เกียรติ กิจเจริญ

เกียรติ กิจเจริญ

เขาสำเร็จการศึกษาจากภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่น 49 หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า“รุ่นสนิมน้อยฯ” เมื่อกาลเวลาผ่านเข้ามา เขามีโอกาสกระโจนลงสู่ห้วงทะเลแห่งมายา เดินหาฝันได้ขันมาหนึ่งใบ จึงร่วมลงขันกับติ๊ก กลิ่นสี ชาญรงค์ ขันทีท้าว เพื่อนคู่บุญ ก่อตั้งบริษัททริปเปิ้ล ทู จำกัด ผลิตรายการ เกมโชว์ สร้างละคร กำกับภาพยนตร์เปิดร้านอาหารบ้านกลมกิ๊ก

เขายืนอย่างทระนง หยิบจับอะไรขึ้นมาสร้างสรรค์ก็มักจะประสบผลสำเร็จทั้งในโลกมายาและชีวิตจริง ใครอยู่ใกล้ชิดก็มักจะได้รอยยิ้มกลับมาเป็นของฝากเสมอ

 ขณะศึกษาอยู่ เขาได้แสดงละครสถาปัตย์ ทำงานทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง จากนั้นก็มีโอกาสได้เข้าร่วมแสดงรายการโทรทัศน์ซึ่งเป็นรายการวาไรตี้เฮฮาของรุ่นพี่กลุ่มสถาปัตย์ “กลุ่มซูโม่สำอาง” ในรายการ “เพชฌฆาตความเครียด” การปรุงแต่ง ความแปลกใหม่ในการนำเสนอที่ไม่เหมือนใคร จนทำให้เริ่มมีคนรู้จักตัวตนในนาม “ซูโม่กิ๊ก”

หลังจากนั้นก็ได้เข้าทำงานที่บริษัทแกรมมี่ และเป็นพิธีกรรายการต่างๆ ควบคู่ไปกับการแสดงภาพยนตร์แนวตลกเฮฮา ที่โด่งดังในอดีตเรื่อง “กลิ่นสีและกาวแป้ง” “บุญชู” “บ้านผีปอบ” และยังได้รับบทพระเอกเต็มตัวในเรื่อง “ผลุบโผล่” “ฉลุย” ต่อมาได้รับตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายผลิตให้กับบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด

จนกระทั่งเมฆหมอกเบาบาง ท้องฟ้าเริมเปิด เขาจึงลงขันร่วมหุ้นกับเพื่อนเลิฟ เปิดบริษัทผลิตรายการเกมโชว์ “แสบคูณสอง”ตั้งแต่ปี 2540 ผลิตหลายรายการ อาทิ “รักกันสนั่นเมือง” “เกมพันหน้า” “กิ๊กกะไบท์” “ยุทธการบันเทิง” และยังเป็นผู้จัดละครให้กับช่อง 7 สี โดยสร้างพล็อตเรื่องและกำกับการแสดงด้วยตนเอง ในละครเรื่อง “ตลาด โรงเจ ลิเก ความรัก” “รักวันละนิด”เป็นผู้ดำเนินรายการสร้างสรรค์ผสมผสานเนื้อหาสาระ ความบันเทิง ในรายการ “กระจ่างศาสตร์” “กลมกิ๊ก” และ “ชิดหมอ”

ปัจจุบันเขาเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ทริปเปิ้ล ทู จำกัดฯ เป็นหนึ่งในผู้สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับผู้ชมรายการต่างๆมานับไม่ถ้วน และรางวัลเกียรติยศที่นับเป็นความภาคภูมิใจยิ่งก็คือรางวัลเมขลา สาขาผู้ดำเนินรายการชายยอดเยี่ยมจากรายการ“กามเทพผิดคิว” ปี พ.ศ.2537 รางวัลจากรายการ “ครอบครัวประชาธิปไตย” โดยสำนักงานส่งเสริมเอกลักษณ์ของชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปี พ.ศ.2543 และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย

นาทีต่อจากนี้ เราจะมาร่วมกระชับรอยยิ้มกับเขากัน

  วันวานยังหวานอยู่

ใต้ร่มเงาต้นมะขามกล้ามใหญ่ แผ่สาขาหยั่งรากกิ่งใบแข็งแกร่งท้าแรงลม ที่ตั้งตระหง่านข้างบริเวณบริษัท ทริปเปิ้ล ทูฯ ซอยลาดพร้าว94 ย่านทาวน์อินทาวน์ หนุ่มใหญ่ผิวขาว เกียรติ กิจเจริญ บอสใหญ่โผล่หน้าออกมาจากห้อง ยิ้มต้อนรับอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง เขาสวมกางเกงยีนส์ เสื้อผ้าฝ้าย รองเท้าหนังสีดำ

เราประเดิมคำถามแรกว่าก่อนที่จะประสบผลสำเร็จ คุณพ่อคุณแม่สอนและเลี้ยงเขามาอย่างไร เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่หลายคนคงอยากถอดรหัสไขคำตอบ

“ตั้งแต่เด็กๆ อายุ 7-8 ขวบ พ่อกับแม่จะสอนย้ำผมเสมอในเรื่องของความเป็นคนดี อย่าให้คนเขามองเราเป็นคนไม่ดี ให้เป็นคนเรียบร้อย พูดจาให้เพราะ ไม่เบียดเบียนคนอื่น มีมารยาท เจอผู้ใหญ่ให้ไหว้ รู้จักนับถือคนที่มีอายุมากกว่า ไม่ว่าเขาจะยากจนข้นแค้นแค่ไหนก็ตาม เราก็ต้องให้ความนับถือ ให้เกียรติคนอื่น

“ตอนนี้เราโตแล้ว มองย้อนกลับไป แม่เขาพูดแค่นี้ เมื่อเราเป็นเด็ก เราพอจะเข้าใจได้ ณ ชั่วโมงนี้ เราเป็นพ่อแม่คนแล้ว เรามองย้อนกลับไป ผมจึงนึกถึงคำที่ท่านทั้งสองสอนเสมอว่าให้เราให้เกียรติคนอื่น คนทุกคนมีค่าของความเป็นคนเท่าเทียมกัน เวลาคนงานทำงาน อย่าไปเรียกเขาว่าคนใช้ ให้เรียกพี่ สอนวิธีเรียกพี่ เรียกน้อง ด้วยคำพูดง่ายๆ สิ่งที่ท่านย้ำบอกอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นคนดี ทำอะไรที่มันดี ถ้าเรารู้สึกว่าสิ่งนี้มันไม่ดี เรายังรู้สึกได้เอง แล้วคนอื่นจะไม่รู้สึกเลยหรือว่าเราทำแล้วมันจะไม่ดี

“ในขณะเดียวกัน ถ้าแปลเป็นคำพูดให้มันสวยงามหน่อย ถ้าเราไม่อยากให้ใครทำอะไรกับเราแบบไหน เราก็ไม่ควรไปทำแบบนี้กับคนอื่น เราไม่อยากให้เขาพูดไม่ไพเราะกับเรา เราก็อย่าพูดไม่ไพเราะกับเขา มันคือคำพูดง่ายๆ ของพ่อกับแม่ แต่มันปลูกฝังทุกวันๆ

“อย่าบอกว่าพ่อแม่ไม่มีเวลา ผมมีความรู้สึกว่าเวลาเป็นคำอ้างของคน เหมือนกับบอกว่า ทำไมไม่ไปออกกำลังกายบ้าง คำตอบคือผมไม่มีเวลา ตอนเย็นเลิกงานแล้ว ดันมีเวลาไปนั่งกินเหล้ากับเพื่อน แล้วตอนนั้นทำไมมีเวลาล่ะ บางคนบอกอีกว่าไปกินเหล้าเพราะไปคุยเรื่องงาน ผมถามว่าแล้วทำไมไม่ไปคุยที่ฟิตเนสล่ะ (หัวเราะ) คนมักจะมีข้ออ้างเสมอ ถ้าเราทำไม่ดี เราต้องยอมรับว่าเราทำไม่ดี จงพูดในสิ่งที่มันเป็นความจริง แม่จะพูดเสมอว่าความลับไม่มีในโลก

“ฉะนั้นผมจะเป็นคนไม่โกหก ผมถูกสอนให้ละอายต่อตัวเอง ผมนับถือคริสต์ เขาบอกว่าเราต้องมีมโนธรรมประจำใจ เราจะมีเทวดาประจำตัวเราอารักษ์ ถ้าเราจะทำอะไรก็แล้วแต่ ไม่มีใครเห็น แต่พระเจ้าเห็น มนุษย์ทุกคนไม่มีใครรู้สิ่งที่คุณทำ แต่ตัวคุณเองคุณก็รู้

“ครอบครัวผมค่อนข้างอยู่สบาย พ่อผมเป็นเจ้าของโรงงาน บ้านมีคนงาน มีคนขับรถ ค่อนข้างสุขสบาย วันหนึ่งพ่อก็ถูกหักเหลี่ยมทางธุรกิจไป จะเรียกว่าโกงหรือ เพียงแต่ว่าความรู้ทางธุรกิจอาจจะไม่เท่ากัน ความซื่อสัตย์ของคนแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากัน อันนี้น่าจะเป็นรสนิยมที่ต่างกัน มองว่าทำแค่นี้เราก็ถูกนี่ เราก็ไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไร แต่คำว่าจริยธรรมมันไม่มีไม้บรรทัดไปวัดคนที่แพ้ก็บอกว่าโดนโกง คนที่ชนะก็บอกว่าแล้วฉันทำผิดตรงไหน สังคมมันไม่ใช่มีเฉพาะเรื่องของพ่อผม ทุกวันนี้สังคมไทย ก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่

“ถ้าสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮิตเลอร์ชนะ โลกคงต้องเปลี่ยน เพราะผู้ชนะคือผู้กำหนด โลกคือการแข่งขัน เพียงแต่ว่าเราจะลงแข่งกับเขาหรือไม่ เราจะแข่งกับตัวเองไหม เราจะพาตัวเราไปแข่งกับเขาไหม ถ้าเราจะลงไปแข่งกับเขา เราจะลงแข่งระดับไหน แข่งไปถึงไหน สมมุติเป็นทีมฟุตบอล คุณจะซื้อฟุตบอลมาเตะ มาเดาะที่บ้านก็ได้ ไม่ต้องไปแข่งถึงระดับโลกหรอก มันก็เพลินดี(หัวเราะ)”

สร้างภูมิต้านทาน

“พอผมอายุ 15-16 ปี ก็เกิดจุดหักเหทางธุรกิจของครอบครัว ผมเกิดอาการกลัวความยากลำบาก เพราะเคยสบายมาก่อน เป็นคุณหนูนิดหน่อย แต่แม่ก็ไม่ได้เลี้ยงให้เป็นคุณหนูมากมาย เรารู้เพียงแต่ว่าเราจะจนแล้วหรือ แต่คนที่รู้สึกแบบนั้นน่าจะเป็นพ่อแม่เรามากกว่า แต่แม่กลับมีความรู้สึกว่า ช่างมัน ของนอกกายหาใหม่ได้ แล้วแม่ก็ลุยทำมาหากินด้วยการขายข้าวแกง ชีวิตมันเปลี่ยนไปเยอะ แต่มีความสุขเท่าเดิม ยังคุยเฮฮาเหมือนเดิม โต๊ะกินข้าวเล็กลง แต่เราก็กินกันอิ่ม เพราะว่าความสนุกสนานมันไม่อยู่ที่ว่ากินข้าวกับอะไร มันสนุกเพราะว่าเรานั่งกินด้วยกันต่างหาก

“พ่อแม่ผมเขาฉีดวัคซีนตัวเอง ท่านก็จะพูดกับตัวเองว่า ไม่เห็นจะเป็นไรเลย เขาพูดกับตัวเองเสมอ เขาแสดงให้ตัวเราเห็นว่า เขาไม่เป็นไร ถ้าเขารู้สึกว่าเขาไม่เป็นไร คนอื่นมาเห็นก็เออเว้ย พ่อแม่ยังไม่เป็นไรเลย พ่อแม่ครอบครัวเราจึงสนุกสนานเฮฮา พวกเราจึงมองโลกในแง่บวก

“เผอิญว่าช่วงนั้นเส้นเลือดในสมองพ่อมาตีบ ท่านป่วยปากเบี้ยวไปข้างหนึ่ง นอนน้ำลายไหล เราก็ให้กำลังใจท่านว่าพ่อเป็นได้ ก็หายได้ อย่าไปแคร์มัน อย่าไปบอกว่าพ่อแย่แล้ว ถ้าทุกคนบอกว่าพ่อแย่แล้ว พ่อก็บอกว่าพ่อแย่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ผมจึงไม่มีความรู้สึกว่าเป็นความล้มเหลวของครอบครัวที่จะทำให้ผมต้องเป็นเด็กมีปัญหา มันทำให้ผมมองย้อนกลับมาว่า ถ้าเป็นเด็กปัจจุบันนี้ ที่บอกว่าเป็นเด็กมีปัญหา ผมมองว่าเด็กมีปัญหาเพราะเด็กอยากมีปัญหามากกว่า

“ครอบครัวพวกเราเรียนดีกันหมดทุกคน เพราะมันเป็นกรรมพันธุ์ (หัวเราะ) แม่บังคับให้ผมเรียน ผมไม่ชอบเรียนหนังสือ ผมชอบเล่นกิจกรรม เล่นกีฬา พี่บี้พี่ชายผมเขาจะชอบเรียนหนังสือ ชอบแต่งตัวหล่อ ชอบเท่ แม่จึงเอาผมเปรียบกับพี่เสมอว่าพี่เขาดีอย่างโน้น เก่งอย่างนี้ ก็น้อยใจบ้าง แต่มันไม่ได้เป็นความรู้สึกที่โกรธเกลียด แม่เลี้ยงเรามาอย่างไร เราก็คงยังเป็นคน เรายังคงเป็นมนุษย์ เรามีสมอง มีความรู้สึก เราไม่ใช่สัตว์ที่กินหญ้าอิ่มแล้วก็นอน

“เมื่อพี่เรียนเก่ง เราก็ต้องตั้งใจเรียนให้เก่งตาม สมัยนั้นเรียนเป็นเปอร์เซ็นต์ ต้องให้ได้ 80 ขึ้นไป ผมเรียนเตรียมอุดม ผมไม่อยากเรียนเคมี ชีวะ ต้องเรียนสายวิทย์ ไปเรียนสายศิลป์ก็ขี้เกียจท่องหนังสือ ผมจึงตัดสินใจเข้าสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ

“ครอบครัวเราจึงรักกันมาก เราใกล้ชิดกัน ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งที่ว่าคนเรามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน บางคนบอกว่า พ่อแม่ต้องมีเวลาให้ลูก 7-8 ชั่วโมง แล้วคุณทำอะไรกับมันหรือเปล่า ผมบอกว่ามันสำคัญตรงนั้น ผมเชื่อมั่นว่าผมอยู่กับลูกกับเมียผมตลอด24 ชั่วโมง เพราะผมคิดคำนึงถึงเขาตลอดเวลา การอยู่ด้วยกัน การมีเวลาให้กัน คือการมีเวลาทางความคิดให้กัน คุณคิดถึงเขาหรือเปล่า คุณจะรู้สึกด้วยตัวเอง เวลาไปเดินเจออะไรแล้ว แล้วเราอุทานออกมาว่าคิดถึงไอ้กุ้งชิบเป๋ง แสดงว่าเขาอยู่ในความคิดคำนึงของคุณ

“สิ่งที่สำคัญในชีวิตของผมก็คือครอบครัวเป็นเรื่องหลัก ไม่ใช่ว่ามีเงิน มีตัวเลขนอนอยู่ในธนาคารเท่าไร แต่เรามีความสุขหรือไม่เราต้องหาให้เจอว่าความสุขของเราคืออะไร พ่อผมบอกว่าเงินเขามีให้ใช้ เขาไม่ได้มีไว้เก็บ เราจดจำเหตุการณ์หลายอย่างในชีวิตได้ แต่ไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเศร้า มันเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาครั้งหนึ่งในชีวิตเท่านั้นเอง แล้วก็ผ่านไป เราแก้ไขอะไรมันไม่ได้ เราต้องทำวันนี้ให้มันดี พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน”

ใต้ร่มเงา “ทริปเปิ้ล ทู”

“ผมเปิดบริษัท ผมก็ยังเป็นคนโง่อยู่ โง่ในเรื่องของการทำบริษัท แล้วเราก็ต้องเรียนรู้ อ๋อ มันเป็นอย่างนี้ ลองผิดลองถูก เมื่อไม่มีใครให้ถาม ก็ต้องลองดู คิดตัดสินใจแล้วลองดู ผิดก็โอเค เราเดินทางผิดไม่เป็นไร ไปอีกทางหนึ่ง ล้มแล้วลุกให้ไว เดินต่อไปมันเจ็บก็ต้องมีบ้าง หายาทาเดี๋ยวเดียวก็หาย แม่ผมเคยเป็นมะเร็งที่ปากมดลูก แม่ผมถามหมอว่าเป็นอะไร เป็นมะเร็งใช่ไหมหมอบอกว่าใช่ครับ แล้วให้ทำอะไรบ้าง ฉายแสงใช่ไหม ต้องทำอะไรอีก แม่ไม่ชอบความลับ ถ้าเราอยู่กับความจริง เราจะมีความสุข เพราะเราไม่ต้องระแวงอะไรใดๆ แม่ผมความคิดจึงต่างกับแม่คนอื่นๆ เยอะมาก เพราะว่าแม่ผมชอบรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร จะได้ทำตัวถูก

“แม่ผมจองหลุมศพไว้เลย พ่อนอนตรงนี้นะ เดี๋ยวแม่จะนอนตรงนี้นะ (หัวเราะ) ถึงเวลาก็ต้องตายทุกคน เอาตรงนี้เลือกเลย ตอนนี้พ่อไปนอนก่อนแล้ว เดี๋ยวแม่จะตามมานอนตรงนี้ ลูกๆ ทุกคนรู้เดี๋ยวแม่จะอยู่ตรงไหน เรื่องพ่อผมเสีย มันก็เป็นความทุกข์นะแต่เรามีความสุขเหนือกว่าความทุกข์ต่างหาก ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยไม่มีความทุกข์ แต่ผมมองมันหรือเปล่าเท่านั้นเอง

“วันดีคืนดี แม่ผมหายออกจากบ้านไป 7 วัน ทุกคนก็ถามว่าแม่หายไปไหน ปรากฏว่าแม่ไปตัดมดลูกออกแล้ว มันถึงจะหาย ผมถึงบอกว่าผมไม่กลัวหมอ เวลาไปโรงพยาบาล เพื่อตรวจแล้วจะเจออะไร ผมจึงทำรายการหมอ มันมีแง่คิด เพราะเพื่อนผมหลายคนซื้อรถญี่ปุ่นมาคันหนึ่งราคาล้านกว่าบาท มันเอารถเข้าศูนย์ตรงเวลามาก ขับ 10,000 กิโลเมตร เสร็จมันเอาเข้าศูนย์ตรวจสอบแล้วร่างกายคุณ มันมีมูลค่าเท่าไร มันไม่เคยเข้าศูนย์เลย ทำไมล่ะ ก็เพราะมันกลัวตรวจเจอ อ้าว เจอสิดี จะได้รักษา ไปหาหมอตอนไม่มีโรค ดีกว่ามีแล้วไปหาหมอ ผมรู้สึกอย่างนั้น

“ตั้งแต่คุยกับหมอ ผมจึงรู้ว่ามะเร็งมันรักษาหายขาดได้ ถ้าเจอตอนแรก ขั้น 1 ขั้น 2 แต่ส่วนใหญ่คนที่มาหาหมอตาย 100เปอร์เซ็นต์ เพราะมาขั้น 3 มีอาการเลือดออกแล้วมา เตรียมตัวตายได้ อยู่ได้นานอีกสักเท่าไร แล้วคุณจะไปรอตอนนั้นทำไมคุณก็เข้าศูนย์เช็คบ่อยๆ สิ ทีรถยังเอาเข้าศูนย์ได้ตรงเวลา แล้วเงินหามาทำไม เขากลับบอกว่าไม่ไปโรงพยาบาลนี้ มันแพง โรงพยาบาลนั้นก็แพง แล้วไง เอาปืนยิงตรงนี้เลยไหม (หัวเราะ) แล้วตัวคุณมีค่าเท่าไร ผมให้สิบล้านบาท เอาปืนมายิงมันตรงนี้เลยถ้าเปรียบให้เป็นรูปธรรม ผมคิดว่าตัวเรามีค่ามากกว่ารถที่เราใช้เยอะ พ่อผมจึงบอกว่ามีเงินแล้วต้องใช้ เพราะว่าเงิน เขามีไว้ใช้ไม่ได้มีไว้เก็บ เดี๋ยวปลวกมันกิน เราเอาเงินไปฝากธนาคาร เขาก็ใช้เงินเราแทนอยู่แล้วแล้วเราก็ไปกู้ธนาคาร ซึ่งมันเป็นเงินของเรา จะบ้าหรือเปล่า

“ผมมีความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ผมมีเงินเก็บไม่มาก แต่ถ้าพี่น้องคนไหนใครเดือดร้อน ผมก็ให้ ถ้าเขามีความสุข ซื้อความสุข เอาเงินมาซื้อความสุขให้ตัวเองไม่ดีกว่าหรือ ผมเคยเห็นคนหลายๆ คน เก็บเงินจำนวนมาก ไม่ยอมใช้ แต่ใช้ชีวิตที่แร้นแค้นมาก ทั้งๆที่มีเงินเยอะ ซื้อความสุขให้กับตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ เขาบอกว่าไม่เอา เดี๋ยวตอนแก่แล้วจะลำบาก คุณไม่ต้องรอตอนแก่หรอกเพราะคุณลำบากแล้วตอนนี้ มันเก็บเงินไว้ให้อนาคต แล้วจะอยู่ถึงไหมเนี่ย”

“เรื่องของการกลายมาเป็นผู้บริหาร ผมว่ามันก็เป็นแค่การดำเนินชีวิตตามครรลองของมัน ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นจุดเปลี่ยนหรือจุดหักเห พอมาวันหนึ่ง ผมทำงานอยู่ที่บริษัทเวิร์คพอยท์ฯ เป็นถึงผู้จัดการฝ่ายผลิต ประมาณสัก 5 ปี ผมก็รู้แล้วว่าถ้าเราทำรายการเอง จะเป็นอย่างนี้ มันต้องเริ่มต้นคิดอย่างนี้ก่อน เวลาไปขายโฆษณา มันเป็นอย่างนี้นะ ผมรู้สึกว่าถ้ามีรายการของตัวเอง ผมสามารถทำได้นะ แล้ว ติ๊ก กลิ่นสี เขาก็มาชวนไปทำรายการด้วยกัน ก็เอาสิ แล้วเราก็เดินไปขอรายการ เพราะเรารู้ขั้นตอนแล้วว่ามันเป็นอย่างนี้ เราจึงทำรายการของตัวเอง เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น เราก็เปิดบริษัทร่วมกัน ต้องมีคนงาน ต้องมีฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ ก็เหมือนเริ่มต้นเข้าโรงเรียนใหม่ ก็เพราะว่ามันมีเรื่องของธุรกิจ เราก็ต้องจ้างคนเข้ามาเป็นที่ปรึกษา เรื่องธนาคารต้องทำอย่างไร วิธีการเดินบัญชีมันเป็นเรื่องใหม่ของเรา เราก็ต้องถามเหมือนกัน

“คนแต่ละคนมีความสำเร็จไม่เหมือนกัน ถ้าถามผมว่าชีวิตผมประสบผลสำเร็จไหม ณ เวลานี้ ผมก็บอกว่าในความรู้สึกของผม ผมประสบผลสำเร็จตั้งนานแล้ว ความสำเร็จของคนแต่ละคนมันไม่เท่ากัน ผมอยากมีบริษัท ผมก็มีแล้ว ผมดูแลมันไปได้ด้วยดี เป็นบริษัทที่ทุกคนรักกัน เป็นอย่างที่ผมอยากให้มันเป็น ทุกคนทำงานอยู่ที่เดียวกัน เราเป็นพี่น้องกัน ไม่มีการแบ่งแยก ผมรู้สึกว่ามันเติมเต็มผม ผมพอใจแล้ว

“ความสำเร็จในความหมายของผม มันคือความพอใจ ผมพอใจในสถานะของผมแล้ว ผมพอใจในเรื่องของครอบครัว ค่าใช้จ่ายชีวิตเรามาได้แค่นี้ก็ถือว่าเก่งแล้ว ผมว่าเงินมันเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิต สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผมคือความรักในครอบครัว คนเราต้องมีความรักในครอบครัว มีความรักซึ่งกันและกัน ผมว่าสำคัญ สมมติถ้าคุณมีเงินเป็นหมื่นล้านแต่คนเกลียดทั้งประเทศ ผมก็ไม่เอาดีกว่า”

บุญชู...จะอยู่ในใจเสมอ

“ผมเชื่อว่าสิ่งที่พ่อแม่ดีใจที่สุดไม่ใช่ว่าลูกทำงานแล้วมีเงินมากหรือลูกประสบผลสำเร็จ แต่แม่จะภูมิใจมากที่สุด เวลาที่มีคนชมว่าลูกเป็นคนดี ทุกวันนี้ไม่เคยมีใครด่าผม เพราะว่าผมไม่เคยโกงใคร ผมเชื่อมั่น และแม่ผมก็เชื่อว่าผมไม่โกงใคร คนหลายคนชื่นชมการที่ผมทำรายการขึ้นมา ไม่ใช่เป็นการตอบแทนเพื่อให้แม่ไปเป็นดารา หรือตอบแทนให้พี่น้องได้มีสตางค์ใช้ มันไม่ใช่เลย ผมมีความรู้สึกว่าครอบครัวผมมันขำ ถ้าทำรายการด้วยกันมันคงมีความสุข ใครดูรายการครอบครัวผมคงสนุก และผมชอบให้คนดูมีความสนุกมีความสุข ผมจึงทำรายการ กลมกิ๊ก

“และที่ผมทำรายการ เกมพันหน้า ก็เพราะคนไทยมีความสามารถกันเยอะแยะ แต่เขาไม่ได้เป็นดารา จึงไม่ได้ออกทีวี ผมจึงทำรายการนี้เพื่อนำความสามารถของพวกเขามาออกรายการทีวีผมดีกว่า ให้คนรู้ว่าคนไทยแน่ หรืออย่างผมทำรายการ ชิดหมอเพราะคนกลัวหมอ คุณจะไปกลัวหมอไปทำไม หมอก็เป็นคนเหมือนเรา แล้วคุณไม่เคยมีเพื่อนเป็นหมอหรือไง ผมจึงทำรายการนี้แบบคุยง่ายๆ กับหมอ ให้รู้ว่าหมอเมื่อคุยกับเขาขำๆ เขาก็ขำนะ คุยแบบชาวบ้านเขาก็คุยได้

“ผมทำรายการแต่ละรายการมันมีความหมายนะ ผมมีความรู้สึกว่าผมชอบทำรายการที่ผมอยากทำ อยากให้คนมาสนุกกับเราก่อนส่วนการที่ผมหันมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ก็เพราะคุณบัณฑิต ฤทธิ์กล ทำงานไว้ในระดับหนึ่งในเรื่องบุญชู ภาคล่าสุด มันเป็นงานของเขา มันเป็นเหมือนเรือลำหนึ่งที่วิ่งมากลางทะเล แล้วกัปตันเสียชีวิตกลางคัน พวงมาลัยมันไม่มีใครจับ มันอยู่บนเรือกันทั้งวันมันต้องมีคนสักคนที่ต้องรับผิดชอบไปจับพวงมาลัย ผมว่ามันต้องมีนะ

“อย่าลืมว่าคุณบัณฑิตท่านเป็นเหมือนครู เป็นคนให้กำเนิดบุญชูฯ เป็นหลายๆ อย่าง เขาไม่ได้ตั้งโรงเรียนสอนหรอก อย่างที่ผมบอก ผมทำอะไร เมื่อผมไม่รู้ผมก็จะถาม ผมเล่นหนังของคุณบัณฑิตเยอะมาก นอกจากเรื่องบุญชูฯ แล้วยังมีเรื่องอื่นๆ อีก ฉะนั้นผมเล่นหนังเรื่องแรกกับคุณบัณฑิต ผมจึงมีความรู้สึกสนิทสนมกับพี่เขามาก พี่เขาเป็นคนเฮฮา แล้วเขาก็ชอบคุยกับผม เพราะผมเป็นคนเฮฮา นอกเหนือจากเวลาถ่ายทำแล้ว เราก็ดื่มกันนิดหน่อย ถึงไหนถึงกัน นี่แหละชีวิตคนเราเขาให้อะไรกับผมมามากแล้ววันหนึ่งเขาก็เสียชีวิต

“ผมมีความรู้สึกว่ามันคงเป็นสิ่งเดียวที่ผมพอจะให้เขาได้ในภาพยนตร์เรื่อง บุญชูจะอยู่ในใจเสมอ คุณบัณฑิตทำบุญชูมาทุกตอนแต่เรื่องนี้เขาอยากทำเกี่ยวกับเรื่องของคนที่เป็นงานอนุรักษ์หน่อย เช่นสภาวะโลกร้อน คนมันเข้าไปตัดไม้ทำลายป่า เพราะความเจริญมันเข้ามาแทรก เงินมันเข้าไป ต้นไม้มันถึงอยู่ไม่ได้ พี่บัณฑิต จะคิดพล็อตเรื่องแปลกๆ บุญชูภาคนี้ก็เหมือนกัน เงินไปถึงไหนเดือดร้อนที่นั่น แต่พวกบุญชูเขาต้องไปเยี่ยมเยียนที่นั่น เนื่องจากลูกเขาเข้าไปเรียนเกี่ยวกับสมุนไพร ต้องเข้าป่าไปเจอพวกตัดไม้ พวกนี้จับลูกเขาไป เขาจึงต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง ถ้าดูแล้วตีความออกมาดีๆ แก่นของเรื่องสั้นๆ คือ “เงินเข้าไปถึงไหนวอดวายที่นั่น” (หัวเราะ) มันเป็นวิธีการเล่าเรื่องของผม สำหรับ บุญชู จะอยู่ในใจเสมอ เนื่องจากคุณบัณฑิตเสียไปแล้ว ผมเชื่อว่าบุญชูก็เหมือนตัวพี่เขา เรื่องของหนังตลกก็เป็นรสนิยม เช่นเดียวกัน ตอนนี้ผมมาจับพวงมาลัยเรือแล้ว กำลังเข้าที่ท่าเทียบเรือที่จะไปจอด มันจะเข้าแรงหรือเข้าเบา จะล่มไหม มันเป็นเรื่องของอนาคต”

หรรษาหน้าจอ

“ผมเป็นมนุษย์ มี รัก โลภ โกรธ หลงตลอด ถ้าอยู่กับลูกน้องหรือภรรยาผม เขาจะรู้นะ เป็นธรรมดา แต่ผมจะเป็นคนที่ไม่ค่อยเก็บอะไร ถ้าผมโมโห ผมด่า คำด่าของผม ผมไม่พอใจในเรื่องอะไร ผมไม่ชอบให้คนมาเดาใจว่าผมรู้สึกอะไร เขาจะได้รู้ว่าผมคิดอะไร มีคนเขาบอกผมว่าผมเป็นคนดุดัน เด็ดขาด ผมก็ไม่ชอบแนวความคิดคนอื่น ผมไม่ค่อยชอบคาใจ ให้บอกมาว่าเรื่องอะไร จะได้จูนกันได้ ทุกอย่างสามารถคุยกันได้หมด แต่ถ้าเก็บเอาไว้ในใจ เราก็ไม่รู้ เขาก็ไม่รู้ว่าคิดอะไร แล้วมาด่ากันทีหลังด่าก็ด่าตอนนี้เลย แล้วผมก็จะจบจริงๆ ผมไม่ด่าลูกน้องในเรื่องที่ซ้ำเดิม ถ้าเขาไม่ผิดซ้ำเดิม

“ทุกวันนี้ชีวิตผมสบายๆ มีเวลาพักผ่อนทุกวัน ออกกำลังกาย ด้วยการวิ่งเบาๆ บ้าง ผมไม่ใช่คนบ้างาน เป็นคนค่อนข้างขี้เกียจด้วยซ้ำ แต่เวลาที่ผมทำงาน คนจะเห็นผมจริงจังเหมือนคนบ้างาน แต่ไม่ใช่เลย ผมจะเตรียมการทุกอย่างมา คิดถึงปัญหาทุกอย่างก่อน เวลาผมทำรายการโทรทัศน์หรือแม้กระทั่งทำภาพยนตร์ งานที่สำคัญที่สุด มันจะมีพรีโปรดักชั่น โปรดักชั่น และโพสต์โปรดักชั่น งานที่สำคัญที่สุดและกินพื้นที่ของงานไป 60% ของงานคืองานพรีโปรดักชั่น ถ้าเราเตรียมการที่ดีงานโปรดักชั่นเราจะไม่มีปัญหาเลย โพสต์โปรดักชั่นเลยยิ่งจะไม่มีปัญหา เหลือก็ตัดทิ้งอย่างเดียว

“ผมอาจจะเป็นคนใจร้อนตรงนี้ เอาหรือไม่เอา ถ้าไม่เอา ผมไม่มองด้วย แล้วผมต้องยอมรับความผิดพลาด ทุกครั้งที่ตัดสินใจเราอาจเปลี่ยนได้เสมอ เพราะเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ชั่วโมงหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ไม่รู้แล้ว แต่ทุกคนอยากให้งานมันออกมาดีทั้งนั้น ไม่ว่าจะสำหรับคนทำหนังหรือแม้กระทั่งคนทำงานทุกๆ อาชีพ

“คนเราจะเป็นหัวหน้าคนอื่นได้ ต้องรับทั้งผิดและรับทั้งชอบ เขาถึงเรียกว่า รับผิดชอบ อย่าไปโทษคนอื่น เพราะเราเป็นหัวหน้าอย่าบอกว่าลูกน้องทำ นี่คือวิถีของผมและของบริษัทด้วย พนักงานของบริษัททุกคน โดยเฉพาะฝ่ายผลิต ต้องเริ่มจากการเป็นสเตจก่อน คุณจะเก่งมาจากไหน ผมไม่สน ยกป้าย ใส่ฮูดแล้วค่อยขึ้นมา สมัครครีเอทีฟ ผมไม่รับ ผมรับสเตจ มีประสบการณ์ 5 ปีก็เรื่องของคุณ บางคนบอกว่าผมไม่ได้จบนิเทศศาสตร์มา ก็เรื่องของคุณ ถามว่าคุณมีใจหรือเปล่า ผมเชื่อว่าคนเก่งสอนได้ คนดีต่างหากหายาก ผมสัมภาษณ์เองทุกคน ผมสัมภาษณ์เรื่องอื่นๆ ไม่ได้สัมภาษณ์เรื่องงานเลย เพราะผมต้องการรู้ว่าคนที่จะเข้ามาอยู่บ้านเรา เขาเป็นคนนิสัยอย่างไร สิ่งนั้นสำคัญกว่าว่าเขาจะมีประสบการณ์มาเท่าไร เราเอาความรู้สึกของเราเป็นที่ตั้ง

“แม้กระทั่งการสอนลูกชายคนเดียวของผมที่ตอนนี้กำลังจะไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาด้านกราฟิกดีไซน์ เขาชอบงานอิสระ ไม่อยากเป็นดารา ผมเองเชื่อว่าลูกของผมแข็งแรงพอที่จะใช้ชีวิตในสังคม ผมสอนให้เขารู้จักสังคม รู้จักคนรอบข้าง รู้จักมองคนอื่นลึกๆ ข้างใน พ่อแม่ผมสอนผมมาแบบนี้ ผมพอใจที่จะสอนลูกของผมแบบนี้ ผมเลี้ยงลูกตอนอายุ 15 ผมคิดกลับไปตอนที่ผมอายุ 15 ตอนนี้ลูกผมอายุ 19 ปี ผมก็เลี้ยงลูกสมัยที่ผมอายุ 19 ปี คิดแบบเขา

“ผมเชื่อว่าความคิดของคนไม่เปลี่ยน แต่เทคโนโลยีมันเปลี่ยนไป ผมเชื่อว่าเด็กกินเหล้า สูบบุหรี่ เพราะมันอยากเด่นอยากเท่บางคนอยากลองแบบวัยรุ่น ตอนนั้นเราก็อยากลอง แต่ถ้าอยากเท่ มีวิธีเท่ มีวิธีเด่นได้หลายอย่างในทางที่ดี เราก็บอกสอนลูกไปเพราะเราผ่านจุดนั้นมาแล้ว แต่เด็กไม่เคยผ่านจุดนั้นมาเหมือนกับเรา ตอนนี้ผมอายุ 47 แต่เราเคยอายุ19 ผมว่าเราได้เปรียบอยู่แล้ว แต่ทุกวันนี้พ่อแม่กับลูกวัยรุ่นไม่เข้าใจกัน เพราะพ่อพูดด้วยอายุ 35 พูดให้เด็กซึ่งเป็นลูกอายุ 15 ฟัง มันไม่เข้าใจหรอกว่าบิดมอเตอร์ไซค์บนท้องถนนมันอันตรายอย่างไร เราต้องคิดตามวัยของเด็ก &

ผู้ชายคนนี้ชื่อซูโม่กิ๊ก เกียรติ กิจเจริญ