ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันเทคโนโลยีมีอิทธิพลต่อคนรุ่นใหม่เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน ต่างพบว่าเทคโนโลยีต่างๆ นั้นอยู่รอบตัวเราเสมอ คงจะดีหากยืมมือเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วยเหลือสังคมให้น่าอยู่มากขึ้น ...

“ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงมาก ไม่ว่าจะเป็นการเงิน ธนาคาร ไอที เราเลยเชื่อว่าเทคโนโลยีมันน่าจะช่วยเปลี่ยนแปลงหรือเสริมศักยภาพแก่สังคมได้ ด้วยความที่เราทั้งสองคนจบมาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้ลองทำงานในภาคธุรกิจแล้วค้นพบว่ายังไม่ตอบโจทย์ตัวเองสักเท่าไหร่ พวกเราเลยออกมาทำอะไรที่มีความหมายจะดีกว่า”

จากแนวคิดเบื้องต้นของคุณเก่ง - ปฎิพัทธ์ สุสำเภา และ คุณหนึ่ง - พัชราภรณ์ ปันสุวรรณ สองผู้ก่อตั้งกิจการเพื่อสังคม ภายใต้ชื่อ ‘Opendream’ บริษัทที่ให้บริการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ รวมไปถึงการเลือกใช้เครื่องมือสื่อสารทางด้านเทคโนโลยี อย่าง Mobile Application เพื่อทำงานร่วมกับองค์กรอิสระที่มีเป้าหมายเพื่อชุมชนสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ได้นำไปสู่ความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะทำเพื่อความแข็งแรงทางสังคม

“เราทำ Opendream ให้เป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพทำงานแก้ไขสังคมให้ดีขึ้น โดยเน้นไปที่ 3 ประเด็นหลัก คือ สุขภาพ การศึกษา ชีวิตความเป็นอยู่ ผลงานของเราที่ผ่านมาก็จะแยกออกไปตามประเด็น อย่างเรื่องสุขภาพ ทำยังไงให้คนรักสุขภาพมากขึ้น หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น จึงเกิด Application ‘DoctorMe’ ขึ้นมา ซึ่งเราต้องขอความช่วยเหลือจากหลายภาคส่วน ผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ มาให้ข้อมูลกับเรา

“เราได้ทดลองเครื่องมือตั้งแต่เทคโนโลยีขั้นพื้นฐานสุดๆ อย่าง SMS ไปจนถึงเทคโนโลยีแบบหรูๆ อย่าง Mobile Application โดยเลือกเครื่องมือแต่ละชนิดให้เหมาะกับกลุ่มช่วงอายุและวัย อย่างวัยรุ่นจะเข้าถึงเกมได้ง่ายกว่า เราเลยสอดแทรกปัญหาสังคมต่างๆ เข้าไปในเกม หรือเรื่องน้ำท่วม เราได้ร่วมมือกับองค์กร UNESCO หาข้อมูลต่างๆ เพื่อผลิตออกมาเป็นเกมตะลุยสายฟ้า ให้ความรู้ วิธีป้องกันเกี่ยวกับน้ำท่วม ให้เข้าใจได้ง่ายมากขึ้นผ่านเกมและตัวการ์ตูน”

“ช่วงแรกๆ Opendream จะยังไม่มีคนให้ความสนใจ แต่ก็ไม่ท้อนะ เราก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้นมาเพราะแค่อยากทำสิ่งที่เราสามารถทำได้และทำได้ดี อยากให้สังคมดีขึ้น ไม่ได้ต้องการว่าจะเป็นธุรกิจจ๋า หรือเพื่อสังคมขนาดนั้น พอเราทำงานไปสักระยะหนึ่งถึงเริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันคือธุรกิจเพื่อสังคม ธุรกิจที่ต้องทำกำไร นำกำไรที่ได้มาหมุนวนเพื่อสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น ทำให้เรามีอิสระในการคิด การทำงานมากขึ้น เน้นรับงานภาคสังคมอยู่ 90% และอีก 10% เป็นงานภาคธุรกิจทั่วไป

“เป้าหมายของพวกเราคืออยากสร้างงานที่ได้ประโยชน์จริงๆ สร้างคุณค่า สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น คืออย่างน้อยคนธรรมดากลุ่มหนึ่ง ก็สามารถลงมือทำอะไรบางอย่างได้นะ แม้ว่าตอนนี้เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้มาก แต่อย่างน้อยเราก็แสดงให้เห็นว่า เรามีความกล้าพอ ที่จะสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมา อยากให้ Opendream เป็นแบบอย่างแห่งความล้มเหลวมากกว่า เพราะไม่คิดว่าเราสามารถเป็นตัวอย่างที่ดีได้ อยากให้เรียนรู้ความผิดพลาดจากเรา แล้วนำไปต่อยอดในงานอื่นๆ

“สิ่งหนึ่งที่เรามักพูดเสมอว่า ลงมือทำอะไรก็ได้ ที่ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง จะได้ไม่ต้องมาพูดว่า ‘รู้อย่างนี้ทำตั้งแต่ตอนนั้นก็ดี’ คือเราอยากให้ลงมือทำไปเลย เพียงแค่ดูจังหวะชีวิตของแต่ละคนด้วย อย่าไปกลัวที่จะเริ่ม ผลลัพธ์สุดท้ายมันก็มีแค่สองอย่าง คือประสบความสำเร็จกับล้มเหลว ถ้ารีบลงมือเร็วก็สำเร็จเร็วหรือล้มเหลวเร็ว ประเด็นคือเมื่อเราล้มแล้วต้องรีบพยุงตัวเองขึ้นมาให้ไว ผิดอย่างหนึ่งก็อย่าผิดซ้ำอีก มันไม่มีสูตรสำเร็จ พวกเราคิดว่า ถ้าจะลงมือทำอะไรบางอย่าง ลองค้นหาคุณค่าของตัวเองคืออะไร

“พวกเราเชื่อว่าทุกอย่างมันมีขาว และดำ สุดท้ายเมื่อเราแก้ปัญหาหนึ่ง มันก็มีอีกปัญหาหนึ่งโผล่ขึ้นมาเสมอ เราต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อย่าไปยึดติดอะไรมาก ทุกๆ คนทำในรูปแบบของตัวเอง มีเป้าหมายกว้างๆ ร่วมกัน เพื่อช่วยกันอุดรูรั่วที่มันเกิดขึ้น อย่างน้อยมีจุดร่วมเดียวกันแล้วช่วยกันไปให้ถึงฝั่งด้วยกันจะดีกว่า เราต้องยอมรับความเห็นที่แตกต่างร่วมกัน”

จากวันนั้น จนถึงวันนี้ Opendream เริ่มเปิดฝันสู่เป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น ตลอดการเรียนรู้ 6 ปี ของการทำงานในรูปแบบ Social Enterprise ช่วยสร้างโครงการเพื่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างมาก แสดงให้เห็นว่ากิจการเพื่อสังคมสามารถเลี้ยงดูตัวเองพร้อมเสริมสร้างสังคมให้เข้มแข็งได้ด้วยเช่นกัน 

Know We 

Opendream มีออฟฟิศทั้งในกรุงเทพและเชียงใหม่ ซึ่งจะทำงานลักษณะคล้ายๆ กัน แต่ที่เชียงใหม่จัดตั้งขึ้นมา เพราะว่าเชียงใหม่เป็นเมืองที่ผสมผสานความเป็นเมืองกับชนบทไว้ร่วมกัน โดยคาดหวังว่าให้ทีมงานได้สัมผัสกับปัญหาอย่างแท้จริง เพื่อเป็นการออกจากกรอบเดิมๆ ของตัวเอง 

ติดตามได้ที่ www.opendream.co.th