู้กำกับ เดวิด เยตส์ เพื่อให้เราทุกคนเข้าใจตรงกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ว่ากันตามจริงแล้วฉากเหล่านั้นเผยตัวออกมาเองและคุณก็แค่ใส่ความหนักหน่วงและความจริงจังลงไปในนั้นเพื่อที่จะได้ถ่ายทอดโครงสร้างความสัมพันธ์ของตัวละครเหล่านี้ มีงานมากมายเกิดขึ้นในการถ่ายทำวันนั้น มันอยู่ในรายละเอียดปลีกย่อยที่พิถีพิถันในการรับส่งบทซึ่งกันและกัน แต่เราต้องพูดคุยกันมานานก่อนหน้านั้นเพื่อถ่ายทอดมันออกมา
ดูเหมือนว่าในหนังเรื่องนี้ดัมเบิลดอร์เริ่มมองว่านิวท์อยู่ในระดับเดียวกันกับเขาแล้ว และให้นิวท์ทำหน้าที่เป็นผู้นำทีม คุณช่วยพูดถึงความสัมพันธ์ที่พัฒนาไปได้ไหมครับ
จู๊ด ลอว์ : ความสัมพันธ์ระหว่างนิวท์กับดัมเบิลดอร์พัฒนาไปก็จริงแต่อย่าลืมว่าในหนังภาคแรก นิวท์ถูกส่งไปยังนิวยอร์กเพื่อปฏิบัติภารกิจด้วยตนเองและได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากดัมเบิลดอร์มาตลอด แต่ในขณะเดียวกัน ผมว่าก็ไม่ผิดที่จะพูดว่าเนื่องจากนิวท์เป็นนักเรียนของดัมเบิลดอร์ จึงยังมีความสัมพันธ์แบบครูกับลูกศิษย์ ซึ่งคุณจะค่อย ๆ เห็นการเปลี่ยนแปลงมาเป็นความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกันแบบเพื่อนมากขึ้น ที่แน่ ๆ ผมคิดว่าทั้งสองคนนี้ตระหนักถึงความผูกพันที่พิเศษและความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ในสายตาของดัมเบิลดอร์ ผมคิดว่านิวท์มีมาตรวัดที่เที่ยงตรงว่าสิ่งใดถูกและสิ่งใดผิด เขามักจะเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องซึ่งก็เป็นส่วนสำคัญในบุคลิกของเขา เพราะแน่นอนว่าดัมเบิลดอร์ต้องการคนที่ไม่โอนอ่อนผ่อนตามหรือถูกชักจูงได้ง่าย และต้องเป็นคนที่ตัดสินใจได้ถูกต้องในสถานการณ์ที่บีบคั้น นิวท์เป็นคนแบบนี้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ถึงอย่างนั้นดัมเบิลดอร์ก็ไม่ได้บอกแผนการทั้งหมดให้นิวท์รู้
จู๊ด ลอว์ : ปัญหาคือเขาบอกแผนการทั้งหมดให้นิวท์รู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นทั้งสองต้องไว้วางใจกัน ผมว่าสองคนนี้ต่างไว้วางใจซึ่งกันและกัน ถึงแม้ว่าดัมเบิลดอร์อาจจะทำตัวน่าหงุดหงิดเพราะเขาไม่ยอมอธิบายทุกอย่าง แต่นิวท์ก็เชื่อใจเขามากพอที่จะรู้ว่าดัมเบิลดอร์เห็นภาพรวมทั้งหมด นิวท์จึงยอมที่จะกระโดดออกจากเครื่องบินโดยไม่มีร่มชูชีพ ไม่ใช่ว่าเขาทำอย่างนั้นจริงๆ นะครับ แต่ถ้าจะให้ทำ เขาก็ทำได้
คุณช่วยพูดถึงการทำงานร่วมกับ เอ็ดดี เป็นเรื่องที่สองได้ไหมครับ
จู๊ด ลอว์ : การทำงานกับเอ็ดดีก็เหมือนการใช้เวลาร่วมกับเพื่อนเก่าครับ เราทำงานด้วยกันครั้งแรกในหนังภาคที่แล้ว แต่เรารู้จักกันมาหลายปีและชอบพบปะพูดคุยกัน เขาเป็นคนสนุกสนานร่าเริง เป็นคนน่าสนใจและสนอกสนใจในเรื่องต่าง ๆ และเขาก็ทำงานอย่างหนักในด้านการเตรียมตัว การทุ่มเทสมาธิ ความจริงจัง และการสร้างบรรยากาศที่แท้จริงขึ้นมา ผมเองก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกันครับ คือเราสนุกแต่ก็จริงจังไปกับงานด้วย เราพยายามผลักดันงานให้เต็มที่เพราะอยากให้มันออกมาดี อยากให้มันเป็นผลงานที่พิเศษ
ดัมเบิลดอร์รวบรวมทีมที่น่าสนใจเพื่อพยายามหยุดยั้งกรินเดลวัลด์ หนึ่งในนั้นเป็นมักเกิ้ลด้วย
จู๊ด ลอว์ : ทุกคนที่ดัมเบิลดอร์คัดเลือกมาสำหรับภารกิจนี้เป็นคนที่เขาไว้วางใจว่าจะตอบสนองในลักษณะหนึ่ง ๆ เมื่อถึงช่วงเวลาที่กำหนดเพราะมีดัมเบิลดอร์เพียงคนเดียวที่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คนอื่น ๆ ถูกส่งไปโดยไม่รู้อะไรเลย ดังนั้น เขาต้องรู้ว่าสมาชิกแต่ละคนจะเลือกหนทางที่ถูกต้องด้วยวิธีที่ถูกต้อง คนเหล่านี้ต้องมีทักษะที่แตกต่างกันด้วย เจค็อบซึ่งเป็นมักเกิ้ลนั้นเป็นกุญแจสำคัญของทุกสิ่ง เขามีบุคลิกมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวและทำอะไรตามสัญชาตญาณ และอย่างที่พวกเขาคุยกันในช่วงหลังของเรื่อง เจค็อบมีหัวใจเต็มร้อยและเขาใช้หัวใจเป็นเครื่องนำทาง ทั้งหมดนี้ทำให้ดัมเบิลดอร์ไว้ใจคนเหล่านี้ได้และรู้ว่าสุดท้ายพวกเขาจะไปถึงจุดที่เขาต้องการเพื่อทำให้แผนการนี้สำเร็จ
ทำไมดัมเบิลดอร์จึงส่งไม้กายสิทธิ์ให้ เจค็อบ และคุณคิดว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของอะไรครับ
จู๊ด ลอว์ : อันดับแรกผมคิดว่าดัมเบิลดอร์มอบไม้กายสิทธิ์ให้เจค็อบเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมพ่อมดแม่มด ในแง่หนึ่งมันก็เป็นการหยอกล้อกับเจค็อบด้วย คือดัมเบิลดอร์ได้มอบความรู้สึกปลอดภัยและการมีพลังอำนาจแบบปลอม ๆ ให้เจค็อบ ซึ่งเขารู้ว่าจะช่วยชักนำเจค็อบไปยังทิศทางที่ต้องการ
จาก แฮร์รี มาจนถึง นิวท์ แล้วก็มาเป็นตัวละครกลุ่มนี้… คุณคิดอย่างไรกับการที่ ดัมเบิลดอร์ ให้คนมาเสี่ยงชีวิตเพื่อปฏิบัติภารกิจเหล่านี้ครับ
จู๊ด ลอว์ : เหนือสิ่งอื่นใดจุดมุ่งหมายของเขาก็คือการตัดสินใจที่ถูกต้องดีงามและซื่อตรง ดังนั้นเขาหวังว่าจะดึงดูดผู้คนเข้ามาและได้รับความภักดีจากผู้คนที่เชื่อมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม และซื่อตรง เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะไปประกาศว่า “คุณต้องทำแบบนี้” เขาวางสถานการณ์ให้คนรู้สึกว่าจำเป็นต้องทำสิ่งนี้เพราะมันถูกต้อง ดีงาม และซื่อตรง ความน่าสนใจอยู่ที่ว่าคนเหล่านี้ได้ออกเดินทางไปค้นพบตัวตนที่ถูกต้องดีงามของตนเองด้วย มันเป็นการเดินทางส่วนบุคคลที่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ และดัมเบิลดอร์ก็ดำเนินการทั้งหมดนั้นโดยไม่ทำให้เกิดความรู้สึกว่า “คุณต้องทำแบบนี้เพื่อคนคนนี้” แต่เป็นความรู้สึกที่ว่า “คุณต้องทำสิ่งนี้เพื่อตัวคุณเอง มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง” เขาโน้มน้าวความคิดคนอื่นได้ แล้วก็เป็นคนที่ออกไปลงมือทำด้วย ผมมองว่าดัมเบิลดอร์มีความสามารถในการโน้มน้าวเพราะเขานำทางให้คุณเป็นคนที่ดีขึ้น เข้มแข็งขึ้น และซื่อตรงยิ่งขึ้น
มีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวและพี่น้องในหนังเรื่องนี้ คุณช่วยพูดความสัมพันธ์ระหว่าง อัลบัส กับ อาเบอร์ฟอร์ธ น้องชายของเขาได้ไหมครับ
จู๊ด ลอว์ : มีธีมเรื่องครอบครัวและพี่น้องที่ชัดเจน รวมถึงความยุ่งยากซับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย ผมคิดว่าการเดินทางของดัมเบิลดอร์จนเขากลายมาเป็นนักปราชญ์อย่างที่เราเห็นหนัง Harry Potter นั้นเป็นการขุดค้นและเผชิญหน้ากับเงามืดในความสัมพันธ์กับครอบครัว รวมถึงความเสียใจในสิ่งที่ผิดพลาดไป ทั้งหมดนี้เป็นส่วนสำคัญใน The Secrets of Dumbledore ผมไม่รู้ว่าตอนที่คุณได้เห็นเขาในช่วงต้นของหนัง Fantastic Beast และแม้กระทั่งในภาคใหม่นี้ เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนดีหรือเปล่า ผมคิดว่าเขามองตัวเองเป็นปีศาจร้ายเพราะสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวระหว่างเขากับน้องชาย ที่จริงอาเบอร์ฟอร์ธและดัมเบิลดอร์มีความรักให้แก่กันเสมอ รอยร้าวระหว่างทั้งสองไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น แต่มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างสองคนนี้ ก่อนอื่น คุณต้องไม่ลืมว่าอัลบัสในฐานะพี่ชายเป็นพ่อมดที่เก่งกล้ามาตั้งแต่เด็ก อาเบอร์ฟอร์ธจึงน่าจะอยู่ภายใต้เงาของพี่ชาย ดังนั้นจึงมีสิ่งที่เราอาจจะเรียกว่าความอิจฉากันระหว่างพี่น้องอยู่บ้าง แล้วยังมีเรื่องที่การตัดสินใจของดัมเบิลดอร์ในวัยเยาว์ได้สร้างบาดแผลให้คนทั้งครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องคู่นี้ ความสัมพันธ์กับอาเบอร์ฟอร์ธเป็นหนึ่งในร่องรอยจากอดีตของดัมเบิลดอร์ที่จำเป็นต้องได้รับการคลี่คลาย
เดวิด เยตส์ เป็นผู้กุมบังเหียนโลกเวทมนตร์มาตั้งแต่หนัง Harry Potter คุณช่วยพูดถึงการร่วมงานกันครั้งนี้ได้ไหมครับ
จู๊ด ลอว์ : เดวิดเป็นเหมือนเข็มทิศของโลกเวทมนตร์ เขาเด็ดเดี่ยวมั่นคงและมีสัญชาตญาณที่ช่วยบอกได้ว่าอะไรถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ขัน อารมณ์เศร้า งานภาพ เวทมนตร์ และการต่อสู้ เขาเป็นผู้รู้ในกองถ่ายที่คุณพึ่งพาได้ แล้วก็มีความกระตือรือร้นและพลังเหมือนเด็ก ๆ ที่ส่งต่อไปถึงทุกคนด้วย
มีเหตุการณ์ช่วงไคลแมกซ์ระหว่าง ดัมเบิลดอร์ กับ เครเดนซ์ คุณช่วยพูดถึงการถ่ายทำฉากการต่อสู้นั้นได้ไหมครับ
จู๊ด ลอว์ : ก่อนอื่นเลย ความชาญฉลาดของฝ่ายวิชวลเอฟเฟ็กต์ก็คือการที่พวกเขาตัดสินใจให้ดัมเบิลดอร์นำเครเดนซ์เข้าไปในโลกกระจกเงาเพื่อที่ว่าการทำลายล้างหรือความรุนแรงระหว่างการต่อสู้จะได้ไม่ส่งผลต่อโลกมักเกิ้ล นอกจากนั้นก็ยังมีการต่อสู้ที่น่ามหัศจรรย์ และผมคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่คนดูจะได้เห็นดัมเบิลดอร์ในฉากแอคชัน แล้วก็ยังมีความแตกต่างที่ไม่ธรรมดาระหว่างความต้องการทำลายล้างของเครเดนซ์และความต้องการปกป้องของดัมเบิลดอร์ ทำให้ฉากนี้เป็นการต่อสู้ที่น่าสนใจทีเดียว
หนังเรื่องนี้ครอบคลุมสถานที่ทั่วโลกยิ่งกว่าหนังในโลกเวทมนตร์เรื่องอื่น ๆ แต่ฉากทั้งหมดก็ยังคงสร้างขึ้นที่โรงถ่ายลีฟส์เด็น คุณรู้สึกอย่างไรที่ได้ก้าวเข้าไปในโลกเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลับไปยังฮอกวอตซ์
จู๊ด ลอว์: ผลงานของทุกๆ ฝ่ายในทุก ๆ ระดับมีรายละเอียดน่าทึ่งครับ นับเป็นความฝันของนักแสดงเพราะแค่คุณก้าวเข้าไปในฉาก คุณก็ไม่จำเป็นต้องจินตนาการอะไรมากมาย ทุกอย่างอยู่ตรงนั้นหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรถราง รถยนต์ ร้านค้า หรือวิวทิวทัศน์ และเราได้ท่องผ่านเมืองหลายเมืองทั่วโลกในช่วงเวลาต่าง ๆ กัน ซึ่งเป็นเรื่องสนุกจริงๆ การได้ทำงานในงานสเกลใหญ่ขนาดนี้เป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าและสนุกด้วย การได้กลับไปฮอกวอตซ์นั้นน่าสนใจเพราะฉากนี้เต็มไปด้วยนักแสดงเด็กๆ ที่มาเล่นเป็นพ่อมดแม่มด เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาตื่นเต้นกันมาก ทำให้เราได้รับพลังมาจากพวกเขาด้วย ในหนังเรื่องนี้เราได้เห็นถนนหนทางในลอนดอน เดินทางไปฮอกวอตซ์ ไปยังถนนในเบอร์ลินและกระทรวงที่เบอร์ลิน จากนั้นเราก็ไปยังภูฐานในเทือกเขาหิมาลัย ดังนั้นเราจึงไปทั่วทุกที่ทั้งในฉากเมือง ฉากธรรมชาติ และทุกฉากล้วนมีความพิเศษไม่ธรรมดา
Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledor บอกเล่าเรื่องราวต่อจากภาคที่แล้ว เมื่อ ศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์ (จู้ด ลอว์) รู้ว่าพลังของเจ้าแห่งศาสตร์มืด เกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ (แมดส์ มิคเคลเซน) กำลังครอบงำการควบคุมโลกแห่งเวทมนตร์ เขาที่ไม่สามารถหยุดยั้งเจ้าแห่งศาสตร์มืดได้เพียงลำพังจึงมอบความรับผิดชอบนี้ให้นักสัตว์วิเศษวิทยา นิวท์ สคามันเดอร์ (เอ็ดดี้ เรดเมย์น) นำทีมเหล่าพ่อมดและแม่มดผู้กล้า รวมถึงมักเกิ้ลอบขนมปังผู้กล้าหาญ สู่ภารกิจเสี่ยงตายที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับทั้งสัตว์ตัวเก่าและใหม่ รวมไปถึงการปะทะกับเหล่ากองทัพที่ติดตามกรินเดลวัลด์ ซึ่งการต่อสู้ครั้งนี้มีการเดิมพันสูงขึ้น ดัมเบิลดอร์จะยืนหยัดอยู่บนเส้นทางนี้ได้นานแค่ไหนกัน?
Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore เป็นผลงานการกำกับโดย เดวิด เยทส์ จากบทภาพยนตร์ของ เจ.เค. โรว์ลิ่ง และ สตีฟ โคลฟส์ สร้างโดยอิงมาจากบทภาพยนตร์ของ เจ.เค. โรว์ลิ่ง อำนวยการสร้างโดย เดวิด เฮย์แมน, เจ.เค. โรว์ลิ่ง, สตีฟ โคลฟส์, ไลโอเนล วิแกรม และ ทิม ลูอิส
เตรียมตัวให้พร้อม ก่อนก้าวเข้าสู่การผจญภัยครั้งใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยภัยอันตรายจากกองทัพของเจ้าแห่งศาสตร์มืด และเหล่าสัตว์มหัศจรรย์แห่งโลกเวทมนตร์ กับ “Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledor สัตว์มหัศจรรย์: ความลับของดัมเบิลดอร์” 13 เมษายนนี้ ทั้งระบบปกติ, IMAX, 4DX และ MX4D ในโรงภาพยนตร์