White Terror

White Terror

แต่ละประเทศล้วนมีประวัติศาสตร์ที่ไม่สง่าผ่าเผย ข้อมูลด้านมืดของประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะพยายามข้ามไปอย่างไรมันก็ยังคงอยู่ 

คำว่า “ความสยองขวัญสีขาว” (White Terror) มีที่มาจากยุคแห่งการปฏิวัติใหญ่ที่ฝรั่งเศส โดยอำนาจรัฐกระทำการคุกคามและทำลายล้างฝ่ายปฏิวัติอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต การกระทำนั้นทำทั้งในด้านสว่างและด้านมืด โดยทหารฝ่ายรัฐบาลใช้สีขาวเป็นสัญลักษณ์ ขณะที่ฝ่ายคอมมูนปารีสใช้สีแดง อำนาจรัฐเดิมได้ใช้ความรุนแรงในทุกด้านเพื่อทำลายล้างฝ่ายก้าวหน้าโดยไร้มนุษยธรรม 

นอกจากที่ฝรั่งเศสแล้ว กองทัพของพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซียซึ่งใช้สีขาวเป็นสัญลักษณ์ของราชสำนักก็กระทำการทำลายล้างฝ่ายบอลเชวิค ซึ่งใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ด้วยความรุนแรง จนในที่สุดนำไปสู่การโค่นล้มราชวงศ์โรมานอฟในปี 1917 บรรยากาศการคุกคามชีวิตจากมือมืดอันชวนสยองขวัญ น่าหวาดหวั่นพรั่นพึงเหมือนผีหลอกกลางวันเช่นนี้ ถูกเรียกว่า “ความสยองขวัญสีขาว” 白色恐怖 (White Terror) 

บรรยากาศ “ความสยองขวัญสีขาว” เคยเกิดขึ้นแล้วในประเทศต่างๆ ทั่วโลกมากมาย วันเวลาของยุคสมัยอาจต่างกัน แต่มีลักษณะร่วมคือการคุกคามทำลายผู้ที่มีความเห็นต่าง ผู้มีความเห็นต่างเหล่านี้ถูกผลักให้ “กลายเป็นอื่น” กลายเป็น “ฝ่ายตรงข้าม” และกลายเป็น “ศัตรู”ของผู้ถือครองอำนาจ ถูก “จัดการ” และ “กำจัด” โดยไม่ใช้หลักความยุติธรรมใดๆ 

ในอเมริกายุคแมคคาธี ที่ถูกเรียกว่า “ยุคหมอผีครองเมือง” ผู้คนในทุกวงการถูกประทับตราว่า “ไม่รักชาติ” และเป็น “คอมมิวนิสต์” โดยไร้เหตุผล คลู คลักซ์ แคลน สวมผ้าคลุมหน้าหมวกทรงแหลมออกมาคุกคามทำลายล้างผู้คนไปทั่ว นักเขียนที่มีชื่อเสียง  แม้กระทั่งนักแสดงตลกอย่างชาลี แชปปลิน ต้องหลบหนีออกนอกอเมริกาเพื่อเอาชีวิตให้รอด เหล่านี้คือเหตุการณ์จริงที่มีข้อมูลหลักฐานมากมาย

White Terror
White Terror 

ในอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, พม่า หรือแม้แต่ในสังคมไทยที่เรียกกันว่ายุค 2499 (ค.ศ.1946) อันธพาลครองเมือง คนจำนวนไม่น้อยซึ่งไม่สยบยอมต่ออำนาจรัฐก็ถูกทำให้กลายเป็น “อันธพาล” หรือ “ภัยสังคม” จากการสร้างบรรยากาศความสยองสีขวัญสีขาว 

น่าตั้งข้อสังเกตว่า ผู้เห็นต่างกับอำนาจรัฐจำนวนเท่าไร ที่ถูกเล่นงานว่าเป็นอันธพาล หรือ ภัยสังคม ลองย้อนพิจารณาแวดวงผู้มีความรู้ ความคิด ตั้งแต่คาบเกี่ยวปี 2475(ค.ศ.1932) เป็นต้นมา และดูข้อหานักหนังสือพิมพ์ รุ่นกุหลาบสายประดิษฐ์, อิศรา อมันตกุล, จิตร ภูมิศักดิ์, อุทธรณ์ พลกุลพิจารณาตามพฤติกรรมจริงของบุคคลเหล่านี้ด้วยใจเป็นกลาง 

ในจีนยุคราชวงศ์ชิงช่วงคาบเกี่ยวปลายปี 1890 จนถึงช่วงการเคลื่อนไหวของ ซุนยัตเซน อำนาจรัฐราชวงศ์ชิงก็สร้างบรรยากาศความสยองขวัญสีขาวเพื่อทำลายล้างแนวคิดไตรราษฎร์ (ซานหมินจู่อี้ 三民主義) ฝ่ายก้าวหน้าก๊กมินตั๋งของซุนยัตเซน ต่อมาเมื่อซุนยัตเซนปฏิวัติประชาธิปไตยได้สำเร็จจนสถาปนาอำนาจรัฐประเทศประชาธิปไตยขึ้นได้ และอำนาจของก๊กมินตั๋งตกมาอยู่ในมือของเจียงไคเชค จากนั้นก็ใช้ประโยชน์จากการสร้างบรรยากาศความสยองขวัญสีขาวขึ้นเพื่อจัดการกับการเคลื่อนไหวพลพรรคคอมมิวนิสต์ของเหมาเจ๋อตง แต่ทว่าในที่สุดก๊กมินตั๋งของเจียงไคเชคก็ไม่สามารถครองอำนาจรัฐในประเทศจีนไว้ได้ ต้องถอยร่นมาตั้งหลักใหม่อยู่ที่เกาะฟอโมซาอันเป็นไต้หวันปัจจุบัน 

ก๊กมินตั๋งของเจียงไคเชคตั้งหลักปักมั่นอยู่ที่ไต้หวันด้วยอุดมคติเข้มข้นในยุคแรกว่าจะตีกลับไปรุกเอาแผ่นดินจีนคืน ตั้งแต่เหมาเจ๋อตงสามารถสถาปนาอำนาจรัฐคอมมิวนิสต์ในจีนแผ่นดินใหญ่ในปี 1949 ก๊กมินตั๋งของเจียงไคเชคในไต้หวันมองปัญญาชน นักคิด นักเขียน ที่เห็นต่างจากอำนาจรัฐก๊กมินตั๋ง เป็นพวกฝักใฝ่แดงหรือคอมมิวนิสต์ไปแบบเหมารวม มีการคุกคามและปราบปรามทั้งมืดและสว่างจนก่อให้เกิดบรรยากาศแบบ “ความสยองขวัญสีขาว” ภายใต้กฏอัยการศึกทหารเป็นเวลายาวนาน จนออกกฎหมายยกเลิกกฎอัยการศึกในยุคประธานาธิบดี เจี่ยงจิงกว๋อ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 1987  

White Terror
White Terror

ในวันเวลาอันยาวนานและมืดมนนั้นมีปัญญาชน นักคิด นักเขียน ประชาชน นักเรียน ถูกฆาตกรรม ถูกจับติดคุก ปล่อยเกาะ (เกาะลวี่ต่าว) เป็นจำนวนหลายพันคน มีผู้ตายไปโดยไร้ความผิดและไม่มีโอกาสพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนมากมาย ครูสอนภาษาอังกฤษสมัยมัธยมคนหนึ่งของประธานาธิบดีหม่าอิงจิ่วคือภรรยาของเหยื่อในยุคความสยองขวัญสีขาว ซึ่งต่อมาเพื่อนร่วมโรงเรียนของหม่าอิงจิ่วได้ช่วยกันผลักดันให้สังคมกลับมามองความเป็นจริงของสังคมในยุคนั้นใหม่ด้วยใจที่เป็นธรรม และมีการผลักดันให้รัฐชดใช้ต่อผู้เสียหายในกรณีเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม 

ปัจจุบันไต้หวันได้มีการศึกษาความเป็นจริงของ “รอยด่างของประวัติศาสตร์” เหล่านี้อย่างจริงจัง หลายฝ่ายของรัฐบาลในยุคหลังต่างก็ยอมรับถึงความผิดพลาดในครั้งเก่าก่อน มีการตั้งคณะทำงานรื้อฟื้นคดี ตั้งองค์กร และมูลนิธิเพื่อทำงานต่อเนื่องแม้หลังจากคดีพ้นอายุความ มีสารคดีเปิดเผยเรื่องราวช่วงนี้มากมายอยู่ในอินเตอร์เน็ต และการศึกษาเหตุการณ์ช่วงนี้ก็สามารถกระทำได้อย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา ประวัติศาสตร์ทิ้งร่องรอยหลักฐานเอาไว้เสมอ ไม่ว่าคนจะยอมรับหรือไม่ยอมรับว่าประวัติศาสตร์ของทุกชาติล้วนแต่มีด้านอัปลักษณ์ แต่ความจริงย่อมจะปรากฏขึ้นมา และหลักฐานประวัติศาสตร์ในยุคปัจจุบันก็ไม่ได้เป็นสิ่งลึกลับซับซ้อนเหมือนในโลก
ยุคเก่าอีกแล้ว 

การไม่ยอมรับความจริงมิได้แปลว่าความจริงเหล่านั้นมิได้มีอยู่ นกกระจอกเทศที่เอาหัวมุดทรายหลอกตัวเองได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว และโลกก็ไม่ได้มีเพียงเผ่าพันธุ์ของนกกระจอกเทศที่ชอบเอาหัวมุดทราย 

รอยด่าง ของประวัติศาสตร์