เสน่ห์ของงานคราฟต์มักถูกนำมาสร้างสรรค์เป็นผลงานในรูปแบบที่แตกต่างอันเป็นเอกลักษณ์ ดังเช่น แบรนด์ Kear Store (เกียร์ สโตร์) ของนักออกแบบสาวปาณิศา  สีดาสมุทร์ เธอได้หยิบนำเอาพืชท้องถิ่นที่มีอยู่แล้วมาเพิ่มมูลค่าให้งานหรรถกรรมทำมือ ด้วยการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ จนเป็นที่ยอมรับของลูกค้า นอกจากจะใช้งานได้จริง ๆ แล้ว กระเป๋าของเธอยังมีความคงทนด้วยขั้นตอนที่ใส่ใจในการผลิตอีกด้วย 

นักออกแบบสาวเล่าว่า ช่วงที่เธอไปเรียนต่อเกี่ยวกับ Marketing ที่ซิดนีย์  ระหว่างนั้นเป็นช่วงที่เธอได้กลับมาเยี่ยมบ้าน จึงได้มีโอกาสได้เห็นกระเป๋าจากหวายที่ชาวบ้านในอ่างทองทำอยู่แล้ว แถมยังเป็นกระเป๋าที่มีคุณภาพดี แต่ทำไมคนถึงไม่อยากซื้อกลับไป? นี่เป็นคำถามแรกที่เธอตั้งเป็นโจทย์ไว้ในใจ จากนั้นเธอได้นำคำถามเหล่านี้ไปปรึกษากับเพื่อน ๆ ผลที่ได้คือ กระเป๋าที่ชาวบ้านทำนั้นเป็นสินค้าที่ขายเฉพาะกลุ่ม และไม่ตอบโจทย์ต่อการใช้งาน และนี่คือจุดเริ่มต้นของ Kear Store 

“ที่อ่างทองนอกจากจะมีผลิตภัณฑ์จากหวายแล้ว เขายังมีผลิตภัณฑ์จากที่ทำมาจากตอกอยู่ด้วย ที่เราใช้หวายก็เพราะว่าเป็นวัสดุที่มีอยู่แล้ว สามารถนำมาต่อยอดได้เลย แต่ตอกต้องทำออกมาทีละเส้น อีกอย่างกระเป๋าจำเป็นที่จะต้องมีคุณภาพที่ทนทานนิดนึง แต่ตอกกลับมีข้อเสียก็คือมันเปราะบางมาก บางทีกระเป๋าตกอาจจะเปราะ เสียรูปร่างไปเลย แต่ก็มีกระเป๋าของเราบางรุ่นนะคะ เป็นรุ่น limited edition ที่นำตอกเข้ามาผสมผสานกับหวาย อันนั้นก็จะมีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์และแตกต่าง

“แรก ๆ ชุมชนก็จะไม่สนใจเรา ก็คิดว่าเราเป็นเหมือนลูกค้าทั่วไป แต่พอเราได้เอางานของเราที่ประกอบเป็นรูปร่างเสร็จแล้วไปให้เขาดู ว่าสิ่งที่เขาทำมันออกมาเป็นแบบนี้นะ พอชาวบ้านเห็นเขาก็ชื่นชอบ คือตอนแรกชาวบ้านก็นึกว่าเรามาจ้างเขาทำ ทำเสร็จแล้วก็ไป แต่เราไม่ได้เป็นแบบนั้น เราเริ่มจากการที่เขาไม่อยากคุยกับเรา จนได้ไปคลุกคลีกับชาวบ้าน แล้วชาวบ้านก็รักเรา และสนุกไปกับการทำกับเรา

“กระเป๋าของเราใบแรกก็ขายได้ที่อเมริกาเลย อันนั้นคือใบแรกก็คือเราขายตามออนไลน์ ขายทางเว็บไซต์เลยอเราใช้ influencers ที่อเมริกา ที่ตอนนั้นติดตามชื่นชอบ influencer คนนึง ชอบไลฟ์สไตล์ ความเป็นเค้าเราเริ่มมีภาพในหัวขึ้นมาว่าคนนี้นี่แหละคือ #keargirls ที่ Brooklyn, New York เลยตัดสินใจติดต่อเค้าไปให้เค้าเลือกกระเป๋าที่ชอบมาหนึ่งใบ สุดท้ายเหมือนวิธีนี้เวริ์คสำหรับการโปรโมทแบรนด์มากสำหรับธุรกิจเล็กๆ และเริ่มต้นอย่างเรา 

จากนั้น influencer หลายๆคนเริ่มติดต่อเข้ามา เราโชคดีที่เราเจอคนที่รัก อยากจะถือกระเป๋าเราจริงๆ เราไม่เคยเสียเวินให้ influencer คนไหนเลยจากนั้นเราก็ได้ยอด follower เพิ่ม เราได้ออเดอร์เพิ่มขึ้นในช่วงแรก ๆ ปีแรกเลยลูกค้าส่วนใหญ่ของเราก็จะเป็นชาวอเมริกา แคนาดาและออสเตรเลีย เราเลือกที่จะโปรโมทให้เป็นที่ยอมรับของต่างชาติก่อน แล้วฟีดแบคจะกลับมาที่ไทยเอง 

“เกียร์ สโตร์ ปีนี้ก็ครบปีที่ 2 แล้ว เราได้รับการคัดเลือกไปงาน Handarty Korea 2019 ที่เกาหลี จัดร่วมกับทีซีดีซี เป็นงานแสดงอุตสาหกรรมคราฟท์ที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ ตอนแรกเราก็คิดว่าเราอาจจะขายได้ไม่เยอะเพราะว่าในงานมันไม่ใช่งานแฟชั่นจ๋า และราคาของเราก็ค่อนข้างสูง แต่กลายเป็นว่าผลตอบรับดีขายได้เกือบหมด จนได้มีการเจรจาการค้ากับนักธุรกิจที่เกาหลีใต้ เพื่อนำกระเป๋าของเราไปวางขายในนามเกียร์สโตร์แต่เพียงผู้เดียว นอกจากนี้แล้วแบรนด์ของเรายังได้ไปเดินแบบไฟนอลโชว์ของ Vogue Who's On Next 2019

“กระเป๋าของเรามันเป็น Local Brand อยู่แล้ว เราก็มีความคาดหวังว่าอยากให้เป็น Global Brand เราสามารถไปซื้อหาแบบสำเร็จมาก็ได้นะ แต่มันเป็นวิธีที่ง่ายเกินไป เพราะเราไม่ได้ทำเพื่อให้ได้เงินอย่างเดียว แต่เราอยากจะทำในสิ่งที่ได้ตั้งใจไว้ นั่นคือการให้ทุกคนที่มีส่วนร่วมในการทำกระเป๋าได้ผลประโยชน์จากมันจริง ๆ 

“กระเป๋าของเราสามารถใช้ได้ทุกวัยเลย แต่ว่าที่ซื้อเยอะ ๆ คือประมาณอายุ 28 ขึ้นไป ลูกค้าเราจะเป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง ชอบแฟชั่นแต่ไม่ตามแฟชั่น เป็นตัวของตัวเอง ส่วนข้อดีของกระเป๋าเราคือ คนสามารถจดจำได้อันนี้คือข้อแรก ต่อมาคือเราใช้ของคุณภาพจริง ๆ แล้วไม่เคยทิ้งลูกค้า เพราะจะคอยติดตามลูกค้าตลอด ถ้าลูกค้ามีปัญหาเราก็ไม่เคยเพิกเฉย รีบแก้ปัญหาให้อย่างเร่งด่วน 

นอกจากวางขายที่ไทยแล้ว ในเร็ว ๆ นี้กระเป๋าของเธอยังจะถูกนำไปวางขายในหลาย ๆ ประเทศ แน่นอนว่าคุณภาพบวกกับการออกแบบที่สวยงาม รวมถึงใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต เพียงระยะเวลา 2 ปีก็เป็นที่ยอมรับในระดับโลกแล้ว นับได้ว่าเป็นอีกก้าวของงานคราฟต์คุณภาพของคนไทย

More Information 

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้ทาง https://www.facebook.com/kearstore/