ธวัฒน์ จิว
ท่ามกลางการต่อสู้ฟาดฟันของแวดวงเครื่องหนังทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ อะไรคือกุญแจสำคัญที่ทำให้ อัลเบโด้ (Albedo) ก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์เอเชียและแบรนด์ไทยแบรนด์แรกของโลกที่ได้รับรางวัลการันตีคุณภาพจากประเทศอิตาลี เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นจุดศูนย์กลางของแฟชั่น ร่วมปลดล็อคข้อสงสัยไปกับคุณธวัฒน์ จิว ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องหนังแบรนด์ Albedo
แสงสว่างในยามเช้า
แสงแรกของวันที่สาดส่องเล็ดลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นแห่งการเดินทางของ Albedo เครื่องหนังแบรนด์คุณภาพสัญชาติไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความงามและความพิถีพิถันในทุกกระเบียดนิ้วได้เป็นอย่างดี มีเพียงคำว่า ‘คุณภาพ’ เท่านั้นที่จะสามารถนำทางไปยังจุดหมายได้
อันที่จริงแล้ว Albedo ก่อตั้งมา 20 ปีแล้ว บริษัทนี้ถือกำเนิดขึ้นจากการเริ่มเห็นทิศทางของการรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) เพื่อการส่งออก แต่ขณะนั้นประเทศจีนซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในการรับจ้างผลิตมีความได้เปรียบในด้านต้นทุนที่ต่ำกว่า ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายไปสั่งสินค้าจากจีนแทน บริษัทของเขาจึงมีการปรับแนวคิดและวิธีการทำงาน โดยหันมาคิดสร้างแบรนด์ของตนเองขึ้นและเปิดตัวแบรนด์ Albedo ในปี 2538 หลังจากทดสอบการทำตลาดมาก่อนแล้ว 1 ปี และได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค
ธวัฒน์ จิว
ในความเป็นจริงแล้ว บริษัทได้พัฒนาเครื่องใช้ในสำนักงานที่ทำมาจากหนังและทองเหลืองในนาม ออสฟี่ (Ausfie) ขึ้นเป็นแบรนด์แรก ซึ่งก็ประสบความสำเร็จด้วยดีจากคุณภาพและดีไซน์ แต่พอเวลาผ่านไป 8 - 9 ปี เขาก็เริ่มเห็นว่าอัตราการเติบโตของตลาดสินค้าประเภทนี้ค่อนข้างมีขีดจำกัด เลยคิดว่าถ้าหากหันมาสร้างแบรนด์เครื่องหนังเอง ซึ่งสามารถครีเอทสินค้าขึ้นมาตามความต้องการได้ก็น่าจะดี
“พอ 3 ปีผ่านไป Albedo ก็เริ่มเป็นผู้นำในตลาด เมื่อก่อนเครื่องหนังในเมืองไทยยังเป็นแค่ตลาดทั่วไป ทำออกมาแค่ให้พอขายได้ ยังไม่มีใครมองถึงตลาดพรีเมี่ยมที่จะต้องผลิตสินค้าให้ออกมามีคุณภาพดีๆ แต่ Albedo มองเห็นตรงนั้น ซึ่งพอเราทำไปได้สักพักก็เริ่มมีผู้ผลิตเข้ามาในแวดวงเครื่องหนังมากขึ้น ตลาดทั่วไปก็เริ่มขยับขึ้นตามไปด้วย ทำให้ตอนนี้ตลาดเครื่องหนังไทยกลายเป็นตลาดที่ค่อนข้างมีการพัฒนาสูง
“Albedo นั้นมีความหมายในภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า ‘แสงสว่างในยามเช้า’ หรือในภาษาอิตาลีมีความหมายว่า ‘การผสมผสานสิ่งที่ยุ่งยากซับซ้อนให้เป็นจริงได้’ ซึ่งทั้งสองความหมายได้สะท้อนให้เห็นถึงความงามและความพิถีพิถันของกระเป๋าแบรนด์ Albedo ได้เป็นอย่างดี
“ถ้าถามว่าเสน่ห์ของเครื่องหนังอยู่ตรงไหน ส่วนตัวผมคิดว่าจริงๆ แล้วมันอยู่ตรงที่คุณภาพ เพราะถ้าหนังที่ดีมีคุณภาพจะยิ่งใช้นานเท่าไหร่ก็ยิ่งสวยขึ้นเท่านั้น ทำให้ยิ่งดูมีชีวิต แต่ถ้าเป็นหนังทั่วไป ใช้ไปเรื่อยๆ ก็จะเน่าเปื่อยไปตามกาลเวลา แต่ขณะเดียวกันหนังที่มีคุณภาพดี คงทน ก็ถือว่าเป็นดาบสองคมได้เหมือนกันนะ เพราะบางคนซื้อไปใช้นาน 7 - 8 ปี ซ่อมแล้วซ่อมอีก อย่างนี้มันก็ไม่ดีกับเรา (หัวเราะ)”
แตกต่างอย่างมีสไตล์
ในขณะที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งไล่ตามเทรนด์แฟชั่นอย่างไม่หยุดยั้ง เสียงเรียกหาก็ดังขึ้นจากคนอีกฝากหนึ่งที่บางครั้งพวกเขาก็แค่อยากใช้สินค้าอะไรที่แปลกใหม่หรือสิ่งที่สามารถสะท้อนความเป็นตัวตน ผู้ผลิตและดีไซเนอร์จึงมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือฉีกกฎความคิดแบบเดิมๆ เพื่อสร้างความแตกต่าง
“คอนเส็ปต์ของการทำ Albedo เหมือนกับที่เราทำเครื่องใช้ในสำนักงานแบรนด์ Ausfie คือพยายามทำในสิ่งที่ไม่เหมือนใคร และไม่ว่าจะทำอะไรต้องทำให้นำหน้ากว่าคนอื่น เพราะกระเป๋ามันก็คือกระเป๋า มีไว้ใส่ธนบัตร เหรียญ และบัตรเครดิต ซึ่ง Albedo เซ็ตแรกที่ออกมาในเมืองไทยเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ผมได้มีการนำวัตถุดิบที่เป็นหนัง 2 ชนิด คือหนังเงาและหนังด้านมาผสมกัน ทำ Packaging ใหม่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวสินค้า โดยวางตำแหน่งสินค้าให้อยู่ในระดับพรีเมี่ยม
ธวัฒน์ จิว
“ในอดีตถ้าเป็นกระเป๋าหนังสำหรับผู้ชายก็ต้องเป็นสีดำอย่างเดียว เพราะหากทำสีอื่นมาอาจจะขายไม่ได้ ผมก็เลยคิดอยากจะทำ Albedo ให้มีความเป็นแฟชั่นมากขึ้น โดยการคิดถึงเรื่องสีสัน รูปแบบ ไปจนถึงการดีไซน์ ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาเราผลิตสินค้าให้อิตาลีด้วย ทำให้ได้เห็นเทรนด์หรือแฟชั่นที่กำลังจะมาในอนาคต ทั้งตัววัสดุและสีสันที่ใช้ เราจึงใช้หนังฟอกฝาดที่เป็นสีน้ำตาลเข้ม มองผิวเผินจะเห็นเป็นสีดำ แต่ถ้ามองดีๆ จะเห็นเป็นสีน้ำตาล ทำเป็นกระเป๋าขึ้นมา เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ชาย หรืออย่างตอนที่ทำกระเป๋าหนังสีส้มสำหรับผู้ชาย ผมตั้งเป้าว่าจะทำอะไรที่มัน Look Younger หลังจากคอลเล็กชั่นนั้นออกมา เราก็ภูมิใจมาก เพราะเทรนด์สีส้มเพิ่งเข้ามาเมืองไทย ซึ่งถือได้ว่าเราเป็นเจ้าแรกที่ทำแบบนี้
“ทุกวันนี้ Albedo ก็ค่อนข้างจะมี Innovation มากกว่าคนอื่น ถ้าพูดถึงคำว่า Innovation โดยทั่วไปคนมักคิดว่าจะต้องเป็นการผสมเคมีทำอะไรยุ่งยาก ซึ่งไม่ใช่เลย ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เราจ้างคนเขียนซอฟต์แวร์ให้สามารถป้อนข้อมูลกระเป๋า 10 - 15 แบบ เข้าไปในคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ลูกค้าเลือกสีเปลี่ยนสีกระเป๋าเองได้ แต่มันซับซ้อนกว่า ซึ่งคนไทยไม่ชอบ ในทางตรงกันข้ามลูกค้าญี่ปุ่นกลับชื่นชอบ มูลค่าเพิ่มเหล่านี้นี่เองที่ทำให้เครื่องหนังของเราแพงกว่าคนอื่น 30 - 40 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ผมทำงานมา 30 กว่าปี บอกได้เลยว่าผมไม่เคยสนใจหรืออยากให้ใครมามองว่าของเราต้องมีราคาถูก เพราะคนส่วนใหญ่ที่คิดว่ามันแพง เขาก็ซื้อกันนะเมื่อเทียบเรื่องคุณภาพกับราคา”
คิดแบบต้นไม้ใหญ่
ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาไม่อาจเติบโตได้หากปราศจากรากฐานที่แข็งแรง เช่นเดียวกันกับแนวคิดการทำธุรกิจของ Albedo ที่จะต้องรักษามาตรฐานทั้งเรื่องคนงานและคุณภาพการผลิต ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เห็นการผลิดอกออกผลอย่างยั่งยืน
“จุดแข็งของ Albedo คือ ได้ที่ปรึกษาจากอิตาลีมาช่วยเราในการพัฒนาเรื่องเทคนิคการผลิต เรื่องเทคนิคการทำสินค้าให้ดูดี สวยงาม และทันสมัย ซึ่งเขาทำงานให้กับแบรนด์ใหญ่ๆ มาแล้ว ถ้าให้พูดกันจริงๆ เครื่องหนังไม่ใช่สิ่งที่ใครจะทำให้มันออกมาสวยได้ในเวลาอันสั้น เพราะต้องใช้เวลาเรียนรู้และใช้เวลาพัฒนา ปรับปรุงนาน ดังนั้นการที่เราได้ทำงานร่วมกับเขา ทำให้ได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้ไปด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้เราก้าวต่อไปได้
“โดยทั่วไปคนมักแยกคุณภาพของงานเครื่องหนังไม่ออก มองแค่ว่ากระเป๋าก็คือกระเป๋า แล้วทำไมพวกแบรนด์ดีๆ ต้องไปเสียเวลาลง Detail เยอะๆ ทำให้มันจุกจิกและยากขึ้น แต่ Albedo สร้างวัฒนธรรมองค์กร ปลูกฝังให้คนงานของเรารู้เรื่องพวกนี้ ซึ่งก็มีนะคนที่มาอยู่กับเราแล้วบ่นว่าไม่ไหวแล้วก็ขอลาออก เพราะบริษัทนี้จู้จี้ จุกจิกมากเกินไป ทำให้เห็นว่าสิ่งที่เราต้องการกับสิ่งที่คนอื่นต้องการมันไม่เหมือนกัน
ธวัฒน์ จิว
“เคล็ดลับที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จมีอยู่ 2 อย่าง ข้อ 1 คือเราต้องไม่โกหก หรือไม่โกงลูกค้า ข้อ 2 คือยอมรับผิด ถ้านั่นเป็นความผิดของเราจริง ผมจะสอนให้ทุกคนในบริษัททำงานด้วยความซื่อตรง เพราะผมเห็นว่าองค์กรอื่นที่สอนให้ลูกน้องโกหก สุดท้ายแล้วพวกเขาก็อยู่ไม่ยืด นี่คือสิ่งที่เรายึดมั่นและทำมาโดยตลอด
“ผมถูกสอนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรว่าการโกหกทำได้แค่ไม่กี่ครั้งหรอก สุดท้ายความจริงก็ต้องเปิดเผย อย่างตอนที่ผมเดินไป Survey สินค้าเครื่องหนังในห้างฯ ทุกเจ้าบอกเหมือนกันหมดเลยว่าเป็นหนังอิตาลี ทั้งๆ ที่บางอันแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นหนังคุณภาพต่ำมาก แต่คนขายก็ยังยืนยันว่าเป็นหนังจากอิตาลี ในทางกลับกัน Albedo เอาหนังอิตาลีเข้ามาใช้ เราแทบจะไม่พูดเลยว่านั่นคือหนังอิตาลี เพราะนี่คือ Albedo นี่คือสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง นี่คือคุณภาพที่ทำให้เราเติบโตดีวันดีคืน
“ส่วนเรื่องของการที่เราจะพัฒนาให้สินค้ามีคุณภาพดีขึ้น ยากนะไม่ใช่ไม่ยาก เราก็ต้องฝึกให้คนงานของเราเกิดการพัฒนา ทำให้เขาเข้าใจว่าคุณภาพคืออะไร และทำไมต้องทำให้สินค้ามีคุณภาพ มันคือการสร้างวงจรแห่งการเรียนรู้ ในเมื่อเราทำงานเป็นทีม ถ้าคนอื่นออกหมด เหลือผมคนเดียวก็อยู่ไม่ได้ เพราะงานของเราไม่สามารถทำคนเดียวได้ องค์กรของผมผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งมาแล้วก็ยังอยู่รอดมาได้ การ Create คนงานและผลงานของเราขึ้นมา ผมว่านี่คือสิ่งที่ยั่งยืนมากกว่า”
วันวานแห่งความสุข
หากลองมองย้อนกลับไปในวันวานจะพบว่าคนเราต่างก็ต้องเคยผ่านเรื่องราวน่ายินดียินร้ายมานับไม่ถ้วน เปรียบเหมือนกราฟชีวิตที่ทั้งพุ่งสูงขึ้นสุดขีดและร่วงต่ำลงจนน่าตกใจ แล้วเมื่อถึงจุดหนึ่งของชีวิต การตกผลึกทางความคิดทำให้เราได้เห็นว่าอะไรก็คงไม่มีค่าและสำคัญเท่ากับการนั่งจิบไวน์ ใช้ช่วงเวลาผ่อนคลายกับคนที่เรารัก
“ถ้าถามว่าผมประสบความสำเร็จหรือยัง ผมคิดว่าประสบความสำเร็จตั้งแต่ปี 1992 แล้ว เพราะปีนั้นเป็นปีแรกที่รัฐบาลไทยให้รางวัลผู้ประกอบยอดเยี่ยม ซึ่งมีทั้งแวดวงจิวเวลรี่ เพชรพลอย เครื่องใช้ในบ้าน ผลไม้กระป๋อง เครื่องหนัง ฯลฯ แล้วหนึ่งในนั้นก็มี Albedo ถือว่าเป็นปีที่ดีมาก อย่างไรก็ตามผมก็ยังไม่หลงระเริง ถึงแม้จะประสบความสำเร็จแต่นี่ก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
ธวัฒน์ จิว
“ล่าสุด Albedo ยังได้รับรางวัล Mipel Awards ด้านฝีมือการผลิตยอดเยี่ยมในปี 2011 ในการแสดงแฟชั่นเครื่องหนังที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งจัดขึ้น ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ถือได้ว่าเราเป็นแบรนด์เอเชียและแบรนด์ไทยแบรนด์แรกของโลกที่ได้รับรางวัลจากนี้มาครองได้สำเร็จ รางวัลที่ได้รับมาบอกเลยว่าไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย ก่อนหน้านี้ผมเคยไปร่วมแสดงผลงานไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เห็นแต่ชาวยุโรปที่ได้รับรางวัลจึงไม่คิดว่ารางวัลนี้จะมอบให้คนเอเชียด้วย พอวันที่เราได้รับรางวัลถึงได้รู้ว่ารางวัลนี้
มอบให้กับคนที่มีฝีมือ ซึ่งคณะกรรมการก็เห็นความเปลี่ยนแปลงของเราทุกปี ที่น่าดีใจกว่านั้นคือ เมื่อลูกๆ เข้ามารับช่วงกิจการต่อ เขามองการณ์ได้ไกลกว่าเรา
“ต่อจากนี้ผมแค่หวังว่าลูกๆ จะทำให้ธุรกิจนี้ยั่งยืน เมื่อก่อนมีคนถามผมว่า ในเมื่อมีโอกาส ทำไมไม่ลุยให้เต็มที่ไปเลย ผมกลับคิดว่าคนเรามีคติที่ไม่เหมือนกัน ผมพอใจในสิ่งที่มี แค่รักษามันไว้ให้ดี แล้วก็ค่อยๆ ทำให้มันขยายต่อไปเรื่อยๆ ก็พอแล้ว เพราะถ้าจะให้ลุยแล้วต้องแบกรับความเสี่ยง ผมก็ไม่อยากลุย แล้วองค์กรนี้ผมก็สร้างมันขึ้นมาเองกับมือ ถ้าทำให้โตอย่างยั่งยืน ธุรกิจนี้ก็ยังอยู่กับลูกๆ ของผมได้อีก 20 - 30 ปี แต่ถ้าวันหนึ่งลูกๆ บอกเหนื่อยแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเขาอยากจะเลิกก็ไม่เป็นไร ...
“ณ วันนี้ ความสุขของผมคือ การได้คิด พูดคุยกับลูก และการได้ดื่มไวน์ จริงๆ ตัวผมไม่ค่อยได้ใช้จ่ายอะไรเลยนะ ถ้าได้กินอาหารดีๆ ผมก็ยังรู้สึกเฉยๆ แต่ถ้ามีไวน์ดีๆ ให้ดื่ม ผมว่าชีวิตก็สุขที่สุดแล้ว”