กุลเกริก เตชจิรัฐกาล

กุลเกริก เตชจิรัฐกาล

การเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่ว่ายากจะเป็นไปได้แล้ว เหนือสิ่งอื่นใดการก้าวข้ามกำแพงในใจของตัวเองถือว่าเป็นบททดสอบที่ยากไม่แพ้กัน ซึ่งคุณกุลเกริก เตชจิรัฐกาล เจ้าของแบรนด์ Edisonkun ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเครื่องหนังไทยมีคุณภาพไม่ต่างจากแบรนด์เครื่องหนังของญี่ปุ่นเลยจริงๆ 

จากความช่างสังเกตที่ว่าปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะเป็นเด็กวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ก็ตาม ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ มักชอบซื้อเครื่องหนังแบรนด์ญี่ปุ่นมาใช้ ทำให้เกิดความสงสัยว่าคนไทยมีฝีมือสู้กับญี่ปุ่นไม่ได้หรืออย่างไร บวกกับความชื่นชอบในเสน่ห์ของเครื่องหนังที่มีอยู่แล้ว ชายหนุ่มคนนี้จึงตั้งใจทำแบรนด์ Edisonkun ขึ้นมา ซึ่งก็ได้รับความนิยมค่อนข้างสูง 

กุลเกริก เตชจิรัฐกาล
กุลเกริก เตชจิรัฐกาล

“ผมศึกษาเรื่องเครื่องหนังทุกวัน อ่านจากนิตยสารและเว็บไซต์ สั่งหนังมาทำเอง ลองผิดลองถูกมาเยอะ ผมเดินทางไปดูงานทั้งโรงฟอกในไทยและในญี่ปุ่น เขายังบอกอีกว่าผมเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ไปที่นั่น ซึ่งจุดเด่นของ Edisonkun คือ Leather & Silver หรือเรียกว่ามีองค์ประกอบของเครื่องเงินกับเครื่องหนังอยู่ในตัว โดยหนังวัวที่ใช้ล้วนมาจากวัสดุคุณภาพจากเมืองโตชิกิ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีการฟอกหนังที่ดีที่สุดในโลก ทั้งๆ ที่ปกติแล้วหนังวัวจะฟอกกัน 5 วัน แต่เราใช้เวลาฟอก 3 เดือน ทำให้น้ำยาซึมเข้าถึงด้านใน ช่วยให้สีผิวหนังของวัวสวยขึ้นกว่าเดิม ผิวสม่ำเสมอจนแทบจะไม่มีบาดแผล นอกจากนี้สินค้าทุกชิ้นยังเป็นงาน Handmade ที่ผ่านการเย็บด้วยมือล้วนๆ ไม่มีเครื่องจักรผสม ส่วนเครื่องเงินที่นำมาใช้ก็เป็นเงินแท้ 92.5 เปอร์เซ็นต์

“ผมว่าสิ่งสำคัญของการทำ Branding คือต้องพิสูจน์ตัวเองทุกอย่าง ต้องกล้าคิดกล้าทำ เอาตัวเองเป็นหลัก อย่าไปตามกระแสใคร เราต่างหากที่ต้องทำตัวให้เป็นกระแส เพราะถ้าวันหนึ่งกระแสหรือค่านิยมมันตกไป แบรนด์ของเราก็จะไปไม่รอด นอกจากนี้
ผมไม่อยากให้มองแค่เรื่องกำไรขาดทุน เพราะธุรกิจเครื่องหนังไม่ทำให้คนรวยได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ แต่อยากให้ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ คุณชอบมันจริงๆ หรือเปล่า

กุลเกริก เตชจิรัฐกาล
กุลเกริก เตชจิรัฐกาล

“ผมทำเพราะอยากพิสูจน์ให้ใครๆ เห็นว่าคนไทยก็สามารถทำงานดีๆ ได้ คนไทยก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าต่างประเทศ ในทางตรงกันข้ามบางสิ่งบางอย่างคนไทยทำได้ละเอียดกว่าด้วยซ้ำไป แต่คนไทยเองกลับมองว่าอะไรที่เป็นของต่างประเทศย่อมต้องดีกว่าเสมอ 
ซึ่งผมอยากจะเปลี่ยนความคิดตรงนี้ที่มีมานาน ดังนั้นสิ่งที่ท้าทายก็คือตัวผมเอง ที่ต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเราจะก้าวขึ้นไปถึงระดับสูงได้เมื่อไหร่

“เคล็ดลับที่ทำให้แบรนด์ของผมอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้มีอยู่ 3 อย่าง อันดับแรกต้องตั้งใจทำจริงๆ ทำเพื่อลูกค้า ไม่ใช่แค่อยากทำเพราะมันเป็นธุรกิจ อันดับต่อมาคือ ตัวเราเอง คิดอะไรก็แสดงออกมาที่ผลงาน แล้วลูกค้าจะเห็นถึงความตั้งใจของเราเอง
อันดับสุดท้ายคือ พูดความจริงกับลูกค้า สินค้าตัวไหนเราใช้หนังวัวญี่ปุ่นหรือใช้หนังม้า เราก็บอกตามตรงทุกอย่าง ผมกล้าบอกได้เลยว่าทุกวันนี้สินค้าของเราผลิตได้ไม่เคยพอกับความต้องการของลูกค้า

“ถ้าถามถึงอุปสรรคตลอดระยะเวลา 5 ปี ที่ทำงานมา ผมบอกได้เลยว่าอุปสรรคค่อนข้างเยอะ ทั้งเรื่องราคา วัสดุที่นำมาใช้ ลูกค้าไม่เข้าใจว่าวัวญี่ปุ่นกับวัวไทยแตกต่างกันอย่างไร เพราะส่วนมากมักจะบอกว่าวัวก็มี 4 ขาเหมือนกันทั่วโลก เราจึงต้องค่อยๆ ปรับทัศนคติของลูกค้าไปเรื่อยๆ โดยการอธิบายและให้ความรู้ควบคู่กันไปด้วย

กุลเกริก เตชจิรัฐกาล
กุลเกริก เตชจิรัฐกาล

“ส่วนตัวแล้วผมยังไม่ถือว่าตัวเองประสบความสำเร็จ เพราะยังต้องการเป็นที่ยอมรับมากกว่านี้ อยากให้คนไทยหลายๆ คน หันมาใช้เครื่องหนังแบรนด์คุณภาพของคนไทยโดยที่ไม่มีคำถามกับมัน แต่ ณ วันนี้ผมก็ดีใจนะที่เดินทางมาถึงจุดนี้ได้ เพราะลูกค้าของผมก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเครื่องหนังของเรากับของญี่ปุ่นไม่ต่างกันเลยจริงๆ บางคนถึงขั้นขายเครื่องหนังแบรนด์ญี่ปุ่นที่มีอยู่ทั้งหมดทิ้งไปแล้วหันมาใช้สินค้าของ Edisonkun ซึ่งสำหรับผมการได้เห็นคนเดินไปไหนมาไหนแล้วใช้สินค้าของเราก็ถือว่ามีความสุขแล้ว” 

Know Him

ขณะนี้เขาอายุเพียง 23 ปี นอกจากจะมีแบรนด์เครื่องหนัง Edisonkun เป็นของตัวเองแล้ว ยังมีแบรนด์เครื่องหนังในเครืออย่าง The Aztecs และเร็วๆ นี้กำลังจะมีแบรนด์ใหม่โดยใช้ชื่อว่า Hawkeye Leather อีกด้วย

เวลาว่างเขามักจะดูซีรี่ย์ฝรั่งและอ่านหนังสือทุกอย่างที่เกี่ยวกับเครื่องหนัง การสะสมขนสัตว์ก็เป็นอีกหนึ่งความชอบส่วนตัว ซึ่งหลายคนอาจมองว่าโหดร้าย ขัดกับหลักพระพุทธศาสนา

สีของเครื่องหนังมีความสวยงามที่ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน เขาจึงคิดว่านี่คือเสน่ห์ของเครื่องหนัง

 

 

กำแพงแห่งบทพิสูจน์