เกรียงไกร - เกรียงกานต์ กาญจนะโภคิน
ความต่างในความเหมือน
ขึ้นชื่อว่าฝาแฝดแล้วก็ต้องมีความเหมือน ซึ่งความเหมือนที่ว่านี้ คุณหมอก เกรียงกานต์ แฝดน้อง เล่าให้ฟังว่าคงเป็นเพราะเด็กแฝดส่วนใหญ่ถูกเลี้ยงมาด้วยกัน เติบโตมาด้วยกัน อย่างเขาและพี่ชายก็เรียนมาด้วยกันตลอดทั้งในระดับชั้นประถม ไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย เพราะอย่างนี้วิธีคิดจึงใกล้เคียงกัน บางทีจะรู้ว่าอีกคนหนึ่งคิดอะไรอยู่ แต่ความเหมือนที่ว่านี้ อาจเป็นแค่หน้าตา หรือรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น เพราะทั้งบุคลิก นิสัย แม้กระทั่งความคิดอ่านของทั้งคู่ เรียกได้ว่ามีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
คุณหมอก : ถ้างานด้าน Functional จะต้องยกให้เมฆ แต่ถ้างานด้าน Emotional ต้องยกให้ผม ถ้าถามคนรอบข้างจะรู้ว่าจริงๆ แล้วเมฆมีความ Aggressive มากกว่าผม ลูกน้องที่นี่กล้าพูดว่าพี่เมฆเป็นขาวีน (หัวเราะ) ถ้าเปรียบเทียบพวกเรากับการแต่งเพลงซึ่งเป็นสิ่งที่เรารัก ก็คงเหมือนจอห์น เลนนอนกับพอล แม็คคาร์ทนีย์ เพราะบางทีเมฆเริ่มแต่งเพลงมาท่อนนึง ผมก็มาแต่งต่ออีกท่อนนึง หรือผมเริ่มไปท่อนนึง เมฆก็มาแต่งต่ออย่างนี้ คนข้างนอกอาจมองว่าแฝดคิดเหมือนกัน แต่พอทำงานด้วยกันจริงๆ จะรู้ว่าพื้นฐานความคิดเราอาจจะเหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่ Detail
คุณเมฆ : ที่ออฟฟิศจะเป็นที่รู้กันว่าหมอกเขาจะชิลล์ ส่วนผมจะซีเรียส เพราะเป็นคนมีความมุ่งมั่นสูงมาก คือทำอะไรแล้วก็อยากเห็นความสำเร็จ ถ้าจะเตะบอลก็ต้องเป็นที่ 1 ถ้าไม่ได้เป็นที่1 อย่างน้อยก็ต้องทำให้ดีที่สุด แล้ววันหลังเราจะไม่เสียดาย แพ้ก็ไม่เป็นไร ไม่อย่างนั้นจะคาใจตลอดชีวิต ผมจะคอยเป็นคนผลักดันองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้าใน Speed ที่ใช่ ขณะที่หมอกก็จะทำงานที่เป็นโปรเจ็กต์ไป ขณะที่ผมเป็นคนกำหนด Strategy Direction
ความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่ในตัวคนทั้งคู่ฉายแววออกมาให้เห็นตั้งแต่เด็กๆ โดยเริ่มจากช่วงมัธยมที่ทั้งสองคนรวมตัวกันตั้งวงดนตรี แต่ไม่อยากเล่นดนตรีตามต้นฉบับ แล้วก็เริ่มแต่งเพลงเอง ทำเพลงขึ้นมาใหม่ ทั้งที่ขณะนั้นยังไม่แน่ใจว่านี่คือความคิดสร้างสรรค์หรือเปล่า เพียงแค่กล้าคิดกล้าทำในสิ่งที่แตกต่างเท่านั้น จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยทั้งคู่เริ่มค้นพบอย่างแน่ชัดแล้วว่าสิ่งที่พวกเขารักนั้นก็คืองานด้านครีเอทีฟ จึงมุ่งมั่นที่จะเดินบนเส้นทางนี้เสมอมา
สร้างสรรค์ มัน(ส์) สนุก
การทำงานครีเอทีฟของฝาแฝดคู่นี้อาจเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจสำคัญสำหรับหนุ่มสาวยุคใหม่ ที่ต้องการความอิสระ ชอบความท้าทาย และคิดนอกกรอบ ให้อยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Index Creative Village หมู่บ้านแห่งความคิด ซึ่งคุณเมฆ เชื่อว่าทุกคนสามารถมีความคิดสร้างสรรค์ได้ไม่ว่าจะอยู่บนพื้นที่ใดบนโลกใบนี้ก็ตาม เพียงแค่คิดจะทำเท่านั้น
และเมื่อใดก็ตามที่คิดไม่ออก หรืออยู่ในสภาวะขาดความคิดสร้างสรรค์ สิ่งหนึ่งที่ช่วยได้คือ ให้มองมุมอื่น อย่าคิดอะไรเพียงแง่มุมเดียว หากจะโฆษณาเรื่องน้ำดื่ม การพูดตรงๆ แค่ว่าน้ำสะอาด ใสปิ๊ง ก็จะไม่มีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้น หากลองคิดว่าเพราะอะไรคนถึงดื่มน้ำ ก็จะสามารถแตกประเด็นออกไปได้อีกมากมาย เช่น เพื่อความสดชื่น เพื่อสุขภาพ เกิดจากการออกกำลังมากไป เกิดจากการเสียเหงื่อ ฯลฯ ซึ่งวิธีนี้เรียกง่ายๆ ว่า Mind Map เป็นทางออกที่จะช่วยให้เราสามารถเปลี่ยนมุม เปลี่ยนวิธีคิดได้ทันที
คุณหมอกยังเพิ่มเติมว่า “การหา Inspiration ในงานสร้างสรรค์เป็นสิ่งสำคัญมากๆ และสามารถหาสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายๆ จากสิ่งต่างๆ รอบตัวไม่เว้นแม้กระทั่งตอนขับรถ หรือตอนดูหนัง ซึ่งบางครั้งก็ต้องหมั่นหาข้อมูลใหม่ๆ เพราะถึงแม้ว่าเราจะมองมุมต่างแล้ว แต่ก็มีคนที่มองมุมต่างด้วยเหมือนกัน อย่างการดีไซน์ป้ายห้องน้ำของตึกนี้ ถ้าไปซื้อป้ายปกติมาติดก็ทำได้ แต่มันไม่ใช่ความเป็นตัวตนของคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นครีเอทีฟ ดังนั้นโจทย์ก็คืออะไรที่แทนความเป็นผู้หญิงและผู้ชายได้ ถ้านำรูปรองเท้าไปติดหน้าห้องน้ำมันก็ไม่ใช่ แต่ถ้านำรูปเน็คไทและเสื้อใน ไปติดแทนป้ายหน้าห้องน้ำ ก็เป็นอันว่าทุกคนเข้าใจได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ทุกคนในออฟฟิศรู้สึกว่าต้องขยันคิด งานพวกนี้มันไม่มีผิด ไม่มีถูก มีแต่ลูกค้าชอบกับไม่ชอบ
”แต่เมื่ออยู่ในสภาวะกดดัน ความคิดสร้างสรรค์ที่ว่านี้อาจสะดุดหยุดลงชั่วขณะ ซึ่งผู้บริหารแฝดทั้งสองคนนี้ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “จะไม่ยอมให้บรรยากาศการประชุมงานมีความตึงเครียดอย่างแน่นอน เพราะถ้าเครียดเมื่อไหร่จะไม่มีใครกล้าพูด เมื่อนั้นความคิดสร้างสรรค์ก็จะหมดไปทันที ขณะเดียวกันมีหลายเสียงบอกว่าไอเดียที่ดีจะต้องมาจากนักคิด นักครีเอทีฟรุ่นเก๋า แต่ความจริงแล้วความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้เกิดมาจากตำแหน่งหรืออายุ ถ้าโจทย์คือเรื่องเกี่ยวกับดิจิตอล เด็กรุ่นใหม่ก็ต้องรู้และมีความชำนาญกว่าอย่างแน่นอน”
คุณหมอกเล่าให้ฟังว่า บ่อยครั้งที่นั่งประชุมแล้วลูกน้องไม่ซื้อไอเดียของเขา ซึ่งปกติแล้วถ้าเขาสวมหมวกของผู้บริหาร เขาก็สามารถสั่งให้ทุกคนทำตามความคิดของเขาได้ แต่ในฐานะครีเอทีฟเขาต้องการให้ทุกคนช่วยกัน Brain Storm ไม่ว่าจะเป็นเด็กจบใหม่หรือเพิ่งเข้ามาทำงาน หากไอเดียเจ๋งจริง เขาก็พร้อมที่จะรับฟัง ยิ่งถ้าระดมความคิดแล้วสนุก ก็จะยิ่งรู้สึกอยากใส่ไอเดียลงไปในงานชิ้นนั้นๆ ทำให้รู้สึกสนุกกับการครีเอทอะไรใหม่ๆ
ปัญหา ท้าให้แก้
บนเส้นทางสายนี้ สายที่ฝาแฝดรุ่นใหญ่เป็นผู้บุกเบิก กรุยทางด้วยตนเองโดยอย่างที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน ไม่มีแม้แต่บริษัทต้นแบบให้เดินตาม ทำให้เขาทั้งสองต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายแทบนับไม่ถ้วน แน่นอนว่าในยามที่ภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง (ภาวะต้มยำกุ้ง) ทุกบริษัทต้องลดจำนวนพนักงานลง แต่ที่ Index Creative Village ไม่ได้ใช้จ่ายอย่างฟุ้งเฟ้อ จึงมีเงินออมและทุนสำรองเพียงพอที่จะดำเนินกิจการต่อไปได้โดยไม่ต้องลดจำนวนพนักงานลง เพียงแค่ลดสวัสดิการและลดเงินเดือนของผู้บริหาร เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวกลับมา นักการตลาดเริ่มมองเห็นว่าการทำอีเว้นท์เป็น Best Solution เพราะสามารถคุยกับกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง ขณะบริษัทอื่นๆ ต้องเริ่มรับพนักงานใหม่ แต่ Index Creative Village สามารถเดินหน้าสานต่อทุกความต้องการได้เลย พวกเขาจึงสามารถก้าวกระโดดได้อย่างรวดเร็ว
การก้าวพลาดไปบ้างในธุรกิจถือว่าเป็นเรื่องปกติเพราะขึ้นชื่อว่างานอย่างไรก็ย่อมมีปัญหา ซึ่งสำหรับแฝดคู่นี้เลือกที่จะใช้เวลาในการเรียนรู้และพร้อมที่จะแก้ต้วใหม่เพื่อให้งานชิ้นนั้นๆ ดีขึ้นกว่าเดิม มากกว่าจะมานั่งปลอบใจซึ่งกันและกัน นั่นคือสไตล์ของเขาทั้งคู่ที่ถูกสอนมาว่า ‘ชีวิตต้องยืนอยู่บนขาของตัวเองให้ได้’
ทุกวันนี้คุณเมฆจะดูแลเรื่อง Strategy ขององค์กร ในส่วนของหลังบ้านหรือ Back Office ก็จะต้องไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด แม้กระทั่งช่วงเวลาสำคัญ “วินาทีที่ Index Creative Village มีเป้าหมายว่าจะโกอินเตอร์ สิ่งที่ตามมาคือพนักงานทุกคนต้องพูดภาษาอังกฤษให้ได้ หากจะรับพนักงานใหม่ก็ต้องให้ความสำคัญกับตรงจุดนี้เป็นพิเศษ ล่าสุดที่ไปลงทุนในพม่า ทางบริษัทก็มีจัดให้เรียนภาษาพม่า อย่างน้อยต้องสื่อสารในชีวิตประจำวันกับคนพม่าได้
“ดังนั้นความยากหรือความท้าทายตรงนี้คือ จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกค้าที่เราต้องเจอหรือพาร์ทเนอร์ที่เราต้องติดต่อด้วยเป็นอย่างไร ถ้าอยู่เมืองไทยยังสามารถเช็คกันได้ แต่การไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่เราไม่มีข้อมูลเลย เป็นสิ่งที่ท้าทายมาก นอกจากนี้หากได้ลงมือทำงานจริงแล้วคงมีปัญหาเรื่องวัฒนธรรม ภาษา ประเพณี หรือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตามมาอีก ถึงอย่างนั้นเราก็ยังได้เปรียบตรงที่มีความรู้ มีประสบการณ์ อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายก็ต้องพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติเข้าหากันด้วย” คุณเมฆกล่าว
เคล็ด (ไม่) ลับ ระดับ CEO
สำหรับผู้บริหารที่มีชั่วโมงบินมานับไม่ถ้วนย่อมต้องมีความคิด หรือแง่มุมการมองเห็นสิ่งต่างๆ เหนือจากคนธรรมดาทั่วไป ไม่เช่นนั้นแล้ว หมู่บ้านแห่งความคิดคงไม่ได้มาไกลถึงขนาดนี้ แต่คนทั้งคู่นี้ก็ยังยืนยันว่า ความสำเร็จเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะยังมีอะไรที่อยากทำอีกหลายอย่าง แล้วแต่ความฝันในแต่ละช่วงว่าอยากจะทำอะไร เมื่อมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่คิดไว้ก็เหมือนความฝันสำเร็จไปอีกหนึ่ง แต่สักพักก็จะมีความฝันใหม่เกิดขึ้นมาอีกหนึ่งเสมอ
คุณหมอก : ผมเคยคิดอยากเปิดตัวรถยนต์กลางแม่น้ำเจ้าพระยา พอเอาไอเดียนี้ไปขายลูกค้า เมื่อเขาตกลงก็ถือว่าได้ทำอีกหนึ่งความฝันให้เป็นจริง บางโปรเจ็กต์ต้องขายลูกค้าหลายเจ้ากว่าจะได้ อย่างตอนนี้ก็กำลังจะทำละครเวที เพราะส่วนตัวแล้วชอบดูละครเวที แต่สิ่งที่ออกมาต้องไม่เหมือนชาวบ้าน อยากทำให้เป็นลายมือของเรา ความฝันพวกนี้ผมก็จะค่อยๆ ทำไป ความ Success ผมไม่ได้มองถึงเรื่องธุรกิจหรือจะต้องมีตึกทำงานสูงใหญ่ แต่ความสุขของผมคือการได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรักและตัวเองฝัน
คุณเมฆ : เราทำมาตั้ง 20 - 30 ปี ได้แค่นี้ ในขณะที่บางคนใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ปีก็ประสบความสำเร็จแล้ว เพราะมีทั้งชื่อเสียง เงินทองและความสุข บางคนมัวแต่อิจฉา แต่ผมไม่ได้มองว่าตรงนั้นมันน่าอิจฉา ซึ่งก็คงเป็นเรื่องของโชคชะตาของแต่ละคน วันนี้เราเดินมาได้ถึงขนาดนี้ต้องบอกว่าพื้นฐานของเราแน่นกว่า เพราะดินที่เราขุดมันเป็นไปตามขั้นตอน ทำให้สามารถไปต่อได้อีกเยอะ แต่คนอื่นอาจไปต่อไม่ได้แล้ว บทเรียนนี้ก็ทำให้รู้ว่าความสำเร็จล้วนต้องใช้เวลาทั้งสิ้น
นอกจากนี้ทั้งสองคนยังพูดทิ้งท้ายถึงเคล็ดลับที่จะทำให้ก้าวไปอยู่ในจุดที่อยู่สูงกว่าคนอื่นว่าจะต้องพาตัวเองให้หลุดออกมาจากพื้นที่ Comfort Zone ให้ได้ เหมือนกบที่อยู่ในหม้อน้ำที่กำลังค่อยๆ เดือด ถ้าอยู่นิ่งๆ ความตายก็จะค่อยๆ คืบคลานเข้ามา แต่ถ้ารู้ว่าวันนึงน้ำจะเดือดแน่ๆ เราก็จะชิงกระโดดออกมาก่อน การที่จะก้าวออกมาจากพื้นที่นั้นได้ มันก็เหมือนกับความท้าทายที่เราต้องเผชิญ สิ่งสำคัญคือต้องใช้ทั้งประสบการณ์ความรู้รอบๆ ตัว เพื่อทำงานแต่ละงานให้สำเร็จ ความพยายามจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด