เปิดวิสัยทัศน์ความระทึกสุดสยองของเจ้าพ่อหนังเอาตัวรอด “อเล็กซองดร์ อาฌา” ก่อนเผชิญสิ่งชั่วร้ายในโลกหลังหายนะที่คุณอาจต้องหยุดหายใจ “Never Let Go”
“อเล็กซองดร์ อาฌา” ถือเป็นผู้กำกับที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างวิสัยทัศน์ให้กับภาพยนตร์สยองขวัญยุคใหม่ โดยเฉพาะผลงานทริลเลอร์สุดโหดจากประเทศฝรั่งเศสอย่าง “High Tension” (2003) ที่พลิกโฉมวงการหนังแนวสแลชเชอร์ไปอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะเลือกนำเสนออัตลักษณ์ทางเพศ แต่หนังก็เต็มไปด้วยความรุนแรง กล้าตีความหนังสแลชเชอร์ในทิศทางใหม่ๆ ซึ่งมีอิทธิพลต่อแฟนหนังหลายๆ คน
นอกจากนี้เขายังได้รับการยกย่องว่าเป็นเสาหลักของ “New French Extremity” กลุ่มภาพยนตร์ที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งผู้กำกับได้สร้างภาพยนตร์สยองขวัญที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณ เพื่อสะท้อนถึงความไร้เหตุผลและความสิ้นหวังในยุคนั้น ตั้งแต่นั้นมาอาฌาได้ฝากผลงานภาพยนตร์ไว้อีกมากมายหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นหนังสัตว์ประหลาด “Piranha 3D” (2010), หนังสยองแฟนตาซี “Horns” (2013) รวมถึงหนังระทึกขวัญเอาตัวรอด “The Hills Have Eyes” (2006), “Crawl” (2019) และ “Oxygen” (2021)
และล่าสุดกับหนังระทึกขวัญสุดสยองแห่งปี “Never Let Go ผูกเป็น หลุดตาย” ที่ผู้กำกับอาฌาเลือกประเด็นวันสิ้นโลกและความเป็นพ่อแม่มานำเสนอในโปรเจกต์หนังเอาตัวรอดเรื่องใหม่นี้ที่เล่าเรื่องราวของโลกที่เต็มไปด้วยหายนะเมื่อปีศาจร้ายเข้ายึดครองทุกพื้นที่ให้กลายเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยอันตราย ผู้เป็น “แม่” (รับบทโดย “ฮัลลี เบอร์รี” นักแสดงตัวแม่รางวัลออสการ์) จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้อง “ลูกแฝด” ของเธอให้มีชีวิตรอดต่อไป โดยตั้งกฎสำคัญห้ามฝ่าฝืนนั่นคือต้องผูกเชือกที่ยึดติดกับบ้านไว้ตลอดเวลาที่ออกนอกบ้าน หากเชือกหลุดจะตกเป็นเหยื่อของปีศาจร้ายที่จ้องขย้ำอยู่ด้านนอก
จุดเริ่มต้นของการก้าวเท้าเข้าสู่ป่ามรณะของ “Never Let Go”
ตอนนั้นผมกำลังเริ่มมองหาโปรเจกต์ใหม่ ผมอ่านบทมาแล้วมากมาย ผมจำได้ว่าตอนอ่านเราไม่มีทางรู้เลยว่าเมื่อเปิดบทอ่านเรื่องไหนจะเป็นเรื่องที่ใช่ แต่ผมเชื่อว่าคุณต้องตกหลุมรักเนื้อหาของมันก่อนเสมอก่อนที่จะลงมือทำ ซึ่งบทของ “Never Let Go” ที่เขียนโดย “เคซี คัฟลิน” และ “ไรอัน กราสส์บี” มันไม่ใช่แค่บาดใจแต่ยังเต็มไปด้วยความน่าสงสัย บทภาพยนตร์นี้ลึกซึ้งทั้งในแง่ของจิตวิทยา และสอดคล้องกับช่วงเวลาที่เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เรื่องราวของแม่ที่พยายามปกป้องลูกๆ ของเธอในโลกที่สูญสลายไปแล้ว เด็กคนหนึ่งเชื่อทุกอย่างที่แม่บอก ส่วนอีกคนตั้งคำถาม มันเป็นสิ่งที่อยู่ในใจผมมานานแล้ว ซึ่งบทภาพยนตร์เรื่องนี้มีสิ่งที่ทำให้สามารถกลับมาพูดว่า “โอ้ นี่คือเหตุผลที่ฉันทำเรื่องนี้” และเป็นแรงผลักดันช่วยให้คุณมีแพสชันที่จะสู้เพื่อก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ได้
“Never Let Go” เรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโลกที่แบ่งแยก ความขัดแย้งระหว่างระหว่างคนที่เชื่อและไม่เชื่อ ระหว่างคนที่กังขาและคนที่เลื่อมใส คำถามที่ว่าปีศาจคืออะไรและมาจากไหน และการที่มันฉลาด, อดทน, สามารถจำแลงเป็นอะไรก็ได้เพื่อปั่นหัวคุณ มันน่าสนใจ ผมหวังว่าผู้ชมจะได้ถกเถียงกันว่าปีศาจนั่นคืออะไรกันแน่
การเผชิญหน้ากับความกลัวในฐานะพ่อแม่
“Never Let Go” ทำให้ผมได้สำรวจการเป็นพ่อแม่ การปกป้องลูกๆ และอันตรายจากการโอ๋ลูกจนเกินไป นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผม ผมต้องการสำรวจประเด็นที่พ่อแม่สามารถเป็นคนที่ห่วงใยและรักลูกๆ ของเขามากที่สุด ในขณะเดียวก็เป็นภัยคุกคามซึ่งอันตรายที่สุดได้เช่นกัน
การถ่ายทอดเรื่องราวผ่านโลเคชันที่อยู่ในป่าลึก และการทำงานร่วมกับตากล้องคู่ใจเป็นอย่างไรบ้าง
สำหรับผมการทำหนังสักเรื่อง ขั้นแรกคือการใช้เวลารีไรต์บทหรือพัฒนาบทให้ไปในทางที่ตรงกับภาพในหัวของผม จากนั้นก็เลือกทีมงานที่จะทำภาพนั้นให้เป็นจริงได้ ซึ่งหลังจากทำงานมาหลายปีในที่สุดเราจะพบคนที่ทำงานเข้าขากับคุณได้เอง นี่คือเหตุผลที่ผมและ “มักซีม อเล็กซองดร์” จับมือกันสร้างสไตล์ภาพเฉพาะตัวออกมาได้ เราทั้งสองคนเคยทำงานร่วมกันมาแล้ว 16 เรื่อง ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับ “Never Let Go” เพราะจำนวนต้นไม้และป่าที่เป็นฉากหลักในครั้งนี้ ผมกังวลมากว่าเราจะถ่ายทำในป่ากันยังไง เราจะมั่นใจได้ยังไงว่าเราสามารถ่ายทอดสิ่งที่ตั้งใจได้อย่างชัดเจนท่ามกลางต้นไม้หนาแน่นขนาดนั้น นั่นคือเหตุผลที่เราเลือกถ่ายด้วยกล้อง 65 มม. เพราะมุมภาพมันกว้างกว่า เต็มตากว่า แต่ก็ยังมีคุณลักษณะสำคัญอีกหนึ่งอย่างคือมันมอบบรรยากาศเหมือนอยู่ในโลกนิทานแต่ไม่หลุดจากความเป็นจริง ผมไม่อยากให้มันแฟนตาซีเกินไป ผมอยากให้ผู้ชมอินกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เหมือนผูกตัวติดไปกับตัวละคร
การทำงานร่วมกับ “ฮัลลี เบอร์รี” นักแสดงสาวเจ้าของรางวัลออสการ์
ครั้งแรกที่พวกเราได้พบกัน เธอกังวลมากว่าผมจะมองเรื่องนี้ในแนวทางที่แตกต่างออกไป ผมไม่พร้อมที่จะสู้เพื่อปกป้องสิ่งที่ทำให้มันเป็นเรื่องที่โดดเด่น ซับซ้อน แต่เรียบง่ายในขณะเดียวกัน เธอกลัวว่าผมจะทำมันออกมาให้กลายเป็นเอาใจสตูดิโอ ซึ่งโชคดีที่ผมและเบอร์รีมองภาพตรงกันตั้งแต่แรก โดยเราทั้งสองอยากให้หนังออกมาดิบกระแทกใจ
ถ้าผมบอกว่ามันดิบกว่า ไม่ใช่เพราะหนังโหดเลือดสาด น่ากลัว หรือรุนแรง แต่เป็นเพราะประเด็นที่มันนำเสนอและความจริงที่ว่าตัวละครของ “ฮัลลี เบอร์รี” ไม่ใช่ตัวละครที่คนคาดหวังว่าเธอจะเป็น ตัวละคร “แม่” ที่เธอนำแสดงมันมีหลายมิติ ซึ่งเธอมองตัวเองว่าเป็นแม่ที่รักลูกเหนือสิ่งใดและต้องการปกป้องพวกเขา แต่ความรักนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป เธอปกป้องลูกมากเกินไป เข้มงวดเกินพอดี ซึ่งนั่นกลับทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย ความรู้สึกที่ซับซ้อนของคุณในฐานะพ่อแม่เป็นประเด็นที่เบอร์รีอินมาก ซึ่งเธอกลัวเราจะลืมสิ่งนั้นไปในระหว่างการพัฒนา ยิ่งเราทำงานร่วมกันมากเท่าไร เธอยิ่งเข้าใจว่านี่ก็เป็นเหตุผลเดียวกันที่ทำให้ผมกำกับเรื่องนี้ และนั่นทำให้เราสนิทสนมกันมากขึ้น ทำงานเข้าขากันขึ้นไปอีก
ทำไมถึงสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดของตัวละครผู้หญิง
ผมว่าการที่ผลงานของผมมีตัวละครแบบนี้หลายตัวคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ผมจำตอนที่อ่านบท “Crawl” เมื่อหลายปีก่อนได้ มันเป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องช่วยชีวิตพ่อตัวเอง พูดตรงๆ ผมไม่ได้มองมันเป็นแบบนั้น ผมอ่านมันเหมือนเป็นตัวผมเองที่พยายามไปช่วยพ่อ เหมือนกับตอนที่ผมเขียนบท “High Tension” หรือ “Oxygen” มันเป็นสัญชาตญาณที่ทำให้เรารู้สึกผูกพันกับตัวละครและมองข้ามผ่านเรื่องเพศไปเลย ผมพบว่าตัวเองอินกับตัวละครเหล่านี้ เพราะเข้าใจพวกเธอ เข้าใจการต่อสู้และเรื่องราวของพวกเธอ
การปลดแอกตัวเองและการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดในฐานะผู้กำกับ
มันเป็นช่วงเวลาที่น่าทึ่งเมื่อคุณมีลูก คุณเหมือนได้ย้อนกลับไปยังวัยเด็กของตัวเองอีกครั้งผ่านการดูภาพยนตร์เก่าๆ ค้นพบภาพยนตร์เรื่องเดิมอีกครั้งไปพร้อมกับลูกของคุณ การเป็นพ่อแม่สำหรับผู้กำกับแล้ว มันเหมือนกับการกดปุ่มรีเซตที่ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนแปลง แต่เพื่อรีเฟรชแนวทางการสร้างภาพยนตร์ของคุณใหม่ ถ้ามองเผินๆ “Never Let Go” เหมือนนำเสนอในรูปแบบของหนังสยองขวัญเอาตัวรอดทั่วไป แต่จู่ๆ มันก็แหวกเส้นทางใหม่ที่ไม่เคยเห็นในหนังเรื่องไหนมาก่อน หลังจากอ่านบทผมตกหลุมรักเรื่องราวที่ว่าด้วยความหมายของการเป็นพ่อแม่คน แต่ยังรวมถึงความรู้สึกของการเป็นลูก รวมทั้งการรับมือกับสิ่งเร้นลับที่อยู่ภายนอก ความเชื่อและไม่เชื่อ ยิ่งลึกซึ้งมากเท่าไร มันยิ่งน่ากลัวมากเท่านั้น ไม่ใช่แค่สะดุ้งเพราะจัมป์สแกร์ (Jump Scare) แต่มันยังเป็นความสยองทางจิตวิทยาซึ่งเชื่อมโยงกับการเป็นพ่อแม่ด้วย
เมื่อความชั่วร้ายล้อมรอบ มีเพียง “เชือก” เท่านั้นที่จะทำให้เราพ้นนรก! เตรียมระทึกสุดขีดไปกับ “Never Let Go” ภาพยนตร์เอาตัวรอดสุดสยองแห่งปี ผลงานชิ้นใหม่จากผู้กำกับ “Crawl” หนึ่งกฎสำคัญ จงจำให้ขึ้นใจ “ผูกเป็น หลุดตาย” 19 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์