โมเมนต์ที่น่าจดจำจากซีรีส์ The Last of Us ซีซั่นหนึ่ง

โมเมนต์ที่น่าจดจำจากซีรีส์ The Last of Us ซีซั่นหนึ่ง

ซีรีส์ดราม่า HBO ออริจินัล The Last of Us ซีซั่นแรกที่ทำลายสถิติ ได้ผสมผสานระหว่างความเป็นจริงอันมืดมนของการเอาชีวิตรอดหลังโลกล่มสลายและช่วงเวลาอันสะเทือนใจของความรักและการสูญเสีย ซีรีส์ซีซั่นแรกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น 20 ปีหลังจากอารยธรรมสมัยใหม่ถูกทำลาย สำรวจถึงสาเหตุของการระบาดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่าง Joel และ Ellie การค้นพบการติดเชื้อที่น่าสะพรึงกลัวโดย Ratna Pertiwi (รับบทโดย Christine Hakim) และความสัมพันธ์อันหลากหลายที่สามารถสร้างความประทับใจแก่แฟนๆ ได้อย่างลึกซึ้ง

ก่อนที่จะเจาะลึกเรื่องราวในซีรีส์ The Last of Us ซีซั่นสอง ลองมาย้อนทบทวนช่วงเวลาที่สำคัญจากซีซั่นแรกที่การันตีด้วยรางวัลเอ็มมี่กันก่อน

NOT ALL WOUNDS HEAL WITH TIME

ซีรีส์ซีซั่นแรกนำเสนอฉากที่สะเทือนใจหลากหลายฉาก รวมถึงในซีรีส์ตอนที่หนึ่งที่ Sarah ลูกสาวของ Joel ถูกยิงและเสียชีวิตในอ้อมแขนของเขา เหตุการณ์นี้ได้กำหนดตัวตนของเขาให้กลายเป็นผู้รอดชีวิตที่แข็งกร้าวและส่งผลต่อการกระทำต่างๆ ที่ตามมาในซีรีส์ เมื่อเวลาผ่านไป Joel ยังคงเก็บรักษานาฬิกาที่ Sarah ซ่อมให้ไว้เป็นความทรงจำถึงเธอและช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน

AND SO IT BEGINS

Joel ได้รับการว่าจ้างให้ลักลอบพาตัว Ellie เด็กหญิงวัย 14 ปี ออกจากเขตกักกัน สิ่งที่เริ่มต้นจากภารกิจเล็กๆ กลับกลายเป็นการเดินทางที่โหดร้ายและสะเทือนใจ เมื่อทั้งคู่ต้องเดินทางข้ามสหรัฐอเมริกาและพึ่งพาอาศัยกันเพื่อความอยู่รอด

‘SAVE WHO YOU CAN SAVE’

Tess ผู้รอดชีวิตอีกหนึ่งคนที่เต็มไปด้วยทักษะได้ผ่านชีวิตที่ยากลำบาก ปรับตัวเข้ากับความทุกข์ยากและโศกนาฏกรรมส่วนตัว ในระหว่างการเดินทางลักลอบพา Ellie ไปกับ Joel เธอถูกผู้ติดเชื้อกัด แม้กระทั่งในเวลาที่ความตายกำลังจะมาเยือน เธอก็ยังคิดแผนอย่างรวดเร็วเพื่อซื้อเวลาให้ Joel และ Ellie ได้มีเวลาหลบหนี คำพูดของเธอที่ว่า ‘ช่วยคนที่คุณสามารถช่วยได้’ (save who you can save) เป็นเรื่องราวที่ทำให้ใครหลายๆ คนซาบซึ้งและประทับใจเป็นอย่างมาก เพราะแม้แต่ผู้รอดชีวิตที่แข็งกร้าวอย่าง Tess เธอก็เลือกที่จะปกป้อง แม้กระทั่งในลมหายใจสุดท้าย

‘YOU WERE MY PURPOSE’

เรื่องราวที่ละเอียดอ่อนแต่กลับทรงพลังของ Bill และ Frank ได้แสดงให้เราเห็นถึงความหวังแห่งแสงสว่างและความรัก แม้ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด ชีวิตที่แสนเรียบง่ายและมีความสุขในการแก่ตัวไปด้วยกัน การเพลิดเพลินกับศิลปะ การทำอาหารที่บ้าน การทำสวน และความเป็นไปได้ในการเป็นเจ้าภาพต้อนรับแขกในโลกหลังหายนะ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความหวังที่ยังคงอยู่แม้กระทั่งเมื่อความตายมาเยือน

DOUBT

เรื่องราวในซีซั่นแรกจบลงด้วยการที่ Joel ช่วย Ellie จากกลุ่ม Fireflies แต่ Ellie กลับสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติและขอให้ Joel สาบานว่าทุกเรื่องที่เขาบอกเธอเกี่ยวกับ Fireflies นั้นเป็นความจริง เมื่อ Joel ยังคงยืนมั่นกับคำโกหกของเขา   ซีรีส์จึงจบลงด้วยการที่ทั้งคู่ยังคงเดินทางต่อไปด้วยกันและเป็นการวางโทนความสัมพันธ์ของพวกเขาในซีซั่นที่สอง

 

 

The Last of Us ซีซั่นสอง ว่าด้วยเรื่องราวห้าปีหลังจากเหตุการณ์ในซีซั่นแรก Joel และ Ellie ต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้งระหว่างกันและกัน รวมถึงโลกที่อันตรายและคาดเดาไม่ได้ยิ่งกว่าที่พวกเขาจากมา

นักแสดงชุดเดิมที่จะกลับมาในซีซั่นสอง ได้แก่ เปโดร ปาสคาล (Pedro Pascal) รับบท Joel, เบลล่า แรมซีย์ (Bella Ramsey) รับบท Ellie, เกเบรียล ลูน่า (Gabriel Luna) รับบท Tommy และ รูติน่า เวสลีย์ (Rutina Wesley) รับบท Maria พร้อมด้วยนักแสดงชุดใหม่ที่ประกาศรายชื่อไปก่อนหน้านี้ ได้แก่ เคทลิน เดเวอร์ (Kaitlyn Dever) รับบท Abby, อิซาเบล่า เมอร์เซด (Isabela Merced) รับบท Dina, ยัง มาซิโน (Young Mazino) รับบท Jesse, เอเรียลลา แบเรอร์ (Ariela Barer) รับบท Mel, ทาทิ แกเบรียล (Tati Gabrielle) รับบท Nora, สเปนเซอร์ ลอร์ด (Spencer Lord) รับบท Owen, แดนนี่ รามิเรซ (Danny Ramirez) รับบท Manny และ เจฟฟรีย์ ไรต์ (Jeffrey Wright) รับบท Isaac รวมทั้งนักแสดงรับเชิญ แคทเธอรีน โอฮาร่า (Catherine O’Hara) 

ย้อนชมซีรีส์ The Last of Us ซีซั่นหนึ่งอีกครั้ง และสามารถรับชมตอนใหม่ของซีซั่นสองได้ทาง Max

โมเมนต์ที่น่าจดจำจากซีรีส์ The Last of Us ซีซั่นหนึ่ง