ณัฐวุฒิ กิตติคุณ
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ก็เชื่อแน่ว่ามีบางคนที่ชื่นชอบสไตล์ภาพที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยชายผู้มีโต๊ะทำงานเป็นกล้องและมีเลนส์เป็นเสมือนตาที่คอยจับโฟกัสนักแสดงในทุกฝีก้าว อีกทั้งยังคอยสร้างอารมณ์ความรู้สึก และบรรยากาศให้โลดแล่นบนแผ่นฟิล์ม จึงไม่ใช่เรื่องเกินเลยที่จะพูดว่าเขาคือตัวจริงในฐานะผู้กำกับภาพหรือตากล้องภาพยนตร์ การันตีด้วยผลงานและรางวัลมาแล้วมากมาย
ผลงานเรื่องล่าสุดของณัฐวุฒิ กิตติคุณ หรือ น้ากล้วย ก็คือ “ชัมบาลา” ที่ยกกองไปถ่ายทำกันไกลถึงทิเบต ซึ่งแน่นอนว่างานนี้ต้องเจอเรื่องปวดหัวกว่าปกติ
“เวลาไปทำงานต่างประเทศ ถ้ามีเวลาให้ก็จะสบาย คือเวลา 3 อาทิตย์ของหนังเรื่องนี้ที่วางไว้ จริงๆ มันพอดีแล้ว แต่พอไปถึงเราเจออุปสรรคเยอะ ถูกขัดขวางการถ่ายทำจากรัฐบาลจีนที่ไม่ต้องการให้ภาพของทิเบตออกสู่สายตาสาธารณะชน เจ้าหน้าที่ตามติดทุกฝีก้าว ตั้งแต่ขนอุปกรณ์ออกจากสนามบินเราก็โดนกักตัวไว้ เสียไปแล้วหนึ่งวัน ตอนเที่ยงคืนก็มาเคาะห้อง ตรวจพาสปอร์ตเหมือนแกล้งกันจนไม่ได้หลับได้นอน พอเดินทางไปถึงโลเคชั่นที่เราจะถ่ายจริงๆ เขาก็ไม่ให้ถ่าย ทุกคนก็เอ๋อกันหมด ก็ต้องพลิกแพลง แก้ไขสถานการณ์กันแบบปัจจุบันทันด่วน เหมือนหลบๆ ซ่อนๆ ถ่าย”
คำบอกเล่าล้วนมีแต่อุปสรรคสารพัด หากแต่ประสบการณ์เกือบ 30 ปี ก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เขาแก้ไขสถานการณ์จนผ่านไปได้ด้วยดี
“ผมเริ่มต้นทำงานตั้งแต่ก่อนจะจบจากเทคนิคกรุงเทพ ก็ได้ไปฝึกงานกับสยามสตูดิโอ หลังจากจบก็มาทำงานที่บริษัท Salon Film เป็นบริษัทลูกจากฮ่องกง ทำเกี่ยวกับโฆษณาและหนังต่างประเทศที่เข้ามาถ่ายในเมืองไทย เราก็ได้ประสบการณ์จากตรงนั้นเยอะมาก ได้ทำงานกับทีมงานจากต่างประเทศเยอะเลย ตอนนั้นผมยังเป็นผู้ช่วยกล้อง ก็ไล่ขึ้นมาตั้งแต่เป็น Clapper Loader (คนโหลดฟิล์ม) สมัยที่ยังใช้ฟิล์มถ่าย เป็นคนตีสเลท ไล่สเต็ปจนมาเป็นผู้ช่วย 1 (Focus Puller) เป็นคนคอยปรับโฟกัส ใช้เวลาอยู่ 13 ปี ผมถึงได้ขึ้นมาเป็นตากล้อง”
เขาเคยร่วมงานกับผู้กำกับชั้นแนวหน้าของเมืองไทยมาแล้วมากมาย ผลงานชิ้นโบว์แดงผ่านมือเขาเป็นว่าเล่น เช่น Goal Clubเกมล้มโต๊ะ, ฟ้าทะลายโจร, องคุลีมาล, องค์บาก, ตำนานสมเด็จพระนเรศวร
แต่เรื่องที่เขาบอกว่าเป็นผลงานมาสเตอร์พีซสำหรับเขาก็คือ นางนาก
“นางนากเป็นหนังที่สร้างชื่อให้ผมมาจนถึงปัจจุบัน มันเป็นหนังที่อยู่ในใจเราและคนดู เรื่องนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ ผมได้รางวัลสุพรรณหงส์ในฐานะผู้กำกับภาพยอดเยี่ยม แต่ถ้าจะให้พูดจริงๆ หนังทุกเรื่องมันอยู่ในความทรงจำของผมทั้งหมด เพราะผมทุ่มเทให้งานทุกเรื่องร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว”
ขณะเดียวกันเมื่อถามถึงลายเซ็นที่ทำให้ผู้คนจดจำเขาได้ เขาบอกกับเราว่า
“งานที่ผมถนัดจริงๆ เป็นงานพีเรียด เน้นเรื่องความเป็นไทยๆ ตั้งแต่สมัยนางนากเป็นต้นมา มันเป็นเรื่องของวัฒนธรรมที่เราผูกพันอย่างองค์บากภาค 2 ภาค 3 ที่ย้อนกลับไปเป็นพีเรียด หรืออย่าง โหมโรง ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งมีลักษณะอย่างที่ว่ามาเฟรมที่เป็นลายเซ็นของผมก็คือตอนที่นางนากยืนรอผัวอยู่ที่ตรงท่าน้ำ เป็นบรรยากาศเหงาๆ มีหมอกเรี่ยน้ำ มีต้นจากเป็นองค์ประกอบ นั่นแหละคือลายเซ็น พอเห็นภาพปุ๊บก็จะรู้ว่าใครเป็นคนถ่าย”
ด้วยประสบการณ์ที่โชกโชน ความสำเร็จคงเป็นสิ่งที่ใครหลายคนสงสัยว่าตอนนี้เขาอยู่ ณ จุดใด เขาตอบพร้อมเสียงหัวเราะก่อนจะร่ำลากันว่า
“มันผ่านจุดนั้นมาแล้วครับ ตอนนี้ขึ้นหิ้ง ไปที่ไหนก็มีแต่คนไหว้อย่างเดียว”