Dimensions of Believe มิติแห่งความศรัทธา

Dimensions of Believe มิติแห่งความศรัทธา

ในโลกที่หมุนเวียนไม่หยุดนิ่ง ชีวิตมนุษย์ไม่ได้หมายถึงเพียงความอยู่รอดทางกายภาพเท่านั้น เมื่อเผชิญกับความกลัว ความไม่แน่นอน หรือความอ่อนแอทางจิตใจ มนุษย์ย่อมแสวงหาที่พึ่งพิง ไม่ว่าจะเป็นพลังลึกลับเหนือธรรมชาติ ความเชื่อทางจิตวิญญาณ หรือหลักคำสอนทางศาสนา สิ่งเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อวิถีชีวิตและการดำรงอยู่ของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ 

MiX MAGAZINE ฉบับที่ 205 ได้นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับความศรัทธาในหลากหลายมิติ ตั้งแต่ความเชื่อของมนุษย์ยุคแรก ผ่านความเชื่อในธรรมชาติ วิญญาณ เทพเจ้า ไปจนถึงระบบศาสนาที่จัดเป็นระเบียบ รวมถึงความศรัทธาที่มนุษย์มีต่อกันและกัน ตลอดการเดินทางของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ แม้จะผ่านยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แต่ความศรัทธาก็ไม่เคยจางหายไปจากจิตใจมนุษย์เลย

มนุษย์กำเนิดมาพร้อมความศรัทธา

ถ้าพูดถึงเรื่องของความเชื่อหรือความศรัทธา เราขอย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของมนุษย์ในช่วงก่อนประวัติศาสตร์หรือยุคหินเก่า ที่ยังอาศัยอยู่ในถ้ำดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และหาของป่า มีความไม่แน่นอนในชีวิตสูง แต่สิ่งที่ส่งต่อ DNA มาถึงมนุษย์ยุคปัจจุบันคือความกลัว กลัวในสัตว์ร้าย ความมืด และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ กลายเป็นจุดเริ่มต้นความศรัทธาและความเชื่อทางจิตวิญญาณ

พวกเขาแสดงออกให้เห็นจากศิลปะภาพเขียนสีบนผนังถ้ำหลายแห่งทั่วโลก เช่น รูปคน สัตว์ ต้นไม้ ฯลฯ เป็นหลักฐานที่ชี้ว่าไม่ได้วาดภาพเพียงเพื่อความสวยงามอย่างเดียว แต่ยังแฝงไปด้วยเรื่องราวพิธีกรรมความเชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ในยุคนั้น

เมื่อมนุษย์เริ่มออกจากถ้ำมาตั้งถิ่นฐานบนที่ราบลุ่ม พัฒนาการเลี้ยงสัตว์และการเกษตร ทำให้เรื่องของความเชื่อทางจิตวิญญาณวิวัฒนาการตามมาด้วย ดังนั้นความกลัวต่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติก็กลายเป็นความกลัวในเทพเจ้าหรือ ‘เทวะ (Devas)’ ที่สามารถดลบันดาลโทษภัยทางธรรมชาติให้แก่มนุษย์ได้

เริ่มเข้าสู่ยุคศาสนา ความเชื่อพื้นบ้านหรือท้องถิ่นถือเป็นศาสนายุคแรก ๆ ที่เกิดขึ้น แม้ไม่มีการบันทึกเนื่องจากระยะเวลาที่ยาวนานจนหายสาบสูญไป แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันว่าหนึ่งในศาสนาแรกของโลกประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาลคือศาสนาเมโสโปเตเมียจากชาวสุเมเรียนกลุ่มแรกที่สร้างอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ซึ่งพวกเขาเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์หรือที่เรียกกันว่า ‘พหุเทวนิยม (Polytheism)’ นั่นเอง

ตามมาด้วยศาสนาอียิปต์โบราณ เป็นความเชื่อในรูปแบบพหุเทวนิยมไม่ต่างกัน เช่น เทพเจ้ารา (Ra) เทพแห่งดวงอาทิตย์ เทพโอซิริส (Osiris) เทพแห่งความตายและโลกหลังความตาย โดยพวกเขาเชื่อเรื่องของดวงวิญญาณที่สามารถกลับมาในโลกหน้าได้ ทำให้มีการทำพิธีกรรมเก็บศพมัมมี่ (Mummy) เพื่อรักษาร่างกายไม่ให้เน่าเปื่อย

ปัจจุบันลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นมีจำนวนมาก เฉพาะในประเทศอินเดียที่ลัทธิและนิกายย่อยแทบจะนับได้หลายพัน แต่ศาสนาที่อยู่รอดในปัจจุบันเป็นหลักกลับคือศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาฮินดู ศาสนาซิกข์ และศาสนาพุทธ แม้จะมีความเชื่อที่ต่างกันแต่โดยหลักการแล้วทุกศาสนาสอนให้อยู่ในศีลธรรมอันดีเหมือนกัน

ในโลกยุคใหม่มีความหลากหลายทางความเชื่อ หรือแม้แต่คนที่ไม่เชื่อในศาสนาก็มี ถือเป็นสิทธิเสรีภาพที่ไม่จำเป็นต้องทำตามใคร ความเชื่อความศรัทธาจึงไม่มีถูกหรือผิด เพราะแม้แต่วิทยาศาสตร์ก็ยังหาคำไม่ได้ว่ามนุษย์เราเดินทางมาจากไหน ตายแล้วไปที่ใด นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ ทุกอย่างมันล้วนแต่เป็นการบอกเล่าต่อกันมาทั้งสิ้น

เพราะในโลกนี้ยังไม่มีศาสนาใดให้คำตอบในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ 100 % ทั้งหมดจึงกลายเป็นความเชื่อ บางทีการมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันด้วยความสุขและความศรัทธาโดยไม่เบียดเบียนใคร ไม่ต้องคิดว่าโลกหน้าจะเป็นอย่างไร คงเพียงพอแล้วสำหรับการใช้ชีวิตในสังคมทุกวันนี้

 

โลกของศาสนา พลังศรัทธาของมนุษย์

  มนุษย์นั้นมีความปรารถนาที่อยากจะเข้าใจเกี่ยวกับโลก จักรวาล และความหมายของสิ่งต่าง ๆ เพื่อค้นหาคำตอบในส่วนที่ไม่รู้หรือปรากฏการณ์ที่ไม่อาจควบคุม ก่อนจะกลายเป็นรากฐานของการสร้างความเชื่อ จนสานต่อเป็นปรัชญา ลัทธิ หรือศาสนาในเวลาต่อมา

ความเชื่อเก่าแก่ : พลังศรัทธาในอดีต

เชน (Jainism) 

ศาสดาคือพระมหาวีระ ถือกำเนิดในอินเดียไล่เลี่ยกับศาสนาพุทธ มีหลักคำสอนเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดและหลุดพ้นที่เรียกว่า ‘นิรวาณ’ ทั้งยึดแก่นสำคัญคืออหิงสาหรือการไม่เบียดเบียน โดยเหล่านักบวชเชนจะทานมังสวิรัติ คลุมผ้าปิดจมูกกันแมลงบินเข้า เดินมองพื้นเพื่อไม่ให้เหยียบหนอน ฯลฯ ปัจจุบันเชนยังมีผู้นับถือมากอยู่ในอินเดีย

ขงจื๊อ (Confucianism)

ไม่เชิงเป็นศาสนาแต่เป็นลัทธิเสียมากกว่า เพราะขงจื๊อไม่ได้ยกตนเป็นศาสดา ทั้งไม่ได้มีสาวกหรือนักบวชใด ๆ ส่วนหลักคำสอนก็มุ่งเน้นไปที่ชีวิตและความสัมพันธ์ของมนุษย์เพื่อฟื้นฟูสังคม (ไม่มีระบุเรื่องโลกหลังความตาย) พร้อมแผ่อิทธิพลไปทั่วเอเชียตะวันออกทั้งจีน เกาหลี ญี่ปุ่นจนฝังรากลึกไปถึงแก่นวัฒนธรรม ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปคนยุคใหม่จึงเริ่มตั้งคำถามต่อหลักคำสอนขงจื๊อ โดยเฉพาะประเด็นความเท่าเทียมทางเพศ 

โซโรอัสเตอร์ (Zoroastrianism)

รู้จักในอีกชื่อว่า ‘ลัทธิบูชาไฟ’ ถือกำเนิดมากว่า 4,000 ปีในดินแดนเปอร์เซีย (อิหร่าน) มีศาสดาคือซาราธุสตรา ผู้คนที่นับถือจะจุดไฟใส่กระถางตลอดเวลาไม่ให้มอดดับ เพื่อความอุ่นใจว่าพระเจ้ายังอยู่ข้าง ๆ อีกทั้งมีคำสอนหลักว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว (Evil to Evil, Good to Good) ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นแก่นของหลาย ๆ ศาสนาบนโลกเช่นกัน

เมื่อพิจารณาจะพบว่าพื้นฐานความเชื่อที่มีการบูชาเทพเจ้า การยึดหลักความดี-ความชั่ว การเวียนว่ายตายเกิด รวมถึงการประยุกต์ใช้คำสอนคือหัวใจสำคัญของทุกศาสนาหลักในปัจจุบันอย่างคริสต์ พุทธ อิสลาม รวมถึงฮินดูที่ยังมีผู้นับถือมากมาย โดยปัจจัยที่ทำให้บางศาสนายังคงอยู่แต่บางศาสนาสูญหายหลัก ๆ แล้วคือจำนวนผู้ศรัทธา เพราะศาสนามักจะส่งต่อกันผ่านทางครอบครัว ซึ่งตามมาด้วยการตั้งคำถามถึงอิสระของการเลือกที่จะ ‘เชื่อ’ และ ‘ศรัทธา’ ของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน

ไร้ศาสนา: อิสระของจิตวิญญาณ

Atheist (อเทวนิยม)

ปฏิเสธและไม่ยอมรับการมีอยู่ของพระเจ้ารวมถึงเรื่องเหนือธรรมชาติใด ๆ จนอาจถูกมองว่าสุดโต่ง แต่จริง ๆ แล้ว Atheist ยังหมายถึงศาสนาที่ไม่วางพระเจ้าหรือศาสดาไว้เป็นศูนย์กลาง แล้วให้เชื่อเฉพาะคำสอนได้ด้วยเช่นกัน

Agnostics (อไญยนิยม)

ทัศนคติว่าเราไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของพระเจ้าและเรื่องเหนือธรรมชาติต่าง ๆ ได้เพราะไม่มีหลักฐานใดจะไปพิสูจน์ หลายคนมักสับสนกับ Atheist (อเทวนิยม) แต่จริง ๆ แล้วต่างที่ Agnostics นั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง (หากมีอะไรชี้ชัดเป็นประจักษ์ก็อาจเชื่อ แค่ปัจจุบันเห็นว่ายังไม่มี)

Spiritual But Not Religion – SBNR 

ไม่ศรัทธาต่อศาสนาแต่ศรัทธาต่อจิตวิญญาณ โดยยังคงเชื่อในเรื่องของจิตวิญญาณและพลังงานศรัทธาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ไม่เอาตัวเข้าไปอยู่ในระบบของศาสนา เพราะมองว่าจิตวิญญาณที่อิสระไม่ควรถูกยึดโยงกับข้อปฏิบัติของหลักศาสนาใด ๆ

บริบทของสังคมและวัฒนธรรมย่อมมีผลต่อการบัญญัติหลักปฏิบัติต่าง ๆ ที่ต่อมาถูกตั้งคำถามในสังคม ดังนั้นการปรับตัวเพื่อคงไว้เพียงแก่นของความเชื่อความศรัทธาย่อมสำคัญกว่าสิ่งใด

Sci-Psy : แค่ไหนที่เรียกว่างมงาย?

บางครั้งในศาสตร์ของจิตวิทยา ความเชื่อเรื่องสิ่งที่เป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้อาจไม่ถึงขั้นเรียกว่างมงายเสมอไป แต่กลับเป็นผลของกลไกทางความคิดที่ช่วยให้มนุษย์รับมือต่อความไม่แน่นอน เพราะเมื่อเราต้องเผชิญกับสิ่งที่อธิบายไม่ได้ สมองจะสร้างคำอธิบายบางอย่างขึ้นมาเองเพื่อให้รู้สึกว่าควบคุมสถานการณ์ได้ดี เช่น การพกเครื่องรางป้องกันภัย การเชื่อเรื่องดวงชะตาล่วงหน้า เป็นต้น

เคยสังเกตไหมว่าคนเรามักจะหันมาพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันมากที่สุดตอนไหน? คำตอบคือเมื่อตอนกำลังรู้สึกทุกข์ กลุ้มใจ อกหัก ตกงาน สอบไม่ผ่าน ฯลฯ นั่นเอง ในใจลึก ๆ รู้ดีว่าสุดท้ายปัญหาจะคลี่คลายได้ด้วยการกระทำของตนเอง แต่การหาจุดยึดเหนี่ยวไว้บ้างก็เพื่อเป็นหลักการันตีว่าชีวิตจะดีขึ้น อย่างความคิดที่ว่าเราไม่ต้องทนทุกข์นานหรอกเพราะหมอดูบอกเดือนหน้าดวงจะดี เราสอบรอบนี้ผ่านแน่นอนเพราะไปบนกับศาลเจ้าเอาไว้แล้ว ... ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับกลไกทางสมองที่ทำงานกับความรู้สึกของมนุษย์ทั้งสิ้น

แล้วผลจากการกล่อมเกลาความเชื่อของมนุษย์ ที่ทางวิทยาศาสตร์-จิตวิทยาได้นำเอามาใช้กับวงการแพทย์ก็มีจริง ๆ อย่างทฤษฎีของ ‘ยาหลอก (Placebo)’ อันหมายถึงสารประกอบรวมกันทำให้ดูเหมือนยา แต่ไม่ได้ออกฤทธิ์ทางการรักษาใด ๆ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งยาเม็ด ยาน้ำ ยาทา ยาฉีด ฯลฯ แล้วแต่กรณี รวมไปถึงกุศโลบายของแพทย์ด้วยเช่นกัน ในการหลอกคนไข้จนเชื่อว่าพวกเขาได้รับการรักษาอย่างดีเยี่ยม เพื่อร่างกายจะช่วยหลั่งสารสื่อประสาท (Neurotransmitters) หรือสารลดปวดตามธรรมชาติ (Endorphins) ออกมา แล้วทำให้อาการเจ็บป่วยหายดี

นอกจากนี้หากใครเป็นสายท่องโซเชียลอยู่ตลอด คงจะเห็นไวรัลเกี่ยวกับเรื่องราวฮา ๆ ของวงการแพทย์ที่เชื่อกันอย่างสุดใจว่าห้ามสั่งไก่ KFC เด็ดขาดเพราะเดี๋ยวมีเคสด่วนเข้า (มันคงเป็นเรื่องบังเอิญ แต่สั่งอาหารอย่างอื่นกินแพทย์ทั้งหลายจะสบายใจกว่า) รวมถึงประเพณีคล้องพวงมาลัยไหว้กล้องจุลทรรศน์ของนักวิจัยในแลปวิทยาสตร์ นี่ก็ทำเพื่อความสบายใจว่าผลทดลองจะได้ออกมาดี ไม่ต้องนั่งรอสิ้นหวังอย่างเดียวแต่ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยยึดเหนี่ยวใจไว้ด้วย

แม้ความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติจะขัดแย้งกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ แต่บางครั้งมันก็มีบทบาทเชิงบวกในระดับจิตใจ เพราะช่วยให้เราเข้าใจได้ว่าทำไมมนุษย์ถึงยังต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวด้านนี้อยู่ อย่างไรก็ตามเราจำเป็นต้องมีวิจารณญาณควบด้วย ไม่อย่างนั้นจากศาสตร์กล่อมเกลาจะกลายเป็นศาสตร์งมงายได้จริง ๆ อย่างที่ใครหลายคนว่า

ผี – พราหมณ์ – พุทธ รากเหง้าแห่งศรัทธา

ไม่ว่าโลกจะพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยีไปล้ำหน้าแค่ไหน แต่เบื้องลึกด้านจิตใจของมนุษย์ก็ยังมีความเชื่อความศรัทธาในแบบของตัวเองอยู่ดี โดยเฉพาะประเทศไทยอันเป็นพหุสังคมที่มีความเชื่อหลากหลาย ใครจะเชื่อจะศรัทธาอะไรก็สามารถทำได้อย่างอิสระ

ย้อนกลับไป ความเชื่อเก่าแก่ที่สุดของคนไทยคือผีและวิญญาณ เรียกอีกอย่างว่า ‘ศาสนาผี’ ทุกวันนี้เรายังเห็นพิธีกรรมไหว้ผีตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น บูชาผีฟ้า ผีบรรพบุรุษ ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปเรียบร้อยแล้ว

ต่อมาอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูเข้ามาในระยะไล่เลี่ยกับพุทธศาสนา ทั้งหมดจึงหลอมรวมกันกลายเป็น ‘ผี -  พราหมณ์ - พุทธ’ เอกลักษณ์ความเชื่อในแบบไทย ๆ

ในสมัยก่อนผู้ที่ทำพิธีกรรมไม่ว่าจะเป็นฤๅษี พระสงฆ์ หรือเจ้าสำนักผู้นำทางจิตวิญญาณ ทั้งหมดต่างก็ช่วยเหลือให้คนที่มีปัญหาชีวิต อย่างอาการเจ็บป่วยด้านร่างกายและจิตใจ โดยไม่ได้มุ่งเน้นด้านเงินทองมากนัก แต่ปัจจุบันระบบทุนนิยมเข้ามาทำให้กิจกรรมทางความเชื่อ ตั้งแต่เรื่องโหราศาสตร์ ทำพิธีเสริมดวง หรือการขายวัตถุมงคล แม้กระทั่งนิมนต์พระมาทำบุญยังต้องใช้เงินพอสมควร เรียกได้ว่าเป็นยุคที่ความศรัทธามีมูลค่า แต่สามารถแก้ปัญหาชีวิตได้หรือไม่นั้นอีกเรื่องหนึ่ง

สำหรับคนรุ่นใหม่นั้นมีความศรัทธาในหลายรูปแบบ บางกลุ่มอาจมองว่าสิ่งที่ผู้อื่นทำเป็นเรื่องงมงายไร้เหตุผล ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เนื่องจากเรามีเสรีภาพในความคิดและความเชื่อ

แต่สิ่งที่สร้างความเชื่ออยู่ยาวมาจนถึงทุกวันนี้ได้เพราะมีเรื่องของ ‘ปาฏิหาริย์’ ไม่ว่าจะเชื้อชาติศาสนาใด ย่อมมีสิ่งเหนือธรรมชาติเข้ามาในชีวิต เช่น การรอดจากการป่วยด้วยโรคร้ายแรงเพราะผู้วิเศษ แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุเพราะเชื่อในศาสดา โดนปืนยิงแต่ไม่เข้าเพราะเครื่องรางนำโชค เป็นต้น เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมันก็กลายเป็นประสบการณ์ที่เล่าต่อกันมา ดังนั้นผู้คนจึงศรัทธามากขึ้น

แต่ในเชิงจิตวิทยาจะเรียกกันว่า Confirmation Bias คือการแสวงหา เปิดรับ และตีความข้อมูลที่ได้มาเพื่อยืนยันความเชื่อของตัวเอง เพราะคนเราเมื่อมีความเชื่ออยู่ก่อนแล้วก็จะมองเห็นเฉพาะหลักฐานที่สนับสนุนความเชื่อของตัวเอง และมองข้ามข้อมูลที่ขัดแย้งหรือไม่ยอมรับฟังได้ เช่น ผู้ที่แขวนวัตถุมงคลแล้วโชคดี สร้างกิจการร่ำรวย จะมีความรู้สึกว่าวัตถุมงคลนี้นำพาสิ่งดี ๆ มาให้ นำไปสู่ผลลัพธ์เชิงบวกในชีวิต หรือการไปวัดทำบุญสวดมนต์ นับเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้จิตใจสงบ ลดความเครียด และได้พบปะกับชุมชน ซึ่งล้วนมีผลดีต่อสุขภาพจิตในอีกทางหนึ่ง กิจกรรมเหล่านี้ถือเป็นเรื่องดีเพราะไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร Confirmation Bias ในด้านนี้จึงไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร

การตัดสินว่าใครคนใดมีความเชื่อที่ไม่เหมือนตัวเองแล้วตราหน้าว่า ‘งมงาย’ อาจเป็นมุมมองเพียงด้านเดียว เพราะปัญหาไม่ใช่เรื่องของความเชื่อหรือความศรัทธา แต่เป็นเรื่องของสติปัญญาและการหลงผิด โดนเอาเปรียบหลอกลวงจนตัวเองและครอบครัวเดือดร้อน

ความเชื่อในสังคมไทยนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนและหลากมิติ การสร้างความสมดุลระหว่างความศรัทธากับเหตุผลในโลกแห่งความถูกต้อง จะทำให้ความเชื่อกลายเป็นพลังบวกที่หล่อเลี้ยงจิตใจและสังคมไทยนั่นเอง

กับดักมนุษย์ ความเชื่อใจร้ายที่สุด

 ‘แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน’

บทกลอนนี้เป็นของสุนทรภู่จากเรื่องพระอภัยมณี โดยสอนว่าอย่าไว้ใจใครง่าย ๆ เพราะจิตใจของคนนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาจึงไม่ควรประมาท

ความไว้ใจในตัวมนุษย์มีความเสี่ยงที่จะโดนหลอกลวงได้เสมอ Peter J. Laven ผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยโตรอนโต ประเทศแคนาดา ได้ศึกษาพฤติกรรมที่เกี่ยวกับความซื่อสัตย์ เขาค้นพบว่ามันเกี่ยวข้องกับ DNA ซึ่งมีผลให้เกิดการโกหกหลอกลวง 26% และโกหกเล็กน้อยในชีวิตประจำวันถึง 42%

เนื่องจากคนดีมีศีลธรรมในสังคมมีจำนวนไม่น้อยและมักเป็นคนซื่อที่เชื่อใจคนง่าย ตรงนี้กลายเป็นดาบสองคมสำหรับเหล่ามิจฉาชีพ ตั้งแต่เรื่องของการยืมเงินแล้วไม่ยอมคืน (เป็นปัญหาระดับชาติที่ต้องเจอทุกคน) การโดนหลอกร่วมลงทุนอย่างวงแชร์ ไม่ว่าจะเป็นท้าวแชร์หรือลูกแชร์มักมีการหักหลังกันเสมอ หรือแม้แต่การหลอกให้รัก (Romance Scam) ที่เสียทั้งเงินและเสียทั้งใจ

แต่ปัญหาที่บ่อนทำลายประเทศตัวจริงคือการหลอกลวงโดย Scammer ออนไลน์ ข้อมูลจาก The Global Anti-Scam Alliance ชี้ว่าประเทศไทยติดอันดับ 9 ของโลกที่โดนอาชญากรรมด้านออนไลน์ และอาจมีมูลค่าธุรกรรมสูงกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปีด้วย โดยเหยื่อส่วนใหญ่มักเกิดจากความโลภ ความกลัว ความไม่รู้ ที่สำคัญคือความเชื่อใจจากคนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบกัน

แต่สิ่งที่มากกว่าความเชื่อใจคือเรื่องของความศรัทธาในศาสนาหรือลัทธิ สิ่งเหล่านี้เข้าไปฝังอยู่ในใจของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง ตรงส่วนนี้เองกลายเป็นช่องว่างของคนนอกรีตที่เข้ามาหาผลประโยชน์ โดยผู้นำทางจิตวิญญาณบางคนสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดีด้วยเทคนิคทางจิตวิทยา แล้วเปิดรับบริจาคเงินจำนวนมากต่อเนื่องกันหลายสิบปี สร้างรายได้มหาศาลให้กับพรรคพวกและคนรอบข้าง ยังไม่นับรวมที่ใช้เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ออกมาหากินซึ่งมีจำนวนมาก

ความศรัทธาจึงควรประกอบด้วยสติปัญญา ไม่ควรเชื่อเพียงเพราะมีคนบอกหรือคิดว่าศักดิ์สิทธิ์ แต่ควรสร้างดุลยภาพระหว่างความเชื่อด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อ

ดังนั้นบทกวีของสุนทรภู่จึงไม่ใช่คำสอนที่ทำให้เรากลายเป็นคนหวาดระแวง แต่เป็นการเตือนให้เราเป็นคนฉลาด มองคนที่ควรเชื่อถือได้ด้วยสติปัญญาของตัวเอง

มิติแห่งความศรัทธาในโลกยุคใหม่

การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (Scientific Revolution) เมื่อศตวรรษที่ 16 ส่งผลให้มนุษย์เริ่มหันมาเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้ตามหลักเหตุและผลมากขึ้น พร้อมกับการเข้ามาของเทคโนโลยีอันแสนจะทันสมัย การศึกษาอันสุดจะก้าวหน้า รวมถึงทฤษฎีหรืองานวิจัยซึ่งใช้อธิบายสิ่งต่าง ๆ แทนตำนานความเชื่อเดิม จนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปตลอดกาลด้วยชุดความคิดใหม่ที่ใช้สวมทับมนุษย์

ในโลกยุคใหม่ศาสนาต่าง ๆ กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายที่มากขึ้น เนื่องจากผู้คนเริ่มหันมาตั้งคำถามกับระบบและหลักความเชื่อแบบเดิม ๆ ซึ่งอาจสั่นคลอนต่อการอยู่รอดของศาสนา โดยเฉพาะแนวคิดแบบเทวนิยม (Theism) ที่เชื่อในพระเจ้าและมักผูกโยงเรื่องราวเหนือธรรมชาติเอาไว้ จนบางครั้งก็ถูกมองว่างมงายและละเลยแก่นหลักสำคัญอย่างคติคำสอนไป ดังนั้นพวกเขาจึงหันมาสนใจในเรื่องของจิตวิญญาณ ปรัชญา หรือความเชื่อที่ผสมผสานจากหลาย ๆ แหล่ง แทนการยึดติดกับพิธีกรรมตามขนบธรรมเนียมเดิม 

อย่างไรก็ตามยุคนี้ยังไม่ถึงขั้นเป็นจุดสิ้นสุดของความศรัทธาเสียทีเดียว เพียงแค่สังคมกำลังเริ่มเปลี่ยนผ่านไปสู่มิติใหม่ของความเชื่อที่ต้องอาศัยการคิดวิเคราะห์และใช้วิจารณญาณมากขึ้น รวมถึงจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักเหตุและผลร่วมด้วย ไม่อย่างนั้นเราจะเห็นลัทธิประหลาด ๆ ที่สร้างมายาคติแบบผิด ๆ หลอกลวงผู้คนด้วยฉากหน้าของคำว่า ‘ศรัทธา’ ผ่านไปมาบนหน้าสื่อสังคมอย่างไม่จบไม่สิ้น 

           

Dimensions of Believe มิติแห่งความศรัทธา