ภาววิทย์ กลิ่นประทุม
กว่าจะมาเป็นนักลงทุน VI และนักเขียนเรื่องการลงทุนชื่อดังอย่างทุกวันนี้ เขาเคยลุ้มลุกคลุกคลานมาจากการทำธุรกิจกระจกและธุรกิจร้านอาหารที่ออสเตรเลีย เนื่องจากช่วงเวลานั้นเกิดวิกฤตการทางด้านการเงินในหลายประเทศ มีผลทำให้ธุรกิจที่เขาลงทุนเสียหายหนัก เขาจึงต้องตัดสินใจบินกลับมาตั้งหลักที่ประเทศไทย จุดนี้เองทำให้เขาเองหันกลับมาศึกษาเรื่องของหุ้นอย่างจริงจัง แม้จะมีพื้นฐานการลงทุนมาตั้งแต่สมัยเรียนเป็นนักศึกษาอยู่แล้วก็ตาม
“ความจริงที่บ้านซื้อหุ้นเก็บไว้อยู่แล้ว แต่ตอนปี 2008 ผลที่เกิดขึ้นก็คือเศรษฐกิจมันพังเป็นโดมิโนตั้งแต่อเมริกา ผมก็เลยกลัวจึงบอกคุณแม่ว่าอย่าถือหุ้นเลย ถอนออกมาหมดเลยดีกว่า ผมถอนมาตั้งแต่ต้นปี หุ้นขึ้นมาถึงกลางปี ตอนนั้นก็เลยเริ่มสงสัยว่าที่อื่นพังหมดแล้ว แต่ทำไมไทยยังไม่พัง เขาเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ ปรากฏว่าตอนปลายปีมันพัง สิ่งที่เราคิดก็ถูกต้อง
“มันก็เป็นจังหวะที่เรามาศึกษาว่าเงินทุนที่มีกับโอกาสในตลาดมันคืออะไร ผมเลยมาศึกษาอย่างจริงจัง ช่วงนั้นจังหวะผมดีเพราะผมมองโดมิโนการล้ม พอถึงปลายปีเราจะรู้ว่ากิจการของไทยไม่ได้แย่หมด อย่างง่ายๆ ธนาคารกรุงเทพ ปี 2008 กำไรเพิ่มขึ้น แต่หุ้นพื้นฐานก็ยังไม่เปลี่ยน แต่ราคาหุ้นเปลี่ยน สรุปก็คือต้นทุนของผมในการซื้อถูกมาก ปีที่แล้วขึ้นมาตั้ง 180 จุด”
การลงทุนของเขาในตอนนี้เน้นการลงทุนในส่วนที่ปลอดภัยอย่างหุ้นในกลุ่มบลูชิพ เช่น ปตท. แบงค์กรุงเทพ ฯลฯ ที่แม้ผลตอบแทนจะน้อยกว่าหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง แต่ตัวหุ้นสามารถทำกำไรและขยับขึ้นแน่นอน เขาแนะนำว่าถ้าอยากซื้อหุ้นต้องสามารถรับความเสี่ยงได้ โดยอาจแบ่งออกเป็น 4 ไม้ กระจายความเสี่ยง แม้หุ้นลงจะก็ซื้อไม้ที่หนึ่ง ลงอีกก็ซื้อไม้ที่สอง สาม และสี่ เพื่อรอวันที่หุ้นขึ้นมาทำกำไร
“การทำงานมีอยู่สองแบบคือทำงานเพื่อเงิน กับให้เงินทำงาน พวกเราส่วนใหญ่ทำงานเพื่อเงิน อย่างผมทำงานรับเงินเดือนก็ทำงานเพื่อเงิน แล้วการให้เงินทำงานคืออะไร คือการเอาเงินไปวางไว้แล้วได้ผลตอบแทนที่สูง ถ้าวางไว้ในเงินฝากได้เพียง 1เปอร์เซ็นต์ ถ้าวางในหุ้นเฉลี่ยได้ 12 เปอร์เซ็นต์ วางในทองระยะยาวได้ 10 เปอร์เซ็นต์ มันต้องอยู่ที่ว่าเราเอาไปวางตรงไหน
“บางคนเอาเงินไปวางในหุ้น พอราคาลง เงินหาย แบบนี้คุณไม่ได้ลงทุนแต่คุณเก็งกำไร คุณต้องเข้าใจจังหวะการวาง การขึ้นลงของหุ้นจึงไม่ใช่ประเด็น ถ้าคุณซื้อในราคาที่ถูกแล้ว ในอนาคตมันก็ต้องแพงกว่านี้ ในราคาที่แกว่งไปมาคุณจะตื่นเต้นอะไรตรงนี้ คนส่วนใหญ่จึงไม่สามารถผ่านไปได้ เพราะซื้อ 10 บาทลงไปเหลือ 8 บาท ก็ตกใจ แล้วมาบอกว่าหุ้นเล่นยาก”
เขายังบอกอีกว่าคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจในทักษะของการลงทุนนัก พอราคาหุ้นขึ้น หรือตกนิดหน่อย ก็เทขายแบบรายวัน คล้ายการเล่นพนัน แต่ถ้าเล่นหุ้นจริงจะไม่ใช่การพนัน เพราะความเสี่ยงที่จำกัดคือความเสี่ยงที่เรารับได้
“การลงทุนในหุ้นมันมีสองแนวทางแค่นี้เองว่าคุณชอบซื้อหุ้นอะไร บางคนศึกษาแล้วชอบซื้อหุ้นขาลง ยิ่งลงยิ่งซื้อ บางคนบอกลงแล้วซื้อบ้ารึเปล่า คือคุณศึกษากิจการนี้ดีแล้วก็ควรซื้อไป อย่างมีเงินร้อยล้าน แต่หุ้นเหลืออยู่ห้าสิบล้าน ถามว่าน่าสนใจหรือเปล่า น่าสนใจนะ แต่ประเด็นคือเวลาหุ้นลง มันจะลงต่อไปเรื่อยอาจถึง 20 ล้าน คนที่ซื้อ 50 บอกไม่ได้ต้องขายเพื่อที่จะซื้อที่ต่ำกว่า แนวทางที่หนึ่งคือซื้อขาลง คือซื้อถูก แต่ไม่ถูกที่สุด อันนี้ต้องศึกษาให้ดี แต่ถ้าคุณซื้อแพง เวลาหุ้นขาขึ้น คือยิ่งแพงยิ่งซื้อมันก็มีแนวทางอยู่สองทางคือ ยิ่งถูกยิ่งซื้อ กับ ยิ่งแพงยิ่งซื้อ แนวทางไหนก็ได้กำไรทั้งคู่ ถามว่าคนขาดทุนคือใคร ก็คือคนที่ซื้อแพงขายถูก”
เราให้เขาวิเคราะห์ว่าตลาดหุ้นต่อไปจะเป็นอย่างไร เขาบอกว่าระยะกลางและระยะสั้นมีการผันผวนแน่นอน และหนักกว่าเดิมด้วย เพราะตอนนี้ทุกคนกลัวเงินเพ้อในระบบมหาศาลที่มาจากต่างประเทศ และกำลังลุกลามเข้ามาในประเทศ อีกทั้งมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ทำให้เกิดการแกว่งตัวในระบบเศรษฐกิจจนเกิดความผันผวนได้ แต่ในระยะยาวถ้าใครที่สามารถอดทน หุ้นจะสามารถดีดตัวทำกำไรได้อีกเยอะ
“มันเกิดภัยพิบัติทั่วโลก ต่อไปสินค้าเกษตรจะแพงมากเลย แล้วประเทศไทยเองก็เป็นลำดับต้นๆ ที่ผลิตสินค้าการเกษตร คนต่างจังหวัดจะรวยขึ้น แต่ประเด็นคือรวยแล้วทำอย่างไรล่ะ เพราะน้ำมันท่วม แต่ผมมองว่าลูกของคนต่างจังหวัดจะเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ มากขึ้น แล้วทำให้เศรษฐกิจบูมในกรุงเทพฯ การลงทุนตอนนี้เหมือนสโนว์บอล ตอนนี้โยนหุ้นตัวไหนก็ได้ที่พื้นฐานดีรวยหมด เหมือนยืนอยู่บนภูเขาหิมะสูงๆ แล้วปั้นลูกบอลกลมๆ เล็กๆ หย่อนลงมา ตอนแรกคิดว่าไม่มีอะไร แต่พอมาถึงตีนเขาลูกบอลใหญ่มากเลย เขาเรียกว่าทฤษฎีสโนว์บอลของนักลงทุนระยะยาว”
“ผมว่านักลงทุนดีอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ถ้าเป็นนักธุรกิจจะขึ้นลงตามเศรษฐกิจ แต่นักลงทุนพอขาลงก็กำไร ถ้าขาขึ้นก็กำไร ถามว่าผมจะเป็นอะไรต่อไป ผมก็เป็นนักลงทุนชั่วชีวิต ส่วนหนังสือถ้ามีอะไรให้เขียนก็จะเขียนไปเรื่อยๆ การลงทุนมันเหมือนสอนที่ทำอะไรด้วยเงิน คือตำราร้อยๆ เล่มในมหาวิทยาลัยสอนให้ทำงานเพื่อเงิน แต่สอนให้เงินทำงานมันมีน้อยมาก และนี่คือจุดยืนของstock2morrow และผมด้วยที่อยากจะก้าวออกมา ซึ่งผมจะบอกให้คุณเป็นเศรษฐี ให้เงินทำงานอย่างไร เป้าหมายผมก็อยากเป็นโค้ชของเศรษฐี ซึ่งใครคิดแบบนี้ผมว่ารวยกันทุกคน”
Know Him!
>> เขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะบัญชีเอกการตลาดจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
>> นอกจาก facebook และ Blog ส่วนตัวของเขาแล้ว www.stock2morrow.com ยังเป็นอีกเว็บไซต์หนึ่งที่เขาให้ข้อมูลด้านการลงทุนเป็นอย่างดี
>> นอกจากการเป็นนักลงทุนแล้ว เขายังทำงานกับผู้บริหารระดับสูงของธนาคารกรุงเทพอีกด้วย